กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 342.2 สะพานสีทองเหนือแม่น้ำ
ออกจากร้าน เฉินผิงอันถือกล่องผ้าปักลายใบเล็กออกมาด้วย เขาขอบคุณเหยาจิ้นจือที่ช่วยต่อราคาให้ก่อน จากนั้นก็อดพูดพลางยิ้มเจื่อนไม่ได้ว่า “ได้ยินแม่นางเหยาพูดอย่างนี้ ทำไมถึงได้รู้สึกว่าปิ่นชิ้นนี้ไม่มีค่าพอถึงสามสิบตำลึงเลยเล่า?”
เหยาจิ้นจือเงียบงันไปพักหนึ่ง รอจนเดินออกจากร้านมาได้ไกลแล้ว นางถึงได้พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ปิ่นชิ้นนี้เป็นฝีมือของช่างทำหยกที่มีชื่อเสียงคนนั้นจริงๆ อย่าว่าแต่สามร้อยตำลึงเงินเลย ต่อให้ห้าร้อยตำลึงเงินก็คู่ควรให้ซื้อเก็บไว้ อีกอย่างคนผู้นี้ยังยึดหลักคุณภาพหยกไม่ดีไม่นำมาสร้างผลงาน หยกของเจ้าชิ้นนี้จึงทำมาจากวัสดุที่ดีเยี่ยม ดีจนถึงขั้นทำให้เขารู้สึกว่า ‘หยกงามวัสดุยอดเยี่ยม มีดคุนอู๋ยังมิกล้าสัมผัสหน้าสาวงาม’ เพียงแต่ว่าหยกงามบนโลกใบนี้ ดีหรือไม่ดี ทุกคนล้วนดูออก แต่ว่ามันดีมากน้อยแค่ไหนกลับบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ความสนใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงยากที่จะให้ข้อสรุปได้”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าชื่นชมในความรู้ของเหยาจิ้นจือ หรือเห็นด้วยกับท่าทีที่ช่างทำหยกผู้นั้นมีต่อหยกงามกันแน่
เฉินผิงอันเก็บกล่องผ้าไว้ในชายแขนเสื้อ ถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางเหยามีหยกสลักสุ่ยเซียนนั่นจริงๆ หรือ?”
เหยาจิ้นจือยิ้มตอบ “คำพูดพวกนี้ล้วนยกจากในตำรามาอ้างทั้งนั้น”
ก็แสดงว่าไม่มีสินะ
เผยเฉียนเหลือกตามองสูง เดิมทีนางยังคิดว่าหลังจากวันนี้จะประจบสอพลออีกฝ่ายให้มาก ไม่แน่ว่าวันใดเหยาจิ้นจืออารมณ์ดีอาจจะมอบหยกสลักรูปสุ่ยเซียนต้นนั้นให้นางก็ได้
เหยาจิ้นจือพูดอีกว่า “ถ้อยคำนี้มาจากในตำราก็จริง แต่หยกสลักชิ้นนั้นเป็นหนึ่งในสินเดิมของท่านอาน้อยคนหนึ่งของข้า”
เฉินผิงอันจึงได้แต่คลี่ยิ้มตามมารยาทให้นาง
ข้อนี้แม่นางเหยาเหมือนกับน้องชายอย่างเหยาเซียนจือมาก เพียงแต่ว่าตบะของนางลึกล้ำกว่าเขา สถานการณ์จึงไม่กระอักกระอ่วนเท่าใดนัก
นี่จึงแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเหยาจิ้นจือไม่ใช่คนที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก
เผยเฉียนเริ่มลงมือประจบยกยอ ถามอย่างออดอ้อนว่า “พี่หญิงเหยา เจ้าเหนื่อยหรือไม่ ข้าช่วยแบกห่อผ้าห่อนั้นให้ดีไหม? ข้าเชี่ยวชาญการแบกห่อผ้ามากเลยล่ะ ตลอดทางมานี้ข้าเป็นคนแบกเอง รับรองว่าจะไม่ทำให้สมบัติทั้งหลายในนั้นของเจ้าต้องเสียหายแน่”
เหยาจิ้นจือส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ผ้าโปร่งสีขาวที่คลุมใบหน้าจึงส่ายตามไปด้วย
เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังไม่ถอดใจ “ถ้าอย่างนั้นเมื่อไหร่ที่พี่หญิงเหยารู้สึกเหนื่อยต้องบอกข้านะ ตรอกแห่งนี้ห่างจากจุดพักม้าตั้งห้าพันหกร้อยกว่าก้าว พี่หญิงเหยาขายาวก็น่าจะต้องเดินประมาณสี่พันเจ็ดร้อยก้าว”
เหยาจิ้นจือได้แต่พยักหน้ารับ
ช่างเป็นเด็กหญิงที่ประหลาดจริงๆ
คนทั้งสี่เดินอยู่ในตรอกไหเอ๋อร์ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ จูเหลี่ยนก้มหน้าถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจดจำก้าวเดินได้แม่นยำขนาดนี้เชียวหรือ?”
เผยเฉียนถอนหายใจ “ก็มันน่าเบื่อนี่นา ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครให้เงินข้าซื้อของ ข้าก็ได้แต่หาเรื่องทำแก้เบื่อ ไม่งั้นจะให้ทำไงล่ะ”
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
ท่ามกลางแสงสนธยา พวกเขาก็กลับไปถึงจุดพักม้าที่ใช้ค้างแรม ตอนที่เดินเล่นอยู่ในเรือนด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนไปหากระดานหมากล้อมมาจากไหน พวกเขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมกันอยู่ในศาลาเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเว่ยเซี่ยนยืนดูอยู่ด้านข้าง
เฉินผิงอันเดินเข้าไปในศาลาจึงเห็นว่าเพิ่งรู้ผลแพ้ชนะ คนที่ชนะคือหลูป๋ายเซี่ยง
พลังพิฆาตในการเล่นหมากล้อมของสุยโย่วเปียนสูงมาก พลังอำนาจก็เพียงพอ ขนาดหลูป๋ายเซี่ยงเป็นบุรุษก็ยังไม่มีความเด็ดขาดเท่าสุยโย่วเปียน
จูเหลี่ยนก็เดินตามมาด้วย สุยโย่วเปียนบอกลาเฉินผิงอันแล้วจากไป หลูป๋ายเซี่ยงจึงหันไปชวนจูเหลี่ยนเล่น ผู้เฒ่าหลังค่อมโบกมือพลางคลี่ยิ้ม บอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนห่วยมาก ไม่กล้าแสดงฝีมืออันอัปลักษณ์ ตอนที่หลูป๋ายเซี่ยงมองมา เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าอย่างเขาไม่ได้เรียกว่าฝีมือห่วย แต่เล่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงอยากจะมาดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะเท่านั้น
ไม่มีคนเล่นหมากล้อม เว่ยเซี่ยนจึงจากไป จูเหลี่ยนเองก็เดินตามหลังไปติดๆ
จึงเหลืออยู่แค่เฉินผิงอันกับหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเก็บกระดานหมากล้อม
เฉินผิงอันเอนหลังพิงราวรั้ว ดื่มเหล้าบ๊วยในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หลูป๋ายเซี่ยงใช้ปลายนิ้วสองข้างคีบเม็ดหมากเก็บใส่กล่องอย่างรวดเร็ว ต่อให้เป็นเพียงการกระทำที่ไม่สะดุดตา แต่เมื่อรวมกับเสียงใสกังวานยามที่ตัวหมากกระทบกันแล้ว กลับไม่เพียงแต่ไม่น่าเบื่อหน่าย ตรงกันข้ามยังชวนให้คนมองตามอย่างเพลิดเพลินด้วย
ในใจเฉินผิงอันเกิดความเลื่อมใส
หากไม่เป็นเพราะตนไม่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นหมากล้อมจริงๆ บวกกับที่รู้สึกว่าการเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่เปลืองเวลาเกินไป จะถ่วงเวลาการฝึกหมัดและฝึกกระบี่ของเขา หาไม่แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะลองศึกษาดูจริงๆ ว่าควรเล่นหมากล้อมอย่างไร
เหยาจิ้นจือเดินเยื้องย่างเข้ามา เมื่ออยู่ในจุดพักม้านางจึงถอดผ้าคลุมหน้า หลังจากนั่งลงแล้วก็พูดกับหลูป๋ายเซี่ยงที่เก็บเม็ดหมากบนกระดานใกล้จะหมดแล้ว “ท่านหลู พวกเรามาเล่นด้วยกันสักตาดีไหม?”
หลูป๋ายเซี่ยงมองสีท้องฟ้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คาดว่าคงเป็นศึกที่ดุเดือดน่าดู เล่นหมากล้อมหลังจากฟ้ามืด ข้าไม่มีปัญหา เพียงแต่ไม่รู้ว่าถึงเวลานั้นคุณหนูเหยาจะมองเห็นหมากบนกระดานชัดหรือไม่?”
เหยาจิ้นจือพยักหน้ารับ “ขึ้นสิบห้าค่ำพระจันทร์เต็มดวง อาศัยแสงจันทร์น่าจะพอมองเห็นได้ชัด ท่านหลูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้”
จากนั้นก็เป็นขั้นตอนของการเดาก่อน
หลูป๋ายเซี่ยงถือหมากสีขาว เหยาจิ้นจือถือหมากสีดำ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองคนทั้งสองที่เริ่มวางหมากของตัวเองลงไป ยังคงมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางจึงกลับมานั่งบนม้านั่งตัวยาว ยกขาขึ้นขัดสมาธิ ดื่มเหล้าช้าๆ
เนื่องจากในขบวนเดินทางมีข้ารับใช้ต้าเฉวียนอยู่สองคน เฉินผิงอันไม่อยากจะเปิดเผยความเป็นมาของ ‘เจียงหู’ ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าตอนกลางวันจึงดื่มได้ไม่สาแก่ใจเท่าไหร่ ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนกับปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ต่างก็มีสายตาเฉียบคม แค่ท่ายกมือถือกาเหล้าก็อาจจะทำให้พวกเขามองเบาะแสออกแล้ว เฉินผิงอันเหม่อลอยไปไกล โดยไม่ทันรู้ตัว รอจนสติกลับคืนมาอีกครั้ง เหยาจิ้นจือกลับไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังนั่งเก็บกระดานหมากเพียงลำพังอีกครั้ง
หลูป๋ายเซี่ยงเก็บเม็ดหมากพลางพูดกลั้วหัวเราะไปด้วย “หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปเห็นนครจักรพรรดิขาวท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีแห่งนั้นกับตาตัวเองสักครั้ง ‘จะใครได้เล่นก่อน ข้าก็ล้วนเป็นผู้คว้าชัยชนะ’ ช่างเป็นคำกล่าวที่ดียิ่งนัก ทำให้คนเลื่อมใสหวังจะทำได้เหมือน”
เฉินผิงอันหลุดปากพูดออกไป “ข้ามี…ลูกศิษย์คนหนึ่ง เล่นหมากล้อมได้เก่งมาก วันหน้าหากพวกเจ้าเจอกันก็ลองแลกเปลี่ยนความรู้กันดูได้”
เด็กหนุ่มชุยฉาน หรือควรจะเรียกอีกอย่างว่าชุยตงซาน คือนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นที่เคยได้เล่นหมากล้อมกับเจ้านครจักรพรรดิขาวมาแล้วถึงสิบตา
แต่ว่าการยอมรับชุยตงซานเป็นลูกศิษย์ถือเป็นความจนใจของเฉินผิงอัน เพราะจะให้เรียกอีกฝ่ายว่าเป็นสหายก็คงไม่ได้
แต่หลูป๋ายเซี่ยงกลับไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังมากนัก สุยโย่วเปียนก็ดี เหยาจิ้นจือก็ช่าง การเล่นหมากทั้งสองตาล้วนไม่อาจทำให้เขาลงแรงได้ถึงเจ็ดแปดส่วน เพียงแต่ว่าสุยโย่วเปียนนั้นแพ้จริงๆ แต่เหยาจิ้นจือกลับอำพรางฝีมือเอาไว้ ทว่าต่อให้นางลงแรงอย่างเต็มกำลังก็ยังต้องแพ้อยู่ดี หลูป๋ายเซี่ยงค่อนข้างภาคภูมิใจในฝีมือการเล่นหมากล้อมของตนอย่างมาก เวลาหนึ่งร้อยปีในยุทธภพที่ผ่านมายาวนานนั้น หลูป๋ายเซี่ยงในฐานะบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมาร นอกจากจะมีวรยุทธ์ที่สูงส่งเด่นนำทุกคนไปไกลแล้ว การเล่นหมากล้อมก็ไร้ศัตรูทัดเทียมเช่นกัน
สิ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงสงสัยใคร่รู้อย่างแท้จริงกลับเป็นข้อที่ว่า เฉินผิงอันอายุไม่มาก อีกทั้งยังไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่เหตุใดเขาถึงมีลูกศิษย์เป็นของตัวเองแล้ว
พูดคุยเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของเขตการปกครองแห่งนี้กันสองสามคำ หลูป๋ายเซี่ยงก็เอากระดานและกล่องเก็บเม็ดหมากไปคืน เฉินผิงอันจึงนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดูจากเส้นทางการเดินของขบวนเดินทาง ไปถึงท่าเรือนอกเมืองเซิ่นจิ่งก็น่าจะเพิ่งเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวพอดี
ได้ยินมาว่าหลังจากที่หิมะใหญ่ตกลงมาในเมืองเซิ่นจิ่งจะกลายเป็นภาพทิวทัศน์งดงามที่หาได้ยากในโลก
จิตใจของเฉินผิงอันสงบสุข เกี่ยวกับเรื่องของวิถีวรยุทธ์ เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ตอนที่เพิ่งออกมาจากภูเขาห้อยหัวที่ว่าอีกสิบปีให้หลังต้องเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด กลายเป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ตอนนี้ถือว่าพัฒนาการของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เหนือเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้ นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับศึกใหญ่เป็นตายสองครั้งทั้งในและนอกป้อมอินทรีบิน อีกทั้งภายหลังยังมีการเข่นฆ่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่มงคลดอกบัวและโรงเตี๊ยมริมชายแดน เขาไม่เพียงแต่เลื่อนสู่ขอบเขตห้าได้สำเร็จ ยังปูรากฐานได้อย่างแน่นหนา ต่อให้ตอนนี้ฝ่าคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตหกในรวดเดียว เฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกว่าย่างก้าวของตัวเองเบาหวิว
ไม่พูดถึงจ้งชิว คนอื่นๆ ที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งมีมากมายดุจห้าขุนเขาที่กดทับอยู่เหนือศีรษะ อย่างติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคล อย่างหลี่หลี่โส่วกงไหวแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน มีคนไหนบ้างที่เฉินผิงอันเอาชนะมาได้อย่างผ่อนคลาย?
เฉินผิงอันไม่กล้าคิดว่าขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดจะยากแค่ไหน ต้องมีโชควาสนาอย่างไร และต้องใช้พื้นฐานเท่าไหร่ หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดแล้วก็คือขอบเขตจำแลงขนนก ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าขอบเขตเดินทางไกล คือหนึ่งก้าวสู่สวรรค์อย่างแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว สามารถทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนเซียนบนภูเขา
ขอบเขตที่เก้าของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เมื่อบวกกับขอบเขตปลายทางที่แท้จริงซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความลับแล้ว รวมทั้งสิ้นก็มีสิบขอบเขต
ขอบเขตที่แปดเดินทางไกลเป็นขอบเขตที่เฉินผิงอันปรารถนาอยากจะทำสำเร็จมากที่สุด
ท่ามกลางราตรีที่เงียบสงัดและเย็นฉ่ำ เฉินผิงอันที่ต่อให้ตอนอยู่บนหลังม้าก็ยังฝึกปราณกระบี่สิบแปดหยุดทำตัวขี้เกียจอย่างที่หาได้ยาก เขาเอาแต่นั่งดื่มเหล้าเหม่อลอยอยู่ในศาลาอย่างนั้น
จนกระทั่งเหยาเจิ้นและหลานสาวอย่างเหยาจิ้นจือเดินมา เฉินผิงอันถึงได้ลุกขึ้นยืน เห็นว่าสีหน้าผู้เฒ่าไม่ค่อยดีนัก เหยาจิ้นจือเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในงานเลี้ยงเจ้าเมืองของที่แห่งนี้พูดคุยแต่เรื่องในอดีตตอนอยู่บนสนามรบกับท่านปู่ ท่านปู่จึงดื่มสุราอย่างเบิกบานใจ ทว่าหลังจบงานเลี้ยงเขากลับส่งคนนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ที่จุดพักม้า ความหมายก็คือหวังว่าเมื่อท่านปู่ไปถึงเมืองหลวงแล้วจะช่วยดูแลเขาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาในราชสำนักบ้าง ทำเอาท่านปู่โมโหไม่น้อย”
เหยาเจิ้นตบเข่าเบาๆ สีหน้าผิดหวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่า “คิดถึงปีนั้นเขาช่างเป็นคนหนุ่มที่ดียิ่งนัก มีชีวิตชีวา ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณแห่งความเที่ยงธรรม ยามลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูก็ไม่เคยขลาดกลัว เหตุใดเมื่อมาอยู่ในวงการขุนนางได้แค่สิบกว่าปีถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้”
เหยาจิ้นจือเอ่ยยิ้มๆ “ท่านปู่ สิบปีก็ไม่ใช่เวลาสั้นๆ แล้ว เพิ่งสวมหมวกดำลงบนศีรษะ ปณิธานก็พลันแปรเปลี่ยน เพิ่งเหยียบย่างเข้าไปในที่ว่าการ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน” (หมวกสีดำเปรียบเปรยถึงตำแหน่งขุนนาง กลอนสองท่อนนี้คล้ายสุภาษิตคางคกขึ้นวอของไทย)
เหยาเจิ้นแค่นเสียงเย็น “วาดงูเติมหาง! อยู่ในราชสำนัก อย่าหวังเลยว่าข้าจะช่วยเจ้าเด็กนี่พูดในสิ่งที่ผิดต่อความตั้งใจเดิมแม้แต่ครึ่งคำ”
เหยาจิ้นจือถามยิ้มๆ ว่า “ต่อให้เขาไม่มอบของขวัญ แล้วท่านปู่ก็จะยอมช่วยเขาพูดดีๆ เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตอย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าไม่ ในเมื่อไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรท่านปู่ก็ไม่มีทางช่วย เขาก็ไม่สู้ลองเดิมพันดูสักตั้ง ลองเดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่รู้แล้วว่าการอยู่ในวงการขุนนางทำให้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง ท่านก็จะต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม เดิมพันดูว่าเมื่อท่านปู่เข้าไปอยู่ในที่ว่าการของกรมกลาโหมแล้วจะรวบรวมสมัครพรรคพวกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกพวกขุนนางในเมืองหลวงผลักไส ถึงเวลานั้นเมื่อท่านต้องเดียวดายไร้คนช่วยเหลือ อีกทั้งสถานการณ์ยังบีบบังคับ ไม่แน่ว่าชื่อแรกที่ท่านปู่นึกถึงอาจจะเป็นชื่อของเจ้าเมืองแห่งนี้ก็เป็นได้”
เหยาเจิ้นยิ้มจืดเจื่อน
เฉินผิงอันไม่ได้พูดแทรก แต่การที่ปู่หลานสองคนยินดีพูดถึงกฎเกณฑ์ของวงการขุนนางที่สลับซับซ้อนเหมือนไส้พันกันหลายขดต่อหน้าคนนอกอย่างเขา เฉินผิงอันย่อมมองเป็นความรู้ที่ทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ จึงตั้งใจรับฟังเอาไว้
ขอแค่ข้ามผ่านแม่น้ำหมายเหอที่ทอดขวางอาณาเขตของต้าเฉวียนเส้นนั้นมาได้ก็เท่ากับว่าเดินขึ้นเหนือไปได้ครึ่งทางแล้ว
ยามสนธยาของวันนี้ขบวนเดินทางตระกูลเหยาหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าชายฝั่งทิศใต้ของแม่น้ำหมายเหอ ห่างจากแม่น้ำหมายเหอแค่ครึ่งลี้เท่านั้น เหยาเจิ้นจึงชวนเฉินผิงอันไปเดินเล่นชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำด้วยกัน
อาหารที่กินบนโต๊ะเมื่อครู่ ปลาหลีแม่น้ำหมายเหอรสชาติสุดยอด ปลาหลีในแม่น้ำใหญ่สายนี้มีเกล็ดสีทองหางสีแดง ไม่ว่าจะเอามานึ่ง ผัดเปรี้ยวหวานหรือตุ๋นก็ล้วนไม่มีกลิ่นคาวเลยแม้แต่น้อย สดใหม่หวานนุ่มอย่างถึงที่สุด คือหนึ่งในของบรรณาการของราชวงศ์ต้าเฉวียน
น่าเสียดายที่ศาลเทพวารีของแม่น้ำหมายเหอที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วราชสำนักอยู่ห่างจากจุดพักม้าและท่าเรือไปค่อนข้างไกล ห่างจากที่นี่ถึงสามร้อยกว่าลี้ นักประพันธ์ของหลายแคว้นในประวัติศาสตร์ล้วนเคยทิ้งลายน้ำหมึกอันล้ำค่าไว้บนผนังของศาลเทพวารีแห่งนั้น ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถย้อนไปเมื่อหกร้อยปีก่อน อีกทั้งยังมีบทกลอนบทขับร้องของนักประพันธ์ในยุคสมัยที่แตกต่างกันจำนวนมากที่เขียนถามตอบก่อนหลัง เติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมไปถึงการงัดข้อกันอย่างลับๆ ในหัวข้อเดียวกัน บวกกับคำวิจารณ์ของปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในรุ่นหลัง ทำให้ศาลเทพวารีส่องแสงรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยประกายสีสันแห่งบทประพันธ์ ชะตาบุ๋นเข้มข้นจนเหนือกว่าศาลบุ๋นของเมืองเซิ่นจิ่งด้วยซ้ำ
คนที่ออกมาเดินเล่นแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เหยาเจิ้นที่เป็นผู้นำเดินเคียงบ่าอยู่กับเฉินผิงอัน เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าตามมาด้านหลัง
ข้ารับใช้ต้าเฉวียนสองคนที่เป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพเดินอยู่กับ ‘สามจือ’ แห่งสกุลเหยา
ผู้ฝึกตนสองคนนี้คืออาจารย์และศิษย์ของลัทธิเต๋าแห่งหนึ่ง เนื่องจากครั้งนี้แฝงตัวมาในขบวนจึงไม่ได้สวมชุดลัทธิเต๋าที่สะดุดตา แต่กลับพกดาบของทหารในกองทัพเพื่ออำพรางสายตาคนอื่น ตลอดทางมานี้อาจารย์และศิษย์สองคนวางตัวห่างเหินจากทุกคน นักพรตหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกสลัก บุคลิกสุภาพอ่อนโยนคล้ายคุณชายสูงศักดิ์ที่เดินออกมาจากตระกูลเศรษฐีร่ำรวย
เว่ยเซี่ยน จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสี่คนต่างก็เผยตัวพร้อมกันอย่างที่หาได้ยาก
—–