กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 344.2 ปฏิบัติตามความประสงค์
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน
ขออนุญาตทักทายและพูดคุยก่อนเข้าเนื้อหานิยายนะคะ
ทีมงานได้ตั้งราคาตอนนี้เป็น 5 เหรียญทอง เนื่องจากมีความยาวมากกว่าปกติ และเมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาแล้ว ทีมงานเห็นว่าหากแยกตอน อาจจะทำให้เสียอรรถรสและทำให้ขาดช่วงเกินไป จึงได้ตั้งราคาให้เหมาะสมกับเนื้อหานั่นเองค่ะ และต้องแจ้งให้ทราบว่า ในอนาคต หากนิยายบางตอนมีเนื้อหายาวและการรวบเนื้อหาจะทำให้อ่านลื่นกว่าเหมือนในกรณีนี้ ราคาของตอนนั้นๆ อาจจะเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นทีมงานจะพยายามทำให้อยู่ในราคาปกติที่ 3-5 เหรียญทองค่ะ
ทีมงานและนักแปลขอขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่สนับสนุนน้องผิงอันด้วยนะคะ
ที่แท้สีหน้าของสตรีผู้นั้นซีดขาวเหมือนคนป่วย ไม่เพียงเท่านี้ แม้เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางจะไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป แต่หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าตลอดเส้นทางที่นางเดินผ่านมาล้วนเปียกโชกเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนราวกับถือตะกร้าไม้ไผ่แล้วทำน้ำหยดมาเป็นทาง
หญิงชรากระแทกไม้เท้าหัวมังกรที่ถือไว้ในมือลงพื้นแรงๆ แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “แค่ผีพรายน้อยตัวหนึ่งก็กล้าล่วงเกินศาลของเจ้าแม่เทพวารี รนหาที่ตาย!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้มกล่าว “เดิมทีก็เป็นผีร้ายที่อยู่ในน้ำตัวหนึ่งอยู่แล้ว พูดว่ารนหาที่ตายคล้ายจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงชราน่าสะพรึงกลัว นางจ้องผีพรายในลำคลองหมายเหอที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรงตนนี้เขม็ง
ผีสาวตนนั้นตัวสั่นเทิ้ม กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้ามองไปยังบุคคลยิ่งใหญ่ที่สูงส่งเกินใครทั้งสองท่านแล้วเอ่ยอย่างขลาดกลัวว่า “เทพเซียนผู้เฝ้าศาล เซียนซือท่านนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อตามหาบัณฑิตคนหนึ่ง เขาบอกว่าสามารถช่วยให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการของปีศาจลำคลอง ไม่ต้องคอยช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญอีกต่อไป…”
หญิงชราเลิกคิ้ว “ตลกสิ้นดี! เจ้าขึ้นฝั่งมาอย่างไร้สาเหตุ นี่ต้องเป็นแผนการชั่วร้ายของปีศาจลำคลองตนนั้นแน่นอน!”
ผู้ฝึกตนเฒ่าลูบหนวดพลางคลี่ยิ้ม “เจ้าจะจัดการหรือให้ข้าจัดการ?”
หญิงชรากำไม้เท้าแน่น คิดจะใช้ไม้เท้าสังหารผีตนนี้
แต่กลับค้นพบว่าทำอย่างไรก็ยกหัวมังกรไม่ขึ้น จึงหันขวับกลับมา มองเห็นบัณฑิตคนหนึ่งคลี่ยิ้มมาให้ พูดกับนางว่า “มีอะไรก็พูดกันดีๆ แม่นางคนนี้ไม่ได้โกหก ข้ารับปากนางเรื่องนี้จริงๆ นางกล้าเสี่ยงกับการถูกปีศาจน้ำทรมานเพื่อขึ้นฝั่งมาหาข้า ไม่ง่ายเลยทีเดียว หากข้าเป็นพวกนักต้มตุ๋นที่พูดจาหาความเชื่อถือไม่ได้ สิบปีร้อยปีหลังจากนี้นางต้องมีชีวิตอนาถมากแน่ๆ ไม่แน่ว่าอาจกลายไปเป็นดวงวิญญาณไส้เทียนใต้ลำคลองหมายเหอ ถูกเผาไหม้อยู่ในน้ำจนกระทั่งวิญญาณมอดม้วย ความทรมานเช่นนี้น่ากลัวยิ่งกว่าทัณฑ์ทรมานทุกอย่างบนโลกเสียอีก”
จงขุยหันไปยิ้มให้ผีสาวที่ก่อนหน้านี้เคยถูกตนกระชากผม “แม่นางมีจิตใจที่กล้าหาญ และยิ่งมีสายตาที่ดี ความปรารถนานี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าสมหวังเอง! แค่การที่เจ้ากล้าขึ้นฝั่งมา ข้าก็จะลองพยายามขอโอกาสให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่…”
หญิงชราหน้าแดงก่ำ ยังคงไม่สามารถขยับหัวมังกรที่อยู่ในมือได้แม้แต่นิดเดียว นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ “เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไร?! เจ้าคิดจะปกป้องผีพรายลูกน้องปีศาจลำคลองตนนั้นภายใต้เปลือกตาของเจ้าแม่เทพวารีอย่างนั้นรึ?!”
สายตาของผู้ฝึกตนเฒ่าอึมครึม คำพูดที่ออกมาจากปากก็ยิ่งอันตราย “คนผู้นี้มีเจตนาชั่วร้าย ไม่แน่ว่าคิดจะใช้แผนในนอกประสาน ช่วยปีศาจลำคลองตนนั้นทำร้ายเจ้าแม่เทพวารีของพวกเรา”
จงขุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แค่จ้องไปที่ดวงตาของผีพรายตนนั้น
ในดวงตาของนางมีความหวาดกลัว เจ็บแค้น และยังมีความละอายใจเสี้ยวหนึ่งต่อบัณฑิตตกอับที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
จงขุยคลี่ยิ้มพยักหน้าให้ “เห็นแก่จิตใจที่ดีงามของเจ้าดวงนี้ ต่อให้ถูกอาจารย์ด่า ข้าก็จะแหกกฎเพื่อเจ้าสักครั้ง อย่างน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าข้าจงขุย ทำดีต้องได้ดี ไม่แบ่งแยกว่าคน ผีหรือตัวประหลาด แม่นาง โปรดรอสักครู่”
จงขุยยื่นมือออกมาทำท่ากระตุกลงด้านล่างหนึ่งที ไม้เท้าหัวมังกรหนักร้อยจินจึงฝังลงไปบนพื้นดินแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นตบหญิงชราคนเฝ้าศาลจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่กลางอากาศหลายสิบรอบ ก่อนจะไปหล่นกระแทกห่างไปไกลสิบกว่าจั้ง แล้วยกมือตบผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นั้นให้ปลิวลงไปตกในลำคลองหมายเหอ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สมเหตุสมผล แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่นะ”
นี่คือคำพูดที่จงขุยเคยพูดกับเขาตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม
จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “ถามใจตัวเองไงล่ะ”
จงขุยหุบรอยยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างเล่นแง่ “แค่มีเหตุผลก็พอแล้ว คำว่ามารยาทนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าเป็นแค่วิญญูชน ไม่ใช่อริยะ ตอนนี้ยังไม่ได้ใช้”
ผีสาวลำคลองหมายเหอตนนั้นอ้าปากกว้าง
นางเดาออกว่าบัณฑิตตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณที่มีตบะไม่ตื้นเขิน แต่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถตบเทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสองคนโดยที่พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่นิด
พลังอำนาจของจงขุยผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเดินก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ชายแขนเสื้อสองข้างส่ายไหว หยุดยืนนิ่งตรงหน้าผีสาวแล้วกล่าวเสียงหนักว่า “บอกชื่อแซ่ บ้านเกิด ช่วงเวลาตกฟากมา!”
ผีสาวบอกไปทีละอย่างตามคำสั่ง
จงขุยพยักหน้ารับบอกให้รู้ว่าตนทราบแล้ว ครั้นจึงประกบสองนิ้วเขาด้วยกัน ทิ่มไปที่หว่างคิ้วของผีสาวเบาๆ พูดอย่างเรียบง่ายว่า “ข้า จงขุย วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาต้าฝู”
เฉินผิงอันค้นพบว่านอกจากเขาและผีสาวแล้ว ดูเหมือนว่าชาวบ้านทุกคนที่อยู่นอกศาลเทพวารีจะตกอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง แม่น้ำแห่งกาลเวลาหยุดชะงักในช่วงเวลาสั้นๆ
จงขุยเอ่ยเนิบช้าว่า “ขอประกาศแก่ดินแดนเฟิงตู (ดินแดนที่ผู้ตายอาศัยอยู่) ไว้ ณ ที่นี้ว่า หญิงสาวผู้นี้จะไปยังโลกแห่งความมืด หมื่นผีมิอาจกล้ำกราย พญายมราชมิอาจดูหมิ่น เคราะห์กรรมทั้งหลายให้ยกเลิกหมดไป ข้าจะเป็นผู้รับไว้เอง ปล่อยให้นางได้ไปเกิดใหม่ รับพรอันประเสริฐ”
เฉินผิงอันพลันเงยหน้าขึ้น เห็นเพียงว่าบนอากาศห่างจากลำคลองหมายเหอไปร้อยจั้งมีเมฆดำเคลื่อนมารวมตัวกันบดบังแสงจันทร์ พอจะมองเห็นศีรษะของผีในโลกมืดตนหนึ่งที่ใหญ่โตราวขุนเขาลอยผลุบโผล่ได้เลือนราง พลังอำนาจน่าตะลึง ลักษณะคล้ายกุ่ยชา (หมายถึงผีที่ได้รับหน้าที่ในโลกแห่งความตาย) ระดับขั้นสูงสุดของเมืองเฟิงตูซึ่งวาดไว้ในภาพวาดของตระกูลเซียนบนภูเขาบางแห่งอย่างไม่มีผิดเพี้ยน จากนั้นทะเลเมฆก็รวมตัวกันหนาหนัก ลดวูบลงต่ำเคลื่อนมาแผ่ปกคลุมไปทั่วน้ำของลำคลองหมายเหอ ขุนนางในโลกแห่งความตายในตำนานผู้นั้นเดินออกมาจากไอหมอกสีมืดดำช้าๆ พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็หยุดฝีเท้าลงอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลง บนศีรษะสวมหมวกขุนนางแห่งยมโลก กุมหมัดกล่าวว่า “รับคำสั่งตามประสงค์!”
เมื่อเขายกมือขึ้นกุมเป็นหมัดก็มีเสียงเคร้งคร้างดังกระทบกันเป็นระลอก ที่แท้บนแขนสองข้างของเขาก็มีโซ่เหล็กสองเส้นพันไว้ ห้อยยาวลงไปจนถึงพื้น
จงขุยหดมือกลับมา
วิญญาณของผีสาวเริ่มสลายเหมือนแสงหิ่งห้อยที่พากันล่องลอยไปหากุ่ยชาที่ยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ
นางพูดด้วยเสียงสะอื้น “ขอบคุณคุณชายจง หวังว่าชาติหน้าข้าจะได้ตอบแทนพระคุณของท่าน”
จงขุยโบกมือพลางคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องหรอก อย่าได้มามีความเกี่ยวข้องกับข้าอีกเลย ชาติหน้าจงเป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ของเจ้าให้สบายใจเถอะ”
สุดท้ายผีสาวถูกกุ่ยชาแห่งดินแดนเฟิงตูที่มีหน้าที่คล้ายคลึงกับทูตลาดตระเวนพาตัวไป ไอเมฆหมอกสีดำที่ลอยอยู่บนลำคลองหมายเหอและกลางอากาศต่างก็ม้วนตัวแล้วสลายหายไปด้วย
ก่อนจะจากไป กุ่ยชาตนนั้นชำเลืองมองมาทางจิตหยินของเฉินผิงอันคล้ายไม่ตั้งใจ แต่ก็คล้ายจะเจตนา
จงชุยเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาหนักๆ หนึ่งที แล้วหันหน้ามาเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “จิตหยินนี้ของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงขนาดไม่ถูกสยบไปด้วย หรือว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยไปท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามาก่อน? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ พูดเพียงว่า “ข้ารู้สึกว่าจิ่วเหนียงน่าจะชอบเจ้า”
ดวงตาจงขุยเป็นประกาย “เจ้าคิดอย่างนี้จริงๆ หรือ?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางกล่าวว่า “พูดกับเจ้าไปตามมารยาทน่ะ อย่าได้คิดเป็นจริงเป็นจัง”
จงขุยยิ้มจืดเจื่อน จากนั้นก็พึมพำเบาๆ ว่า “วิธีการที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์เช่นนี้ ข้ากลับทำสำเร็จจริงๆ หรือนี่?”
จู่ๆ จงขุยก็เอียงศีรษะ ใช้ฝ่ามือถูปลายคาง จุ๊ปากพูด “ข้านี่มันเก่งจริงๆ บุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาแถมยังมีความสามารถอย่างข้า หาไม่ง่ายนักหรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เอ่ยคล้อยตาม “แถมยังสามารถเขียนกลอนที่ไม่มีสัมผัสคล้องจอง แล้วยังเป็นคนทำบัญชีด้วย”
จงขุยทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “คุยกับเจ้านี่มันน่าเบื่อจริงๆ”
……
จวนปี้โหรวไม่ได้สร้างไว้ริมลำคลองหมายเหอ แต่ตั้งอยู่กลางหุบเขาห่างจากลำคลองไปอีกสิบกว่าลี้ บวกกับที่สองข้างฝั่งของลำคลองช่วงนี้ไม่มีเส้นทางภูเขา ภูเขาสูงชันเดินลำบาก ร้างผู้คน หากขุนนางในพื้นที่คิดจะมาเยือนจวนปี้โหรวจึงเป็นเรื่องยากลำบาก ยังดีที่เจ้าแม่เทพวารีที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางช่วยลดความลำบากของพวกเขาไปได้เยอะ เหล่าขุนนางท้องถิ่นแค่ต้องไปเยือนจวนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาและแม่น้ำปีละครั้งเท่านั้น นี่จึงกลายมาเป็นความเคยชินของวงการขุนนางไปแล้ว
อาจารย์และลูกศิษย์จากอารามจินติ่งสองคนอย่างอิ่นเมี่ยวเฟิงและเส้ายวนหรานต่างก็เป็นผู้ฝึกตน แน่นอนว่าพวกเขาไม่คิดว่าการเดินทางมาที่นี่เป็นเรื่องยากลำบากตรงไหน เมื่อมาถึงหน้าประตูใหญ่จวนปี้โหรว อิ่นเมี่ยวเฟิงก็บอกชื่อแซ่ด้วยเสียงดังกังวาน นอกจากบอกสถานะข้ารับใช้จักรพรรดิราชวงศ์สกุลหลิวแล้ว ยังบอกชื่ออารามจินติ่งซึ่งเป็นสำนักของตนด้วย ผู้ฝึกตนของต้าเฉวียนล้วนเคยได้ยินเรื่องนิสัยประหลาดของเทพวารีลำคลองหมายเหอกันมาก่อน อิ่นเมี่ยวเฟิงจึงกลัวว่าหากตนไม่เอ่ยถึงอารามจินติ่ง คืนนี้จวนปี้โหยวอาจจะไม่เปิดประตูให้
แต่นักพรตเป่าเจินท่านนี้คิดผิดแล้ว
ต่อให้เขาบอกชื่ออารามจินติ่งและสถานะของอาจารย์ปู่เส้ายวนหรานออกไป ประตูใหญ่ของจวนปี้โหรวก็ยังคงปิดสนิท แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ไม่ได้โผล่หน้าออกมาให้เห็น
สีหน้าของอิ่นเมี่ยวเฟิงไม่สบอารมณ์ แต่จำต้องข่มกลั้นเอาไว้ เอ่ยขอร้องให้เทพวารีลำคลองหมายเหอเปิดประตูยอมให้พวกเขาเข้าพบอีกครั้ง แถมยังบอกไปตามตรงว่าตนนำพระราชโองการลับของฮ่องเต้มาแจ้ง
ส่วนเส้ายวนหรานกลับยิ่งสงสัยใคร่รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันแน่ อาจารย์ของตนถึงยอมให้พวกเขาสองคนต้องมากินน้ำแกงประตูปิดอยู่อย่างนี้ (กินน้ำแกงประตูปิดเปรียบเปรยถึงการไปเยือนบ้านคนอื่นแล้วเขาไม่ต้อนรับ ไม่เชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน)
กลางจวนขนาดมโหฬารที่กินอาณาบริเวณถึงร้อยกว่าไร่ ในห้องโถงใหญ่ที่แสงไฟโชติช่วงแห่งหนึ่งมีหญิงสาวร่างเล็กเตี้ยนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวโดยยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่ง ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะ
หรือควรจะพูดให้ถูกว่า อ่างบะหมี่
ใหญ่กว่าศีรษะของนางสองศีรษะรวมกันเสียอีก
คือบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า
ในห้องโถงมีพ่อบ้านและสาวใช้ของจวนยืนกันอยู่หลายคน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผีพรายที่ตายอย่างอยุติธรรมในลำคลองหมายเหอ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้นถามขึ้นเบาๆ “เหนียงเนียง จะไม่พบหน้านักพรตจากอารามจินติ่งสองคนนั้นจริงๆ หรือขอรับ?”
หญิงสาวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน เวลากินเส้นก็มีเสียงสูดดังสวบๆๆ นางพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “พบกะผีน่ะสิ! พูดไปพูดมาก็แค่คำพูดแบบเดิมๆ น่ารำคาญจะตาย”
นางพลันเงยหน้าขึ้น พูดกับชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อๆ ลักษณะคล้ายพ่อครัวที่กำลังปลดปลอกแขนออก “ผัดได้ไม่เลว คราวหน้าใส่พริกเยอะๆ หน่อย ใส่สักสามสี่จิน รสชาติจะได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมล่ะว่าทางที่ดีที่สุดต้องเป็นพริกชี้ฟ้าของร้านหลิวเหล่าซาน พริกของที่นั่นรสชาติดั้งเดิมที่สุด!”
พ่อครัวคนนั้นพยักหน้ารับ พูดตะกุกตะกัก “เหนียง…เนียง ข้า…ข้า…ทราบแล้ว”
หญิงสาวร่างเล็กเตี้ยกลอกตามองบน พูดอย่างขุ่นเคือง “เหนียงเนียงกับท่านทวดเจ้าน่ะสิ ข้ายังเป็นหญิงสาวในห้องหอ!”
นางพลันใจสั่น ตบตะเกียบวางลง ลุกพรวดขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยปราณสังหาร “มารดามันเถอะ ยังมีคนกล้ามาก่อกวนที่ศาลอีกรึ?! ใจกล้าไปหน่อยแล้วกระมัง!”
บนโต๊ะปรากฏควันกลุ่มหนึ่งเหมือนมีคนจุดธูป เพียงแต่ว่านอกจากควันที่ลอยอ้อยอิ่งแล้วยังมีเสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังขึ้นมาด้วย
หลังจากนางตั้งใจรับฟังจนจบ นางที่ไอสังหารเดือดพล่านก็เรอดังเอิ้ก ก่อนจะรีบก้มหน้าค้อมเอวหยิบตะเกียบขึ้นมากินบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าอีกคำโต แล้วถึงได้เช็ดปาก เดินก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก พอเดินไปใกล้ธรณีประตูแล้วถึงพูดกับพ่อบ้านชราว่า “ข้าจะไปที่ศาลสักรอบ เจ้าไล่แขกที่อยู่ข้างนอกกลับไปซะ บอกว่าข้ายังคงยืนกรานคำเดิม เว้นเสียจากว่าทางราชสำนักจะสามารถบอกให้สำนักศึกษาเอาตำราเล่มนั้นออกมาได้ ไม่อย่างนั้นจวนปี้โหรวของเราก็ยอมเก็บรักษาป้ายเก่านี้เอาไว้”
พ่อบ้านชราหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ว่าจะเคารพเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้มาก แต่กลับไม่ได้หวาดกลัวนางสักเท่าไหร่ จึงถามไปตามตรงว่า “เหนียงเนียง หากเทพเซียนลัทธิเต๋าสองคนนั้นขุ่นเคืองขึ้นมา ทำลายจิตวิญญาณข้าจนแหลกสลาย ข้าควรจะทำอย่างไร? แล้ววันหน้าใครจะยังไปช่วยหาซื้อของจากในตลาดของโลกมนุษย์มาให้ท่าน?”
นางร้องถุย “กลัวตายก็บอกมาตรงๆ สิ ยังจะมาหาข้ออ้างให้ตัวเองอีก”
พูดอย่างนี้ก็จริง แต่พอนางก้าวหนึ่งก้าวออกไปจากธรณีประตู ร่างหายวับไปแล้ว กลับยังมีเสียงของนางก้องสะท้อนอยู่ข้างนอกจวนปี้โหรว “พูดคุยกันดีๆ ห้ามฆ่าคน…พูดผิด ห้ามฆ่าผี”
……
ในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ เรือนกายเล็กเตี้ยของสตรีปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ห้อยดาบสะพายกระบี่ แต่ไม่ได้พกทวนเหล็กเล่มนั้นมาด้วย
เมื่ออยู่ในอาณาเขตของศาลร่างทอง ก้าวแค่หนึ่งก้าวนางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของตัวการร้ายสองคนนั้น “พวกเจ้าสองคน เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดต้องมาก่อเรื่องที่นี่? หญิงแก่คนเฝ้าศาลที่ผู้ว่าเขตการปกครองยัดเยียดมาให้พูดจาเชื่อถือได้แค่สามสี่ส่วน ข้าไม่เชื่อคำพูดที่เสริมเติมแต่งจนเกินจริงของนาง แต่ความเคลื่อนไหวของที่นี่ ข้ารับรู้ได้อย่างชัดเจน พวกเจ้าลองพูดมาสิ ข้าจะรับฟัง”
นางที่คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันและจงขุยพูดพลางถอยหลังไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่ใช่ว่าหวาดกลัวอะไร แต่เป็นเพราะการที่ต้องแหงนหน้าพูดกับคนอื่น นางรู้สึกว่าน่าขายหน้าไม่น้อย
รอจนไม่จำเป็นต้องเงยหน้าแล้ว นางถึงได้หยุด นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าก็คือเทพวารีของลำคลองหมายเหอแห่งนี้”
จงขุยจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในนางฟังหนึ่งรอบ เขาพูดอย่างกระชับแต่ได้ใจความ ความจริงของเหตุการณ์จึงปรากฏกระจ่างแจ้ง
พอนางฟังจบก็พยักหน้ารับเบาๆ “ก็คงต้องทำประมาณนี้แหละ ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าเดินเล่นกันตามสบาย ข้าจะบอกให้หญิงแก่เฝ้าศาลผู้นั้นสำรวมตน อย่าได้คิดลอบกัดพวกเจ้า”
จงขุยเห็นว่านางนึกจะไปก็ไปจึงรีบรั้งเอาไว้ “ข้ามีธุระสำคัญอยากจะคุยกับเจ้า”
สีหน้าของนางเคร่งเครียด
ในฐานะเทพวารีของระบบสืบทอดดั้งเดิมที่ควบคุมโชคชะตาของน้ำในลำคลองหมายเหอ ความเคลื่อนไหวผิดปกติของที่แห่งนี้ช่วงก่อนหน้าได้บดบังเจตนารมสวรรค์ ราวกับว่าพื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้ถูกไอหมอกในภูเขาเคลื่อนเข้าปกคลุม เป็นเหตุให้นางสัมผัสไม่ได้ถึงความแปลกประหลาดที่ซ่อนอยู่ภายใน แต่ฝ่ายตรงข้ามมีตบะตื้นลึกเท่าไหร่ นางพอจะรู้อยู่ในใจคร่าวๆ เมื่อเทียบกับปีศาจลำคลองที่รับมือได้ยากตนนั้น มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า ต่อให้อยู่ในศาลของตัวเอง พลังการต่อสู้ของนางย่อมเหนือกว่าอยู่ใต้น้ำ แต่เรื่องตีรันฟันแทงนี้ นางเป็นสตรีคนหนึ่ง หากไม่ต้องลงไม้ลงมือกันย่อมดีกว่า ในเมื่อบัณฑิตผู้นี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างชัดเจนแล้ว ก็ถือว่าพวกเขาได้มาพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น เจ้าเดินบนเส้นทางหยางกวาน (หมายถึงเส้นทางที่กว้างใหญ่ไร้อุปสรรค) ของเจ้า ข้าก็จะได้กลับไปกินบะหมี่ปลาไหลชามนั้นของข้า
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าจะยังมีธุระสำคัญอยากพูดคุย?
หรือว่าเป็นเรื่องที่จวนปี้โหรวจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนัก?
นางจึงถามไปตามตรง “เจ้าเป็นคนของสำนักศึกษาต้าฝู?”
จงขุยยิ้มตอบ “เจ้าแม่เทพวารีแค่เดาก็ถูกต้อง สมกับ…”
“ไม่ต้อง ‘สมกับ’ แล้ว หยุดเลยๆ!”
นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตัดบทคำพูดที่กล่าวตามมารยาทของจงขุย แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บัณฑิตอย่างพวกเจ้าชอบประจบสอพอ สมกับที่เคยได้ยินมาจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าน่าสนใจ
จงขุยเกาหัว “เปลี่ยนเป็นตำราของอริยะเล่มอื่นไม่ได้จริงๆ หรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่เจ้าดึงดันแบบนี้ ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนลำบากใจอย่างมาก ไม่แน่ว่าวิญญูชนของสำนักศึกษาที่อยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งอาจหงุดหงิดที่เจ้าไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น หาใช่ว่าสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเราไม่เข้าใจผู้อื่น วางมาดใหญ่โต แต่เป็นเพราะข้อเรียกร้องของเทพวารีอย่างเจ้าเกินจากหลักปกติไปจริงๆ”
นางพยักหน้ารับ “ข้ารู้ว่าข้าเรียกร้องมากเกินไป ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่ารับปากเรื่องนี้เลย ข้าไม่ได้ต้องการตำหนักปี้โหยวอะไรเสียหน่อย ใช่แล้ว หวังว่าสำนักศึกษาของพวกเจ้าจะไม่พาลโกรธราชสำนักต้าเฉวียน หากมีเรื่องอะไรก็ให้มาหาข้า ข้ากล้าทำก็กล้ารับ ความรับผิดชอบแค่นี้ จวนปี้โหยวของพวกเรายังพอมีอยู่”
จงขุยกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคิดไม่ตกจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าแม่เทพวารีอย่างเจ้าถึงต้องการตำราของอริยะท่านนั้นให้ได้? หรือเจ้าเคยรู้จักกับอริยะท่านนั้น?”
เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอส่ายหน้าอย่างแรง “ข้าเป็นแค่เทพวารีตัวน้อยๆ ไหนเลยจะรู้จักกับท่านอริยะเหวินเซิ่งที่มีความรู้ใหญ่กว่าผืนฟ้าได้ ก็แค่เคยอ่านหนังสือของท่านผู้อาวุโส รู้สึกว่าบทความของเขา แต่ละคำล้วนงดงามดุจไข่มุก เขียนได้ดีกว่าหลี่เซิ่งที่มีหลักการยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เลือกใช้ถ้อยคำชวนให้อึดอัดกลัดกลุ้ม และดีกว่าหย่าเซิ่งที่ความรู้ย่ำแย่กว่าอยู่มาก อืม หากเอาบทความของปรมาจารย์มหาปราชญ์มาเทียบกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแล้วก็พอจะถือได้ว่าสูสีกันกระมัง…”
จงขุยกะพริบตาปริบๆ “เจ้าแม่เทพวารี เจ้าพูดจาแบบนี้ต่อหน้าวิญญูชนของสำนักศึกษา ไม่กลัวจะถูกฟ้าผ่าตายหรือ? หืม?!”
ถึงอย่างไรจงขุยก็มีชาติกำเนิดมาจากสายของหย่าเซิ่งสายดั้งเดิมที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เขา เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูก็ยิ่งเดินออกมาจากจวนของหย่าเซิ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
จงขุยโมโหก็ส่วนโมโห แต่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าแม่เทพวารีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ แต่หากไม่ข่มขู่นางสักหน่อย มโนธรรมในใจของเขาก็มิอาจสงบลงได้
อันที่จริงสาเหตุจริงๆ นั้นเป็นเพราะจงขุยกังวลว่าอาจารย์ที่เฝ้าพิทักษ์ภาคกลางของใบถงทวีปจะถูกปรากฎการณ์ประหลาดของที่แห่งนี้ดึงดูดความสนใจ แล้วใช้วิชาอภินิหารเพ่งมองมายังภูเขาแม่น้ำแถบนี้ ถ้าอย่างนั้นหากเขายังไม่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมหรือพูดอะไรที่ช่วยกู้หน้าตาสายบุ๋นฝั่งเขากลับคืนมาสักหน่อย กลับไปจะไม่ถูกอาจารย์ด่าตายหรอกหรือ?
คงเป็นเพราะตระหนักได้ว่าตัวเองปากเปราะพูดไม่คิด ถือเป็นไม่ความเคารพอย่างใหญ่หลวงแล้ว นางจึงกะพริบตาปริบๆ “ในบ้านข้ามีบะหมี่อยู่ถ้วยหนึ่งที่ยังกินไม่หมด ต้องกลับไปกิน ถ้าเย็นแล้วจะไม่อร่อย”
เฉินผิงอันฟังเงียบๆ ยืนอยู่ด้านข้าง แต่ในใจกลับมีคลื่นซัดโถมกระหน่ำ
—–