กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 344.1 ปฏิบัติตามความประสงค์
เฉินผิงอันมีโทสะ ในใจคิดว่าไม่ควรทำอะไรตามใจตัวเองเช่นนี้ พอความคิดบังเกิดขึ้นก็เหมือนควบม้าโดยไม่ดึงรั้งบังเหียน การเดินทางทางน้ำเป็นระยะทางสามร้อยลี้ในครั้งนี้ทำให้พวกผีน้ำปีศาจน้ำเกิดความละโมบ หากเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้นมาจริงๆ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังอยู่กับร่างที่มีเนื้อหนังมังสา ก่อนหน้านี้ตอนเดินบนน้ำเขาก็ลองฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าวซึ่งเป็นไปอย่างติดขัด ลองออกหมัดไปสองสามหมัดก็ยิ่งอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ราวกับว่าจิตหยินเกิดมาก็ไม่เชี่ยวชาญวิชาหมัด พอคิดถึงดวงตาดุจโคมไฟใต้น้ำคู่นั้น เฉินผิงอันก็อดรู้สึกหวาดกลัวในภายหลังไม่ได้
บางทีจงขุยอาจจะมองความคิดของเฉินผิงอันออก ถึงกล่าวว่า “เดิมทีจิตหยินก็ชื่นชอบท่องเที่ยวไปในฟ้าดินยามค่ำคืนอยู่แล้ว เจ้าปล่อยจิตออกจากร่างครั้งแรก จิตหยินที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นใหม่เลือกไปไหนก็ไม่ไป ดันเลือกมาที่ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอแห่งนี้ ตามคำกล่าวของผู้ฝึกลมปราณ นี่อาจจะเป็นโชควาสนาที่ได้แค่พบเจอแต่ไม่อาจครอบครองแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง โชควาสนามาพร้อมกับหายนะเสมอ อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป”
เฉินผิงอันถาม “คนเฝ้าศาลเทพวารีที่อยู่ข้างในไม่ใช่ผู้ฝึกตนหรือ? เขาสามารถมองเห็นจิตหยินของข้าได้ไหม?”
จงขุยพูดเสียงขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “ด้วยนิสัยของเจ้าแม่ลำคลองหมายเหอผู้นั้น ทุกๆ สามวันห้าวันจะต้องออกมาต่อยตีกับปีศาจน้ำ อีกทั้งในลำคลองยังมีวิญญาณพยาบาทมากมายที่ถูกปีศาจน้ำบงการ เจ้าคิดว่าศาลเทพวารีที่วางร่างทองของนางไว้จะไม่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์สักคนเลยหรือ? ไม่อย่างนั้นก็คงถูกปีศาจน้ำที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘หวงเซียนจวิน’ ผู้นั้นเขมือบกลืนลงท้องไปพร้อมกันทั้งศาลทั้งภูเขาแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างอับอาย “ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ”
ในที่สุดจงขุยก็บอกข่าวดีให้ฟัง “แต่เจ้าวางใจเถอะ จิตหยินตนนี้ของเจ้าพร่าเลือนอย่างมาก ขอแค่ไม่เข้าไปจุดธูปในศาล คนของศาลเทพวารีก็ไม่มีใครมองออก”
จงขุยขมวดคิ้ว เดินวนรอบกายเฉินผิงอันแล้วจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน เจ้าเพิ่งเจอกับหายนะใหญ่มาสองครั้งใช่ไหม? ครั้งหนึ่งคือเมื่อนานมากแล้ว ถูกทำร้ายไปถึงชะตาชีวิต อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ สะพานแห่งความเป็นอมตะถูกทำลาย?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ เขาที่แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนระมัดระวังตัวมาโดยตลอดกลับบอกความจริงโดยไม่คิดปิดบังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ประมาณนั้นแหละ”
ที่เขายอมบอกก็เพราะยศวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝูของคนผู้นี้ และยิ่งเพื่อ ‘อาจารย์ฉี’ ที่จงขุยเอ่ยเรียก
จงขุยลูบคลำปลายคางตัวเอง ตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด
เฉินผิงอันถาม “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
จงขุยยังคงมองประเมินเฉินผิงอัน ก่อนจะพูดเนิบช้า “ต้นไม้มีวงปีให้สังเกตอายุ และอันที่จริงแล้วจิตวิญญาณของคนก็แทบไม่ต่างกัน เพียงแต่ว่าร่างกายของมนุษย์คือฟ้าดินขนาดเล็ก ฟ้าดินคือร่างกายมนุษย์ขนาดใหญ่ ผิวหนังของคนห่อหุ้มเลือดเนื้อเส้นเอ็นและกระดูก ก็เหมือนกับว่ามีกำแพงแห่งหนึ่งตั้งกั้นขวางระหว่างสองสิ่ง”
เห็นสีหน้ามึนงงของเฉินผิงอัน จงขุยก็ยกตัวอย่างให้ฟัง “ยกตัวอย่างเช่นใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัว ผู้ฝึกตนคิดจะมองกันและกัน ต่อให้เป็นคนที่เชี่ยวชาญวิชาอภินิหารมองแม่น้ำและภูเขาผ่านฝ่ามือ ต่อให้เจ้ามีตบะเป็นเซียนเหรินขอบเขตสิบสองก็ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อจิตหยินของเจ้าปรากฎตัว จิตวิญญาณเหมือนก้อนหินที่ผุดออกมาจากน้ำ ซึ่งจะยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน นั่นจึงทำให้ข้าสามารถมองเห็นเบาะแสต่างๆ ได้มากมาย”
จงขุยพลันยกยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้าที่เป็นช่างซ่อมปะชุนคงต้องลำบากหน่อยแล้ว”
ที่แตกหักไปคือเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต ทำให้เฉินผิงอันไม่อาจคว้าโชควาสนาใดๆ ในถ้ำสวรรค์หลีจูไว้ได้ ที่ขาดสะบั้นไปคือสะพานแห่งความเป็นอมตะ รอบทิศของเรือนกายล้วนมีแต่รูโหว่ จะแดดหรือลมฝนล้วนรั่วทะลุเข้ามา เขาจึงจำเป็นต้องฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขาเพื่อต่อชีวิต
จงขุยบอกว่าเฉินผิงอันคือช่างซ่อมปะชุนที่เหนื่อยยากนั้น เรียกได้ว่าพูดจี้จุดในคำเดียว
ก่อนหน้านี้โจวจวี่นักปราชญ์แห่งแจกันสมบัติทวีปแค่ท่องบทกลอนก็สามารถทำให้ศัตรูตกอยู่ท่ามกลางพายุลมกรด พริบตาเดียวร่างก็เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโพลน ภายหลังจงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็ยิ่งลึกล้ำเกินจะหยั่ง เวลานี้เฉินผิงอันยิ่งมีความรู้สึกที่ลึกลับซับซ้อนต่อสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมากขึ้น
เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเข้าไปจุดธูปในศาลหรือ? วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาทำเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือไร?”
จงขุยหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “หากพวกอาจารย์คร่ำครึบางคนของสำนักศึกษารู้เข้าก็อาจจะถูกวิจารณ์อยู่บ้าง แต่ขอแค่ไม่ทำลายภาพลักษณ์อันสุภาพสง่างาม บัณฑิตก็ไม่ได้ยึดถือกรอบตายตัวอย่างที่เจ้าคิด”
จงขุยร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะคลี่ยิ้มมีเลศนัย “ดีนักนะ อาศัยบารมีของเจ้า ข้าเลยได้มีโอกาสเห็นนิสัยขี้หงุดหงิดของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอกับตาตัวเองแล้ว”
ริมฝีปากของจงขุยขมุบขมิบเบาๆ กระแสน้ำของลำคลองหมายเหอที่อยู่รอบกายคนทั้งสองเหมือนพบเจอกับเสาหินกลางน้ำจึงอ้อมวนผ่านไป ขณะเดียวกันก็มีประกายแสงอ่อนจางผุดขึ้นมาเป็นระลอกคล้ายร่มคันใหญ่ที่กางอยู่เหนือศีรษะ บดบังเรือนกายของคนทั้งสองเอาไว้
จากนั้นจงขุยก็จับแขนเฉินผิงอัน “ไปดูเรื่องสนุกกับข้า”
ลำคลองหมายเหอเปลี่ยนเป็นขุ่นมัว ไหลซัดสาดขึ้นๆ ลงๆ คล้ายกับมีน้ำสายหนึ่งกระแทกลงกลางลำคลองแล้วระเบิดเสียงดังอื้ออึง
ห่างจากศาลเทพวารีไปสามสี่ลี้ เบื้องใต้ของกระแสน้ำช่วงหนึ่งได้กลายมาเป็นสนามรบ
เฉินผิงอันมองไปไกลๆ ก็เห็นว่ามีเรือนกายเล็กจ้อยเรือนกายหนึ่ง ในมือถือวัตถุบางอย่าง ทุกครั้งที่โบกมือจะต้องมีเส้นโค้งสีเงินที่ส่องประกายเจิดจ้าไหลออกมาจากในน้ำ เนื่องจากความเร็วนั้นมากเกินไป เส้นสีเงินจึงทับซ้อนสะสมกันอย่างต่อเนื่อง คล้ายตัวอักษรแบบหวัดไร้ระเบียบที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองของการตวัดพู่กัน
เรือนกายนั้นส่องประกายแสงสีทองอ่อนจาง เมื่ออยู่เบื้องใต้ลำคลองที่มืดมิดก็คล้ายโคมไฟดวงหนึ่งที่ถูกจุดไฟ จึงเด่นชัดสะดุดตาเป็นพิเศษ
เรือนกายของหญิงสาวเตี้ยมาก ดูเล็กกะทัดรัดอย่างเห็นได้ชัด รูปโฉมยังอ่อนเยาว์ อันที่จริงหน้าตาของนางธรรมดา แถมใบหน้ายังกลมดิกเหมือนตุ๊กตา เพียงแต่ประกายสีทองที่ฉาบทอไปทั่วร่างและสายตาที่คมกริบทำให้นางเปี่ยมไปด้วยบารมีน่าเกรงขาม
ตรงเอวของนางห้อยดาบยาว ด้านหลังสะพายกระบี่เล่มยาว ในมือยังถือทวนเหล็กที่ยาวมากอีกหนึ่งอัน ยาวจนเกือบจะเท่าความสูงของนางสองคน
ฝักดาบเป็นสีม่วงเข้ม มีเส้นด้ายสีทองรัดพันไว้เกินครึ่ง
จุดที่ฝักกระบี่และด้ามกระบี่ตัดกันมีไอหมอกห้าสีระเหยขึ้นมา เป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง คิดดูแล้วกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มนั้นต้องมีระดับขั้นที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
นางทะยานอยู่ในน้ำเหมือนสายลม ไร้อุปสรรคกีดขวาง รวดเร็วดุจสายฟ้า ทวนยาวในมือกรีดแทงเข้าใส่เรือนกายมหึมาของปีศาจใหญ่ในน้ำตนนั้นอยู่หลายครั้ง เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วทำให้น้ำในน้ำแม่หมายเหออบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
มีครั้งหนึ่งนางถูกศีรษะของปีศาจน้ำชนจนร่างกระแทกลงไปใต้ท้องน้ำ เกิดเสียงครืนครั่นดังเป็นระลอก แต่เพียงชั่วพริบตาร่างของนางก็ดีดผลุงขึ้นมา จ้วงทวนแทงเข้าที่ใต้คางของปีศาจใหญ่ตนนั้น ปีศาจร้องโหยหวนเสียงดังสะเทือนแผ่นฟ้า ดิ้นพราดๆ เป็นเหตุให้ลำคลองหมายเหอเริ่มมีคลื่นยักษ์โถมตัวขึ้นมา แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ตรงศาลเทพวารีก็ยังสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ เพียงแต่ไม่มีใครหวาดกลัว แต่ละคนเขย่งปลายเท้ายืดคอพยายามมองไปให้ไกล เห็นเป็นเพียงเรื่องแปลกใหม่เรื่องหนึ่งเท่านั้น
นอกจากสตรีร่างเล็กเตี้ยจะลงมืออย่างดุดันอำมหิตแล้ว แม่นางชุดดำผู้นี้ยังชอบด่าทอคนอื่นขณะต่อสู้อีกด้วย
“เจ้าเดรัจฉานเจ้ามันโอหังใหญ่แล้ว! ข้าไม่ไปหาเรื่องเจ้าก็ถือว่าหลุมศพบรรพบุรุษของเจ้ามีควันขึ้นแล้ว…ช่างเถอะ เดิมทีเจ้าก็เป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีหลุมศพบรรพบุรุษอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้ากล้ามาปรากฏตัวอยู่หน้าศาลของข้า ข้าก็จะต้องให้เจ้าทิ้งเนื้อหลายสิบจินไว้ที่นี่!”
“อย่าคิดว่าเจ้ามีคนรู้จักอยู่ในราชสำนัก ทุกปีคอยยัดเงินให้เมืองเซิ่นจิ่งเจ็ดแสนแปดแสนตำลึงเงิน คิดอยากจะถอดถอนสถานะเจ้าเมืองของจวนปี้โหรวข้าทิ้งมาโดยตลอด แล้วข้าจะต้องกลัวเจ้า ต่อให้วันใดวันหนึ่งศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอกลายเป็นศาลเถื่อนของต้าเฉวียน ร่างทองของข้าถูกทำลาย แล้วจะอย่างไร? บอกแล้วว่าจะสับเจ้าเป็นสิบแปดชิ้นก็ไม่มีทางสับเจ้าแค่สิบเจ็ดชิ้นแน่นอน!”
“เจ้าเดรัจฉาน มาๆๆ มากินทวนข้าอีกรอบ! กลับไปแล้วข้าจะให้คนที่จวนปรุงปลาไหลผัดฉ่าให้สักถ้วย รสชาติคงเยี่ยมยอดยิ่งนัก!”
เรือนกายของปีศาจใหญ่โตมโหฬาร เป็นสีทองอร่าม ทั้งตัวไม่มีเกล็ดสักชิ้น ความเรียบลื่นนั้นทำให้คนสะอิดสะเอียน
เดิมทีมันคือปีศาจใหญ่ในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของต้าเฉวียน อยู่ในโลกมานานจนกลายเป็นปีศาจ เพียงแต่ว่าการฝึกตนเป็นไปอย่างเชื่องช้า แม้ว่าจะมีโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าหล่นมาอยู่ในมือนานแล้ว ทว่าหลังจากหมั่นฝึกตนอย่างมุมานะมาหกร้อยกว่าปีก็ยังคงถูกกักไว้นอกธรณีประตูขอบเขตประตูมังกรนานถึงร้อยกว่าปี ภายหลังมียอดฝีมือที่เดินทางผ่านทะเลสาบให้คำชี้แนะ มันจึงออกจากทะเลสาบซึ่งเป็นรังเดิม ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ผ่านความยากลำบากนานัปการ ก่อนจะเริ่มลงน้ำจากแหล่งกำเนิดของลำคลองหมายเหอ เลียนแบบการลงน้ำของเจียวหลง ฝ่าทะลุคอขวดมาได้จนได้เลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร หากมันสามารถว่ายลงน้ำอย่างราบรื่นไร้อุปสรรคไปได้เรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ลำคลองและแม่น้ำบรรจบกัน จากนั้นก็ไหลลงสู่มหาสมุทร ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นโอสถทอง
คิดไม่ถึงว่าตอนที่ผ่านศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ ผู้หญิงบ้าคนนั้นจะชิงชังที่มันฆ่าคนธรรมดาจำนวนหนึ่งไป จึงบอกว่าจะทำหน้าที่ทวงคืนความยุติธรรมแทนสวรรค์ ถึงขั้นสู้ตายกับมันอย่างไม่เสียดายชีวิต ตอนนั้นมันเพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตประตูมังกร พลังอำนาจกำลังโชติช่วงรุ่งเรือง จึงไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตา ทะเลสาบอันเป็นรังเดิมของมันก็มีเทพวารีเฝ้าพิทักษ์ แต่เทพวารีตนนั้นเป็นได้แค่แมลงที่ต้องส่งเสียงขานรับ (เปรียบคนที่ไม่มีความคิดเห็นอะไร เอาแต่เออออไปกับคนอื่น) มัน คอยค้อมเอวคุกเข่าให้มัน ทุกปียังต้องส่งของบรรณาการมาให้มัน
ทั้งสองฝ่ายไล่ฆ่ากันจากลำคลองช่วงที่อยู่นอกศาลเทพวารีขึ้นมาบนลำคลองตอนบนอย่างต่อเนื่อง การเข่นฆ่าสังหารครั้งนั้นฟ้าสะท้านดินสะเทือน สุดท้ายชายฝั่งสองด้านในระยะสองร้อยลี้ก็ท่วมเอ่อไปด้วยน้ำ โชคดีที่พื้นที่ช่วงนั้นเป็นป่ารกร้างจึงไม่ได้ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนไปด้วย
มันอยู่ในน้ำแต่กลับเอาชนะเทพวารีลำคลองหมายเหอผู้นั้นไม่ได้ จึงได้แต่ถอยกลับไปที่ลำคลองหมายเหอตอนบน ใช้เวลาพักฟื้นนานหลายสิบปี หลังจากที่ขอบเขตประตูมังกรมั่นคงดีแล้วก็สามารถจำแลงกายเป็นคน มันขึ้นฝั่งด้วยรูปลักษณ์ของชายฉกรรจ์ พกพาเอาสมบัติชิ้นใหญ่ไปขอขมาถึงจวนปี้โหรวด้วยตัวเอง ไหนเลยจะรู้ว่าผู้หญิงบ้าสมองมีปัญหาผู้นั้นจะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงไม้ลงมือกับมัน คราวนี้นิสัยดุร้ายของมันก็ถูกกระตุ้นแล้วเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างปล่อยสมบัติอาคมออกมาจนหมดสิ้น เทียบกับการต่อสู้เนื่องจากพบเจอกันบนลำคลองโดยบังเอิญในครั้งแรกแล้วยังรุนแรงดุเดือดยิ่งกว่า จวนปี้โหรวจมน้ำหายไปเกินครึ่ง เกิดความเสียหายนับไม่ถ้วน ร่างทองของเทพลำคลองถึงกับเกิดรอยปริร้าว มันเองก็ยิ่งไม่ดีไปกว่ากัน สมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งเสียหายและสมบัติสำคัญสยบวารีชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ต้องถอยร่นไปพร้อมกับความพ่ายแพ้อเนจอนาถ หลังจากนั้นสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ มันก็มองศึกกับจวนปี้โหรวเป็นความอัปยศที่ใหญ่สุดในชีวิต ต่อให้หลังจากวางแผนมาแล้วหลายรูปแบบ ตบะเพิ่มพูนจนขยับเข้าไปใกล้ธรณีประตูโอสถทอง แต่ก็ยังไม่ยอมจำแลงกายเป็นคนอีก มันสาบานกับตัวเองว่ามีเพียงวันที่ร่างทองของหญิงบ้าผู้นี้พังทลาย ศาลของนางถูกทอดทิ้งเท่านั้น มันถึงจะเดินอาดๆ ขึ้นฝั่ง
ส่วนเศษชิ้นส่วนร่างทองของอีกฝ่ายก็ย่อมต้องกลายมาเป็นอาหารในจานของมัน ไม่แน่ว่าไม่ต้องลงแม่น้ำสายใหญ่หรือลงมหาสมุทร มันก็อาจจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว!
เพียงแต่ว่าการต่อสู้ในน้ำอย่างจริงจัง มันกลับไม่เคยได้เปรียบคู่ต่อสู้อย่างเทพวารีลำคลองหมายเหอเลยสักครั้ง
รู้จักกันมาสองร้อยกว่าปี ดูเหมือนสตรีผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะขัดขวางมันไว้ที่ตอนบนของลำคลองหมายเหอ แล้วก็เพราะว่าทำเรื่องโง่ๆ ที่ทำร้ายคนอื่นอีกทั้งยังส่งผลเสียต่อตัวเองนี้ ต่อให้แต่ละปีนางได้รับควันธูปจากโลกมนุษย์มากมาย แต่การสร้างร่างทองของนางก็ยังคงเป็นไปอย่างเชื่องช้าอยู่ดี
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้มันต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง มันจึงรีบถอยกลับขึ้นไปยังลำคลองตอนบนอย่างรวดเร็ว
สตรีร่างเล็กเตี้ยเห็นว่ามันตัดสินใจแล้วว่าหากตนไล่ฆ่าไปอย่างไม่ยอมเลิกรา มันก็จะขึ้นฝั่งไปทำร้ายชาวบ้าน นางถึงได้หยุดมืออย่างขุ่นเคือง
ขณะที่ศึกใหญ่ดำเนินอยู่ ทวนเหล็กอันนั้นได้จมลงไปยังใต้น้ำนานแล้ว นางเก็บดาบและกระบี่เข้าฝัก พอหาอาวุธที่เหมาะมือที่สุดชิ้นนั้นเจอแล้วก็แผดเสียงด่าทอ ก่อนจะขยับร่างทะยานวูบหายเข้าไปในจวนปี้โหรว
จงขุยกับเฉินผิงอันถึงได้ปรากฏตัว
คนทั้งสองขึ้นฝั่งมุ่งหน้าไปยังศาลเทพวารี
ชาวบ้านที่มารอประตูเปิดเพื่อจะได้เข้าไปจุดธูปไหว้พระมีมากเกือบพันคน ตรงตีนเขามีทั้งลาและรถม้าจอดเรียงรายเต็มไปหมด เป็นเหตุให้นอกศาลมีร้านแผงลอยขายอาหารมื้อดึกอยู่มากมาย บวกกับเมื่อครู่นี้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในลำคลองตอนบน ทุกคนจึงกำลังตื่นเต้นฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด
จงขุยไปดูป้ายศิลาหยกขาวซึ่งมีมากมายดุจหน่อไม้อ่อนที่ผุดขึ้นมาหลังฝนตกเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน
ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำขอฝนที่ฮ่องเต้และขุนนางท้องถิ่นของต้าเฉวียนแต่ละยุคสมัยมาเขียนไว้ ในนั้นยังมีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับหนังสือยอมรับผิด รวมไปถึงคำขอบคุณหลังจากที่การขอฝนประสบความสำเร็จ ป้ายศิลาเหล่านี้เฉินผิงอันกวาดตามองไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจงขุยไปหยุดอยู่ด้านหน้าสุดของป่าป้ายศิลานานแล้ว เขานั่งยองอยู่บนพื้น มองป้ายหินเก่าแก่โบราณก้อนหนึ่งที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บนป้ายเหลือตัวอักษรแค่ไม่กี่สิบตัว เนื้อหาขาดๆ หายๆ เพราะตัวอักษรเสียหายไปเยอะมาก
เฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างกายจงขุย พบว่านั่นเป็นกลอนบทหนึ่ง แต่ไม่ได้ลงนามไว้ว่าใครเป็นผู้เขียน น่าจะเป็นเพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ถูกแดดส่อง ถูกฝนชะ ถูกลมพัด จึงเหลือตัวอักษรอยู่แค่ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ฟ้าดินไม่ได้ยิน ตะวันจันทรามองไม่เห็น…ภูเขาลำคลองร่วงโรย ต้นไม้ใบหญ้าเหี่ยวเฉา คนมีความสุขอยู่บนชั้นฟ้าบอกเล่าความทุกข์เวทนาแก่คนอื่น เจ้าแห่งสายฟ้า ควบคุมสายอสนี พุ่งทะยานไปในฟ้าดิน ลมเมฆกลืนกิน…เชี่ยวชาญการต่อสู้ น้ำขวดทองหนึ่งหยดบนชั้นนภา เส้นใยเต็มฟ้าดุจเครื่องทอผ้า…ปัดเป่าไอร้อนใต้หล้า
จงขุยถาม “มองอะไรออกบ้างไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”
จงขุยทอดถอนใจ “อาจารย์เคยกล่าวว่า ตัวอักษรที่บันทึกไว้ในศิลาก้อนนี้ แท้จริงแล้วคือบทท่องในการบำเพ็ญตนของลัทธิเต๋าบทหนึ่งที่หายสาบสูญไปเนิ่นนาน”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเจ้าดูออกน่ะสิ?”
จงขุยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แค่รู้จักตัวอักษรพวกนี้เท่านั้น”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
คนทั้งสองลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูใหญ่ของศาล มากคนก็มากความ จงขุยจึงอดบ่นไม่ได้ “เพื่อเจ้าแล้ว ข้าคงไม่ได้จุดดอกแรกแล้วสินะ?”
แต่ไม่นานจงขุยก็พูดขึ้นอีกอย่างจนใจว่า “ตรงประตูหลังต้องมีขุนนางหรือไม่ก็ชนชั้นสูงมารออยู่แล้วเป็นแน่ ประตูบานเล็กแห่งนั้นจะเปิดเร็วกว่าประตูใหญ่ทางฝั่งนี้หนึ่งถึงสองเค่อ ดังนั้นพวกชาวบ้านที่รออยู่นอกศาลพวกนี้ ต่อให้เจ้ารอหลายวัน หลายปี ขอแค่ไม่ไปข้างหลัง ให้คนเฝ้าศาลเปิดประตูหลังให้ด้วยตัวเอง ชั่วชีวิตนี้เจ้าก็ไม่มีทางได้จุดธูปดอกแรก”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างลังเล “ที่บ้านเกิดของข้ามีภาษาธรรมสี่คำบอกว่า ไม่ต้องแสวงหาสิ่งนอกกาย”
จงขุยอืมรับหนึ่งคำ “คำกล่าวนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ศาสนาพุทธยึดมั่นในศรัทธาที่เที่ยงตรง นั่นคือต้องการให้คนมีจิตศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกต้องเที่ยงธรรม เกี่ยวกับเรื่องธูปดอกแรกนี้ อันที่จริงผู้แสวงบุญหลายคนบนโลกต่างก็เข้าใจผิด จุดธูปแรก ไม่ใช่ธูปดอกแรกที่ปักลงไปในกระถางธูปยามที่เข้าไปในศาล ก็เหมือนที่เจ้าพูดว่า ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ นั่นแหละ ธูปดอกแรกก็เป็นแค่ธูปดอกแรกที่มาจากความตั้งใจจริงของคนจุดเอง ธูปดอกแรกในชีวิต ธูปดอกแรกของปีนี้ ธูปดอกแรกของเดือนนี้ ล้วนเป็นธูปดอกแรกทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
จงขุยยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าการได้เป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาง่ายนักหรือ? ต้องมีความรู้กว้างขวางถึงจะได้”
เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าแต่งกลอนให้ข้าสักบทสิ? หัวข้อก็คือความรู้สึกหลังจากอ่านบทขอฝนดีไหม? ข้าเห็นว่าในผลงานของพวกนักเขียนมักจะเป็นอย่างนี้ เจ้าไม่ลองดูบ้างล่ะ?”
จงขุยเงยหน้ามองสีพระจันทร์ “คืนนี้เหมาะให้ขึ้นเขาลงน้ำ เหมาะให้ไปเยี่ยมเยือน เหมาะให้ใกล้ชิดองค์เทพ มีเพียงอย่างเดียวคือไม่เหมาะให้ร่ายบทกลอน”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึอีกครั้ง
จงขุยอับอายจนพานเป็นโกรธ “เฉินผิงอัน เจ้าทำตัวแบบนี้น่าเบื่อนะรู้ไหม”
แล้วจงขุยก็หัวเราะ เอ่ยถามว่า “อยากไปเที่ยวชมจวนปี้โหรวกับข้าสักครั้งไหม นั่นคือตำหนักเทพวารีในอนาคตเชียวนะ ต่อให้เป็นทั่วทั้งใบถงทวีปก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ หากโชคดีเจ้าอาจจะยังได้เจอเจ้าแม่เทพวารีของลำคลองหมายเหอผู้นั้นด้วย…”
เฉินผิงอันกล่าว “เมื่อครู่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ?”
จงขุยตบหน้าผากตัวเอง เพียงแต่การตบครั้งนี้ทำให้สมองเขามีประกายแสงเปล่งวาบ “วาสนา! เทพหยินของเจ้าออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนครั้งนี้ก็คือวาสนา ไม่แน่ว่าอาจอยู่ที่จวนปี้โหยวหรือไม่ก็บนร่างของนาง!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ ข้าต้องรีบกลับไปแล้ว”
จงขุยทำหน้าเหมือนเห็นผี บนโลกยังมีคนที่ไม่เห็นโชควาสนาอยู่ในสายตาแบบนี้ด้วยหรือ?
มีเสียงอึกทึกดังมาจากทางตีนเขา จงขุยจึงลากเฉินผิงอันไปด้วยกัน “ปัญหามาแล้ว ไปดูกันเถอะ”
หญิงชราที่ดูแลศาลแห่งนี้กับผู้ฝึกตนเฒ่าที่ลักษณะเหมือนเซียนคนหนึ่งยืนเคียงไหล่กันอยู่ตรงตีนเขา ขัดขวางไม่ให้สตรีสวมชุดขาวคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนทางภูเขา
พวกชาวบ้านที่อยู่ตามร้านขายอาหารยามดึกห่างไปไกลพากันซุบซิบชี้ไม้ชี้มือใส่
—–