กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 347.1 อาจารย์พูดถึงลำดับขั้นตอน เทพวารีสร้างโอสถทอง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 347.1 อาจารย์พูดถึงลำดับขั้นตอน เทพวารีสร้างโอสถทอง
ยามหนึ่งมนุษย์ ยามสองไฟ ยามสามผีเร่ร่อน ยามสี่ขโมย ยามห้าไก่ขัน ใต้ฟ้าสว่างเป็นสีขาว
ยามสามของคืนนี้ บรรยากาศในลำคลองหมายเหออึมครึมน่าสะพรึงกลัว
ทางฝั่งของจุดพักม้า บางทีอาจเป็นเพราะมีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาเฝ้าอยู่ที่นี่ ทหารมีปราณของการเข่นฆ่าที่น่าเกรงขาม จึงเป็นการสกัดกั้นกลิ่นอายที่น่าขนลุกขนชั้นนั้นไว้ได้โดยที่มองไม่เห็น
เหยาจิ้นจือฝึกวิชาเงินทองอยู่ในห้องของตัวเอง วิชานี้ภาษาชาวบ้านเรียกว่าป่าไข่มุกเพลิง เป็นหนึ่งในวิชาลับบนภูเขา อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นวิชาที่เข้าขั้นอย่างแท้จริง เหยาจิ้นจือเจอมาจากในหอตำราตอนยังเป็นเด็กโดยบังเอิญ หลายปีมานี้จึงเอามาใช้เป็นงานอดิเรกฆ่าเวลา วิชาเงินทองนี้จะใช้เหรียญทองแดงสามเหรียญโยนเพื่อขอคำทำนาย บ้างก็ใช้เหรียญหกเหรียญ โดยการใส่เหรียญทองแดงหกเหรียญไว้ในกระบอกไม้ไผ่ หลังจากเทเหรียญทองแดงออกมาแล้วก็ดูว่าเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง ถามถึงอนาคต แล้วทำนายออกมาว่าดีหรือร้าย บางครั้งก็แม่นยำ บางครั้งก็ไม่ ซึ่งอันที่จริงแล้วตัวเหยาจิ้นจือเองก็ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่
วันนี้นางใช้เหรียญสามเหรียญถามว่าการเดินทางเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ของตนจะเป็นอย่างไร ผลออกมาว่ามหามงคล
ก่อนจะใช้เหรียญหกเหรียญถามว่าชะตาแคว้นของสกุลหลิวต้าเฉวียนจะสั้นหรือยาว
หลังจากนั้นก็ทยอยเก็บเหรียญทองแดงมาทีละเหรียญ ใบหน้าเหยาจิ้นจือเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ครุ่นคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ตำหนิตัวเองว่าเดิมทีการถามสวรรค์ ถามผีและเทพก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว นางจึงไม่มัวเสียอารมณ์อยู่กับผลลัพธ์ทั้งสองครั้งนี้อีก ลุกขึ้นเดินมาที่หน้าต่าง เห็นว่าเหยาหลิ่งจือกำลังฝึกวิชาดาบ ห่างออกไปไกลอีกนิด ในห้องห้องหนึ่งยังจุดไฟสว่างโร่ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเหยาเซียนจือกำลังจุดตะเกียงอ่านตำราพิชัยยุทธ
นางกลับมานั่งข้างโต๊ะ คิดว่าหลังจากนี้ควรจะไปเล่นหมากล้อมกับท่านหลูผู้นั้นบ่อยๆ นำของเล็กๆ น้อยๆ ฝีมือประณีตมอบให้เด็กหญิงที่ชื่อว่าเผยเฉียนสักสองสามชิ้น แล้วก็ยังต้องหาโอกาสมอบของชิ้นหนึ่งที่ถูกกาละเทศะและเหมาะสมให้กับข้ารับใช้หนุ่มของสกุลหลิว เพราะในฐานะที่เป็นสตรี นางมองความในใจที่ซ่อนไว้ในจุดลึกของดวงตาเส้ายวนหรานออก เพียงแต่ว่าทั้งๆ ที่นางมองออก นางกลับแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้นางเคยพูดคุยกับผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นแค่สองสามคำเท่านั้น รวมไปถึงมีครั้งหนึ่งที่จงใจมองไปทางแผ่นหลังของคนผู้นั้น จะว่าไปแล้วผู้รับใช้จักรพรรดิหนุ่มคนนั้นก็น่าขำ เขาคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้านาง สีหน้าที่เย็นชาของตัวเองจะสามารถปกปิดทุกอย่างได้ นางมั่นใจได้เลยว่าการจ้องมองอย่าง ‘ไม่ได้ตั้งใจ’ ครั้งนั้นของตน มากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนปณิธานสูงส่งคนหนึ่งเกิดริ้วกระเพื่อมไหวในใจได้
เหยาจิ้นจือเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า การกระทำมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดนับพันนับหมื่น แล้วนับประสาอะไรกับที่คำพูดของคน เดิมทีก็ไม่ได้มากมายอยู่แล้ว ฟังเข้าหูหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง จะเข้าสู่ใจคนได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สตรีที่มีรูปโฉมงามเลิศล้ำ บุรุษที่กุมอำนาจสำคัญไว้ในมือ เดิมทีก็เป็นข้อได้เปรียบตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
พอเหยาจิ้นจือคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดคนบางคนถึงสามารถอยู่ร่วมกับตนได้ด้วยจิตใจที่สงบนิ่งมั่นคงอย่างแท้จริง?
……
ตั้งแต่ดึกดื่นค่อนคืนจนฟ้าใกล้จะสาง จูเหลี่ยนเฝ้าอยู่ตรงริมลำคลองหมายเหอตลอดเวลาไม่ไปไหน
เมื่อคืนนี้มีเรื่องประหลาดมากมายเกิดขึ้น ตอนแรกก็เป็นนังหนูเผยเฉียนที่พูดจาเหลวไหลบอกว่ามองเห็นสะพานสีทองเหนือลำคลอง จากนั้นเฉินผิงอันก็หยุดท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู บอกว่าต้องการให้เขากับเผยเฉียนกลับจุดพักม้าไปก่อน แล้วเฉินผิงอันก็กระโดดลงไปในลำคลองหมายเหอ เผยเฉียนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็กระโดดตามไปติดๆ หลังจากนั้นน้ำในลำคลองหมายเหอก็เกิดน้ำวนขึ้นมาลูกหนึ่งอย่างหน้าอัศจรรย์ใจ ปราณวิญญาณบนผิวน้ำเปี่ยมล้นจนจูเหลี่ยนรู้สึกไม่สบายตัว น้ำวนลูกนั้นห่อหุ้มเฉินผิงอันและเผยเฉียนไว้ข้างใน มันปรากฏตัวอย่างกะทันหันแล้วก็หายไปอย่างฉับพลัน ทิ้งไว้เพียงเรือนกายพร่าเลือนของสตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งให้จูเหลี่ยนได้เห็น
ได้ยินว่าใบถงทวีปเป็นเพียงแค่หนึ่งในเก้าทวีปใหญ่ของใต้หล้าไพศาล
ฟ้าดินกว้างใหญ่ แล้วใหญ่แค่ไหน
ผู้ฝึกตนสูงส่ง แล้วสูงส่งแค่ไหน
ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาเหมือนกับคนรวยของอำเภอแห่งหนึ่งที่จู่ๆ ไปเยือนเมืองหลวง แล้วพบว่าเงินน้อยนิดในกระเป๋าตนซื้ออะไรไม่ได้สักอย่าง จึงอดผิดหวังและห่อเหี่ยวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ว่าความคิดเหล่านี้ถูกจูเหลี่ยนเก็บกวาดปัดเป่าให้สะอาดเอี่ยมอย่างว่องไว กลับกลายเป็นว่าเกิดความฮึกเหิมและปณิธานที่อัดแน่นเต็มทรวงอก อย่าเห็นว่าวันๆ จูเหลี่ยนเอาแต่ยิ้มตาหยีตามก้นเฉินผิงอันต้อยๆ เพราะหลายวันมานี้ตบะบนวิถีวรยุทธ์ของเขาทะยานรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีหยุดพักเลยสักนาทีเดียว
คนอื่นๆ อีกสามคนก็ไม่ด้อยไปกว่าจูเหลี่ยวน เว่ยเซี่ยนกำลังมองสำรวจตรวจตราใต้หล้าแห่งนี้อย่างละเอียด มองฟ้าดินจากจุดที่ละเอียดอ่อนที่สุด สุยโย่วเปียนปิดด่านเพื่อบรรลุวิชากระบี่อยู่ในห้องโดยสารรถม้า หลูป๋ายเซี่ยงก็ยิ่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ทั้งพิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เชี่ยวชาญ
นี่ก็คือข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นของพวกจูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงสี่คน
ทุกคนต่างก็เคยเป็นอันดับหนึ่ง เคยเป็นผู้ไร้เทียมทานในโลกมาเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์บริสุทธิ์เต็มตัว สภาพจิตใจแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้ตำหนิ คู่ควรกับคำว่า ‘บริสุทธิ์เต็มตัว’ มากที่สุด
และในบรรดาคนทั้งสี่นี้ก็แอบมีการงัดข้อกันอย่างลับๆ
ดูว่าใครจะสามารถฝ่าคอขวดขอบเขตเจ็ดไปได้ก่อนกัน
ขอแค่เลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ขอบเขตที่แปดทะยานลมและขอบเขตที่เก้ายอดเขา สำหรับพวกเขาแล้วล้วนไม่มีธรณีประตูบานใหญ่กั้นขวาง อยู่แค่ว่าจะใช้เวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น
จูเหลี่ยนเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแล้วเริ่มเดินย้อนกลับไปทางเดิม ในมือชั่งน้ำหนักหินไข่ห่านก้อนหนึ่ง ถูมันเข้ากับฝ่ามือเบาๆ เศษหินหล่นร่วงลงมา ก่อนจะถูกลมเย็นพัดพาให้สลายหายไป
คนทั้งสี่นอกจากคอขวดของวิถีวรยุทธ์แล้ว แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่พอใจโซ่ตรวนที่พันธนาการกาย อย่าลืมว่าเว่ยเซี่ยนคือฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงคือบรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาลัทธิมาร สุยโย่วเปียนก็ยิ่งเป็นเซียนกระบี่หญิงที่แม้แต่กฎเกณฑ์ของพื้นที่มงคล นางก็ยังคิดจะใช้หนึ่งกระบี่แหวกผ่าออกไป หากจะบอกว่าคนทั้งสี่ศิโรราบทั้งกายและใจ เต็มใจจะเป็นวัวเป็นม้ารับใช้คนหนุ่มที่ได้ครอบครองม้วนภาพวาดทั้งสี่ฉบับนั้น อย่าว่าแต่เฉินผิงอันเลย เกรงว่าต่อให้เป็นเด็กหญิงที่ชื่อว่าเผยเฉียนคนนั้นก็คงไม่เชื่อ
เพียงแต่เหตุการณ์ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยม ทำให้คนทั้งสี่เกิดความประทับใจที่ลึกล้ำต่อเฉินผิงอัน
จูเหลี่ยนกำหินที่อยู่ในฝ่ามือแน่น พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ดูจากท่าทางเป็นธรรมชาติที่เฉินผิงอันแสดงออกมาในเวลานี้ หลูป๋ายเซี่ยงน่าจะเป็นคนที่เปิดเผยความจริงเร็วที่สุด ดังนั้นคนทั้งสองถึงได้ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนี้?”
จงขุยวาดยันต์สยบกระบี่ที่ชวนอกสั่นขวัญผวาแผ่นนั้นเสร็จ แล้วเดินตามอาจารย์ไปจากลำคลองหมายเหอ โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของจวนปี้โหยวจึงค่อยๆ กลับมามั่นคงดังเดิม เผยเฉียนที่สาวใช้อายุน้อยพาออกไปเล่นก็ย้อนกลับมาที่ห้องโถงใหญ่
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าผนังบังตา เผยเฉียนเพิ่งจะคืนน้ำจากลำคลองหมายเหอหนึ่งกอบมือกลับไป กลับมองเห็นว่าภาพควันธูปบนผนังลอยสะเปะสะปะ น้ำในลำคลองโถมซัดสาดราวกับว่าอีกเดี๋ยวน้ำเหล่านั้นจะทะลักทลายออกมานอกกำแพงหิน ท่วมทับจวน เผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง ร้องโวยวายว่าจะกลับไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน สาวใช้ผีพรายที่ในอดีตต้องตายอย่างอยุติธรรมในลำคลองหมายเหอถูกเจ้าแม่เทพวารีใช้วิชาอภินิหารขับไล่ออกไปจากจวนแล้ว ทิ้งเผยเฉียนให้ยืนเดียวดายอยู่ตรงผนังบังตาเพียงลำพัง นางจึงร้องไห้จ้า ร้องจนเสียงแหบแห้ง
ตอนนี้กลับมาถึงห้องโถงใหญ่ บนใบหน้าของเผยเฉียนจึงยังเหลือคราบน้ำตา ยืนอยู่ตรงธรณีประตูอย่างขลาดๆ ไม่กล้าเข้ามาข้างใน สายตาแค่นี้นางยังพอจะมีอยู่บ้าง รู้ว่าเฉินผิงอันกำลังพูดคุยธุระอยู่กับคนอื่น หากคราวนี้นางบุกเข้าไป ทำให้เฉินผิงอันโมโห คราวก่อนมีจงขุยช่วยพูดให้ แต่คราวนี้ไม่มีใครช่วยพูดผดุงคุณธรรมแทนนางแล้ว
เฉินผิงอันหันมาถาม “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องโถงใหญ่ นั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเฉินผิงอัน นางนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อย กล่าวอย่างน้อยใจและร้อนตัว “เมื่อครู่ข้าเอาน้ำกอบนั้นกลับไปคืนผนังบังตา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรถึงเกิดแผ่นดินไหว เฉินผิงอัน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ เจ้าห้ามโกรธข้าล่ะ”
เฉินผิงอันดีดหน้าผากของเผยเฉียน พูดยิ้มๆ “เจ้ารู้จักกลัวด้วยหรือ?”
เผยเฉียนเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็มั่นใจว่าเหตุการณ์ประหลาดที่น่าตกใจนั้นน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับนาง พอมีความมั่นใจ เอวก็ยืดตรงทันที ได้กลิ่นหอมลอยโชยมาปะทะจมูกก็รู้สึกน้ำลายไหล อีกอย่างเห็นภูตผีตัวประหลาดมามากแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่พื้นที่มงคลดอกบัว เผยเฉียนยังเคยได้ยินนักเล่านิทานที่อยู่ใต้สะพานลอยเล่าเรื่องประหลาดให้ฟัง มักจะพูดถึงเหล้าหนึ่งจอก ผลท้อหนึ่งลูกของวังมังกรและจวนเซียนใต้น้ำที่กินเข้าไปแล้วทำให้คนอายุยืนยาว จึงลองถามหยั่งเชิง “ข้าจิบเหล้าคำเล็กๆ ได้ไหม?”
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ เผยเฉียนรีบทำท่ากระจ่างแจ้งทันที “ข้าอายุยังน้อย จะดื่มเหล้าได้อย่างไร ยังคงเป็นเจ้าเฉินผิงอันที่ต้องดื่มให้มากสักหน่อย”
เจ้าแม่เทพวารีที่มีนิสัยโผงผางใจกว้างขบขันท่าทางของเด็กหญิงตัวน้อยที่ฉลาดเฉลียวผู้นี้ยิ่งนัก “ในจวนยังมีเหล้าบุปผาหมักร้อยปีอยู่อีกไม่น้อย เดี๋ยวข้าจะมอบให้เจ้าเอากลับไปหนึ่งไห ส่วนเฉินผิงอันจะแย่งไปดื่มเองหรือจะเหลือไว้ให้เจ้าเล็กน้อย ข้าคงเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว”
พอได้อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เผยเฉียนก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอะไรอีกแล้ว นางพูดเหมือนคนแก่ว่า “หากจะมอบเหล้าให้ข้า ข้าก็ต้องขอบใจเจ้า แต่ตอนนี้ข้าอายุยังน้อย ดื่มเหล้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ตัวอักษรของข้า คราวหน้าที่พวกเรามาเป็นแขกในบ้านของเจ้า ถึงเวลาที่ข้าสามารถดื่มเหล้าได้แล้ว เจ้าก็อย่าได้ขี้เหนียวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะผิดต่อสถานะเทพเซียนของเจ้าได้”
เจ้าแม่เทพวารีจุ๊ปากพลางมองประเมินคิ้วตาของเผยเฉียนไม่หยุด ยิ่งมองจิตใจก็ยิ่งหวั่นไหว พูดกับเฉินผิงอันทีเล่นทีจริงว่า “เป็นแม่นางน้อยที่ฉลาดเฉลียวจริงๆ ไม่อย่างนั้นทิ้งนางไว้ที่จวนปี้โหยวของข้าเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าดูแลนางแทนให้เอง วันหน้าตำแหน่งเจ้าแม่เทพวารีของจวนปี้โหยวข้าก็มอบให้นางรับช่วงต่อ ข้ารับรองว่าจะถ่ายทอดความรู้และให้การสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ นอกจากนี้จะยังหลอมสมบัติอาคมให้นางสองชิ้น นานสุดสองร้อยปี นางก็จะสามารถกลายเป็นเทพวารีที่มีศักยภาพที่สุดของราชวงศ์ต้าเฉวียนได้แล้ว”
เผยเฉียนลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน พูดเสียงขุ่นเคืองอย่างหนัก “ห้ามพูดจาเหลวไหล ข้ายังต้องเดินทางไปเขตการปกครองหลงเฉวียนแจกันสมบัติทวีป เอากลอนคู่ไปติดที่บ้านบรรพบุรุษของข้า!”
เฉินผิงอันปฏิเสธข้อเสนอของเทพวารีอย่างละมุนละม่อม
ไม่เอาตัวนางไว้ข้างกาย เขาไม่วางใจจริงๆ
เจ้าแม่เทพวารีก็ไม่ได้บังคับขืนใจ แม้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้นางจะไม่ได้ล้อเล่นก็ตาม
หากเผยเฉียนที่มีพรสวรรค์ในสายตาของนางอยู่ต่อในจวนปี้โหยว นางจะพยายามช่วยให้แม่นางน้อยสืบทอดตำแหน่งเทพลำคลองหมายเหอของตนจริงๆ อีกทั้งยังจะช่วยหลอมอาวุธระดับสมบัติอาคมให้นางสองชิ้นด้วย ต่อให้จะผิดต่อความตั้งใจเดิมของตน ต้องแสร้งโอนอ่อนคล้อยตามราชวงศ์ต้าเฉวียนและสำนักต้าฝู ก็จะต้องช่วงชิงคำว่าตำหนักมาให้จวนปี้โหยวให้จงได้ ถ้าอย่างนั้นนางก็จะสามารถวางใจไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ก่อกวนอยู่ในลำคลองหมายเหอมาสองร้อยปีตนนั้นได้ ต่อให้ต้องพินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย แต่สุดท้ายแล้วก็ถือเป็นการสร้างคุณความดี สร้างความผาสุกให้แก่ชาวบ้านเก้าแสนคนที่อยู่ริมสองฝั่งลำคลอง และไม่ผิดต่อหลักการอริยะปราชญ์ที่นางอ่านเจอมาจากตำราของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดเทพวารีอย่างนางถึงได้ ‘ถูกชะตา’ กับเผยเฉียนขนาดนี้ ก็ยิ่งมีความรู้ยิ่งใหญ่แฝงอยู่
ในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิทักษ์ดินน้ำของพื้นที่แถบหนึ่งมานาน เดิมทีเทพวารีลำคลองหมายเหอก็มีโชควาสนายิ่งใหญ่อยู่แล้ว หาไม่แล้วก็คงไม่สามารถบรรลุคาถาวิชาเซียนซึ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนมาจากป้ายศิลาจารึกคำขอฝนที่ไม่มีใครสนใจได้ เมื่อครู่นี้นางโคจรวิชามองลมปราณขององค์เทพอย่างละเอียด ไม่มองก็ไม่รู้ แต่พอมองก็ถึงกับตกใจ นางถือเป็นคนบนโลกอันดับต้นๆ ที่โชคดีได้ครอบครองเค้าโครงร่างทองแล้ว แต่เด็กหญิงผอมดำตรงหน้าผู้นี้กลับโดดเด่นยิ่งกว่านาง อีกฝ่ายมีร่างกายที่เหมาะต่อการเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับต้นๆ หากพูดกันตามภาษาชาวบ้านก็คือถ้าไม่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำที่เสวยสุขกับควันธูป ก็เท่ากับว่าสิ้นเปลืองสมบัติสวรรค์ไปอย่างน่าเศร้า
คำว่าเค้าโครงร่างทองค่อนข้างคล้ายคลึงกับตัวอ่อนกระบี่ก่อกำเนิดของผู้ฝึกกระบี่ เหมือนอรหันต์ของศาสนาพุทธที่ได้รับเงื่อนไขหรือสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ เมื่อฝึกตนอยู่บนมหามรรคาที่ถูกต้องเส้นใดเส้นหนึ่งก็สามารถเดินได้พันลี้ในหนึ่งวัน เค้าโครงร่างทองส่วนใหญ่จะมีร่างที่เล็กและผอมมาตั้งแต่กำเนิด แต่กระดูกกลับแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ศาสตร์การมองภาพลักษณ์ในโลกมีวิชาหนึ่งที่เรียกว่าจินแบ่งเป็นตำลึง นั่นคือใช้มองว่าปราณกระดูกของคนคนหนึ่งหนักกี่จินกี่ตำลึง เค้าโครงร่างทองก็คือร่างที่มีปราณกระดูกหนักที่สุดในโลก นิสัยแกร่งกร้าว หงุดหงิดฉุนเฉียวได้ง่าย เด็ดขาดชื่นชอบการเข่นฆ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุทองหนึ่งในห้าธาตุยังเป็นเจ้าแห่งการสังหาร มีบารมีอำนาจ เป็นเหตุให้เกิดมาก็เหมาะกับการเป็นแม่ทัพ
เพียงแต่ว่าถึงแม้สายตาของเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้จะดี แต่ก็ยังไม่ดีมากพอ
ความโดดเด่นของพรสวรรค์เผยเฉยอยู่เหนือขอบเขตของห้าธาตุไปนานแล้ว ดังนั้นเวลาจูเหลี่ยนมองเผยเฉียนก็จะรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์ แม้แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่เหยาจิ้นจือซื้อเหรียญทองแดงก็ยังคิดในใจว่า เด็กหญิงอาจจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านวิชาการทำนายพยากรณ์ ขอแค่ติดตามนางเล่าเรียนวิชาพยากรณ์ก็จะเปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก
มีเพียงวิญญูชนจงขุยคนเดียวที่มองได้รอบด้านและลึกล้ำมากกว่า
น่าเสียดายก็แต่เผยเฉียนมาเจอกับเฉินผิงอันที่ไม่เต็มใจอยากพูดเรื่องเหตุผลหลักการกับนาง ส่วนเรื่องการฝึกวรยุทธ์หรือฝึกบำเพ็ญตนนั้น เผยเฉียนก็ยิ่งไม่ต้องคาดหวัง
ทุกวันนี้นังหนูคนนี้ติดตามเฉินผิงอันขึ้นเขาลงห้วย ขอแค่บนหน้าผากได้แปะยันต์ที่มีมูลค่าเท่ากับบ้านหลังหนึ่ง นางก็ดีอกดีใจอย่างยิ่งยวด เดินไกลแค่ไหนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยแล้ว
นี่น่าจะเป็นดั่งคำว่าสิ่งหนึ่งสยบสิ่งหนึ่งได้เสมอ
เผยเฉียนติดตามจูเหลี่ยนฝึกวรยุทธ์ก็ดี อยู่ในจวนปี้โหยวต่อเพื่อเป็นเทพวารีลำคลองหมายเหอก็ช่าง ไม่ว่าความสำเร็จของนางจะสูงแค่ไหนก็ไม่ต้องคาดหวังว่านางจะซาบซึ้งในบุญคุณของจูเหลี่ยนและเทพวารี ไม่แน่ว่าวันใดเกิดทะเลาะกันขึ้นมา พวกเขาอาจถูกเผยเฉียนตบตายด้วยฝ่ามือเดียว หลังจบเรื่องนางยังรู้สึกว่าตัวเองทำถูกต้องแล้ว พวกเจ้าทำให้ข้าโมโห ความสามารถของข้ายังเหนือกว่าเจ้า ไม่ฆ่าพวกเจ้า หรือจะยังต้องเก็บพวกเจ้าไว้ข้างกายให้เกะกะสายตา?
เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ความคิดของเผยเฉียนกลับต่างออกไป ซึ่งเป็นเพียงกับเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น
แต่คนทั้งสองที่เป็นคนในเหตุการณ์ไม่รู้ตัวเองก็เท่านั้น
เจ้าแม่เทพวารีโบกมือ สาวใช้ก็ถอยออกไปเงียบๆ
เจ้าแม่เทพวารีถึงถามว่า “เฉินผิงอัน ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา เจ้าเองก็เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นจงขุยคงไม่คบหากับเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดตามตรงเลยนะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าแม่เทพวารีเชิญพูดได้เลย”
เจ้าแม่เทพวารีสีหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังคิดหาคำพูดเพราะมีเรื่องใหญ่ที่ต้องปรึกษา
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด ตามหลักแล้วหากเป็นเรื่องการเลื่อนขั้นจากจวนเป็นตำหนัก จงขุยได้ช่วยจัดการให้อย่างมั่นคงแล้ว จวนปี้โหยวไม่ควรมีเรื่องยุ่งยากอะไรอีกถึงจะถูก แต่ในเมื่อนางทำท่าจริงจังเช่นนี้ เฉินผิงอันจึงรอฟังอย่างสงบ
—–