กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 349.1 คิดถึงเจ้าแล้ว
ตระกูลเหยาทำอะไรรอบคอบ ที่จุดพักม้าจึงมีคนรอเฉินผิงอันอยู่ จูเหลี่ยนเองก็อยู่ด้วย ส่วนทหารลาดตระเวนหนุ่มน้อยอย่างเหยาเซียนจือก็ยิ่งทำหน้าหนาดึงดันจะอยู่รอเฉินผิงอันให้ได้
เฉินผิงอันเอ่ยขออภัยทหารเก่าแก่ตระกูลเหยาสองคนนั้น ทหารเก่าแก่ทั้งสองหัวเราะร่า คนหนึ่งในนั้นรีบโบกมือบอกว่าคุณชายเฉินเกรงอกเกรงใจกันเช่นนี้ เห็นตัวเองเป็นคนนอกเกินไปแล้ว รับมิได้ๆ
สายตาที่เหยาเซียนจือมองเฉินผิงอันเหมือนสายตาที่มองแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการซึ่งกลับมาจากสนามรบพร้อมกับชัยชนะ ทำเอาเฉินผิงอันงุนงงไม่เข้าใจ
คนทั้งกลุ่มขี่ม้าไล่ตามขบวนใหญ่ไป เผยเฉียนนั่งบนหลังม้าตัวเดียวกับเฉินผิงอัน เด็กหญิงมีความสุขอย่างมาก ส่วนทางฝ่ายแม่ทัพผู้เฒ่าเหยาเจิ้นก็ได้บอกให้ขบวนรถม้าเดินทางกันไปช้าๆ ดังนั้นเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มองเห็นเงาร่างของขบวนใหญ่
เมื่อได้พักผ่อนรักษาตัวในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังได้รับยาวิเศษจากองค์ชายท่านหนึ่ง บาดแผลฉกรรจ์ของเหยาเจิ้นที่ถูกนักฆ่าทำร้ายจึงแทบจะหายสนิทแล้ว อีกทั้งการเดินทางขึ้นเหนือในวันนี้ยังชะลอฝีเท้าม้า เมื่อได้รับความเห็นชอบจากเหยาจิ้นจือ เขาจึงออกจากรถม้ามาขี่ม้าแทน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้เฒ่าที่เข่นฆ่าสังหารอยู่บนหลังม้ามาเกินครึ่งชีวิต ตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เคยชินกับการเร่งกรีฑาทัพด้วยระยะทางอันยาวไกลอยู่แล้ว ต่อให้นอนหลับบนหลังม้าก็ไม่มีทางร่วงลงมา วันนี้ได้ขี่ม้าเคียงข้างเฉินผิงอัน ทิวทัศน์ข้างทางก็งดงามชวนให้คนมองสบายตา ได้พูดคุยกับผู้มีพระคุณน้อยของเขา อีกฝ่ายเล่าเรื่องทัศนียภาพในศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอให้ฟัง เหยาเจิ้นจึงอารมณ์ดีมาก หัวเราะเสียงดังกังวานอย่างสดชื่น
เฉินผิงอันขอให้แม่ทัพผู้เฒ่าช่วยขอแผนที่ของช่วงลำคลองหมายเหอจากทางการมาให้เขาแผ่นหนึ่ง เหยาเจิ้นไม่ถามไถ่สักคำก็รับปากทันที
เผยเฉียนถูกเฉินผิงอันไล่ให้เข้าไปนั่งในรถม้าแล้ว ได้อยู่ร่วมห้องโดยสารกับสุยโย่วเปียนอีกครั้ง ฝ่ายหลังนั่งขัดสมาธิหลับตา วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า แผ่กลิ่นอายของความเคร่งขรึมจริงจัง
เผยเฉียนไม่เคยชอบผู้หญิงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็งผู้นี้เลย เห็นใครก็ทำท่าเหมือนว่าคนอื่นติดเงินนางหลายสิบตำลึงอย่างนั้นแหละ วันๆ เอาแต่ทำหน้าบูดหน้าบึ้งให้ใครดูกัน ระวังเถอะปีหน้าจะกลายเป็นยายแก่หน้าย่น
ก่อนเผยเฉียนจะเข้าไปในห้องโดยสารได้ขอพู่กันด้ามเล็กกับกระดาษเซวียนจื่อพวกนั้นมาจากเฉินผิงอัน เวลานี้นางจึงนั่งอยู่ในมุม เปิดห่อผ้าแพรออก เอาสมบัติชิ้นใหม่ใส่ไว้ในห่อผ้าอย่างระมัดระวัง ดึงตำราเล่มหนึ่งที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นออกมาจากด้านล่างสุด ชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งคู่หนึ่งที่อยู่ในห่อผ้า แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน แต่กลับเต็มไปด้วยดินโคลน นางแลบลิ้น รีบเก็บเข้าห่อผ้า ไม่กล้าให้ใครเห็น
จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนหงาย สองมือที่ชูขึ้นสูงของเผยเฉียนถือตำราเล่มเก่าที่เสียหายอย่างหนักเล่มนั้นพลิกเปิดกลับไปกลับมาอยู่นาน สุดท้ายก็วางลงบนหน้าแล้วหลับสนิทไป
ก่อนจะหลับ เด็กหญิงคิดถึงคำพูดของเจ้าหมอนั่น เขาบอกนางว่าวันหน้าต้องตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าเอาแต่ทุ่มเทกำลังไปที่การท่องตำราเพียงอย่างเดียว นางคิดแล้วก็รู้สึกว่าวันนี้เหนื่อยเกินไป พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ พรุ่งนี้ต้องทำได้แน่นอน เพียงแต่พอคิดว่ามีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘พรุ่งนี้ของพรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มีมากแค่ไหน’ นางก็อารมณ์ดีจนแทบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา
วันนี้เด็กหญิงนอนหลับสนิทฝันหวานเป็นพิเศษ
สุยโย่วเปียนลืมตาดอกท้อเรียวยาวคู่นั้นขึ้น พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นานนางก็ยกฝ่ามือขึ้นโบกเบาๆ ตบลมปราณขุมนั้นให้แหลกสลายไปในเสี้ยววินาที
คนสี่คนในม้วนภาพวาด นอกจากเว่ยเซี่ยนน้ำเต้าตันที่เดินออกมาจากกรงขังภาพวาดก่อนใครแล้ว คนอื่นๆ อีกสามคนล้วนมาเยือนใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ในวันเดียวกัน
จูเหลี่ยนเดินไปบนเส้นทางของวิชาหมัดนอกขั้นสูงสุด พอเดินไปถึงยอดบนสุดของการเรียนวรยุทธ์แล้วถึงได้เปลี่ยนจากนอกมาเป็นใน ไม่อย่างนั้นคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ถูกติงอิงสังหารกับมือผู้นี้ก็คงไม่คิดจะใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารปรมาจารย์ใหญ่ที่เหลืออีกเก้าคน ศึกวุ่นวายที่โหดร้ายจนมิอาจทนมองครั้งนั้น จุดที่น่ากลัวที่สุดของจูเหลี่ยนอยู่ที่ว่ายิ่งเขาบาดเจ็บสาหัสเท่าไหร่ พลังสังหารเวลาที่ลงมือก็ยิ่งแกร่งกร้าวมากเท่านั้น แม้ว่าติงอิงจะโชคดีรอดชีวิตมาได้จนถึงท้ายที่สุด อีกทั้งยังได้กวานดอกบัวสีเงินบนศีรษะของจูเหลี่ยนไปครอง ทว่าตลอดชีวิตของติงอิงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอันดับหนึ่งตลอดกาลกลับไม่เคยพูดถึงศึกในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนครั้งนั้นกับใคร ไม่แน่ว่าในเหตุการณ์ครั้งนั้นอาจมีความลี้ลับที่ยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนอยู่
หลูป๋ายเซี่ยงมีพรสวรรค์เลิศล้ำ ไม่ว่าอะไรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเรียนรู้ได้อย่างถึงแก่น ดังนั้นบนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ์ เขาจึงเป็นดั่งมหาสมุทรที่รับมวลน้ำจากแม่น้ำร้อยสาย ข้อนี้คล้ายคลึงกับติงอิงบุคคลอันดับหนึ่งในรุ่นหลังของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างมาก เพียงแต่ว่าความทะเยอทะยานของหลูป๋ายเซี่ยง หรือควรจะพูดว่าปณิธานของเขานั้นไม่ได้บ้าคลั่งอย่างบริสุทธิ์เฉกเช่นติงอิง เป็นเหตุให้หลังจากปีนั้นก่อตั้งลัทธิมารแล้ว เขาก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างสันโดษเพียงลำพัง ชอบเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศ ถึงได้ตกอยู่ในวงล้อมสังหาร เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นปรมาจารย์ของฝ่ายธรรมะที่เข้าร่วมการล้อมปราบปรามที่อบอวลไปด้วยคาวเลือด สุดท้ายขอบเขตถดถอยในศึกใหญ่ครั้งนั้น ลึกๆ ในใจของพวกเขาก็ยังอดรู้สึกเลื่อมใสหลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้ ส่วนเรื่องที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่หลงเหลือให้เป็นที่กล่าวถึงในยุทธภพ ก็คือคนสองคนที่ยอมสู้ตายอย่างไม่เลิกราในศึกใหญ่ครั้งนั้น พวกนางล้วนเป็นเทพธิดาจากสำนักมีชื่อเสียงที่หลงรักหลูป๋ายเซี่ยง คาดว่าที่พวกนางทำอย่างนั้นก็เพราะยอมตายเพื่อความรัก
วิถีวรยุทธ์ของเว่ยเซี่ยนหาได้ยากที่สุด เกิดมาก็มีพรสวรรค์ของคนที่เมื่ออยู่ในสนามรบหมื่นศัตรูก็มิอาจต้านทาน เชี่ยวชาญในการรับมือกับการล้อมสังหาร หนึ่งคนบุกทะลวงขบวนรบ ที่ใดที่มีมรรคา แม้พันหมื่นคนต่อต้าน ข้าก็ยังแสวงหาจะมุ่งหน้าไป เกร็ดพงศาวดารและเรื่องเล่าน่าสนใจในยุทธภพในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้แทบจะไม่มีบันทึกที่เกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่าสังหารตัวต่อตัวเลย
ส่วนนางสุยโย่วเปียน ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือสภาพจิตใจ อันที่จริงล้วนเหมือนผู้ฝึกบำเพ็ญตนในใต้หล้าไพศาลมากกว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ปรารถนาใน ‘ปลายทาง’ อะไร
แม้ว่าช่วงนี้สุยโย่วเปียนจะเก็บตัวอยู่ในสถานที่แคบๆ ตลอดเวลา แต่จุดที่สายตาของนางมองไปเห็นอย่างแท้จริงก็ยังคงไม่ใช่โลกมนุษย์ แต่เป็นบนแผ่นฟ้า
ตอนนี้นางพยายามทดลองฝึกวิชากระบี่ที่เสี่ยงอันตรายมากวิชาหนึ่ง ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ปราณวิญญาณเบาบาง ความคิดนี้เป็นดั่งการสร้างหอเรือนกลางอากาศ แต่เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาลกลับแตกต่างออกไป
ขั้นตอนนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการ ‘เติมเต็มมหาสมุทร’ ของผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแต่ว่าตัวนางเองกลับมีบางอย่างที่แตกต่าง นางกำลังจุดไฟกระพือลมอยู่ในช่วงระหว่างเอวและซี่โครง สร้างเตาหลอมกระบี่ขึ้นมาด้วยตัวเอง ใช้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงปราณกระบี่เฮือกหนึ่ง เลียนแบบลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือกของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ว่ายวนดุจมังกรเพลิงตรวจตราไปสี่ทิศ
หากสุยโย่วเปียนทำสำเร็จจะไม่เพียงแต่ได้หล่อหลอมเรือนกาย หล่อหลอมดวงจิต ยังเป็นการหล่อหลอมปราณกระบี่ให้เป็นตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งเกือบจะเป็นเค้าโครงร่างของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่แล้ว
และสำหรับทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่ สุยโย่วเปียนยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสเลยด้วยซ้ำ เพียงเท่านี้ก็พอจะรู้ได้แล้วว่าพรสวรรค์ในการฝึกวิชากระบี่ของสุยโย่วเปียนนั้นสูงส่งแค่ไหน
หลายวันมานี้นางได้ยินบทสนทนาของคนในกองทัพตระกูลเหยามาบางส่วน พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องวีรกรรมยิ่งใหญ่เมื่อครั้งที่ผู้มีพระคุณของตระกูลเหยาอย่างเฉินผิงอันเผชิญกับนักฆ่า พูดถึงมาดผู้ฝึกกระบี่ พลังสังหารที่รุนแรงดุดันของเฉินผิงอัน และยังมีกระบี่บินที่ผลุบโผล่อย่างลึกลับ ทำให้นางชื่นชมเลื่อมใสอยากจะทำได้อย่างนั้นบ้าง
เป็นแบบนี้จึงจะดี พื้นที่มงคลดอกบัวเล็กเกินไป ไม่มีที่มากพอสำหรับกระบี่ของนาง ใต้หล้าแห่งนี้ใหญ่มากพอ สักวันหนึ่งนางจะต้องออกกระบี่ในจุดที่สูงที่สุดให้จงได้!
สุยโย่วเปียนหลับตาทำสมาธิต่ออีกครั้ง
เรื่องของการฝึกตนนี้ นางไม่มีทางแพ้ให้กับใครทั้งนั้น และเดิมทีคู่ต่อสู้ของนางก็ไม่เคยใช่พวกเว่ยเซี่ยนสามคนอยู่แล้ว
เสียงฝีเท้าม้านอกตัวรถดังเป็นระลอก ราชวงศ์ต้าเฉวียนกำลังอยู่ในยุคที่เจริญรุ่งเรืองอย่างถึงที่สุด เด็กเล็กมากมายที่อาศัยอยู่ตามชนบทรายทางจะต้องหยุดเท้ามองดูขบวนเดินทางที่ผ่านไป พวกนายพรานหรือสตรีแต่งงานแล้วก็ไม่เกรงกลัวพวกเขา สายตามีแต่ความสงสัยใคร่รู้
เฉินผิงอันขี่ม้าไปข้างหน้าพลางมองชาวบ้านของต้าเฉวียนเหล่านี้
ปีนั้นข้างกายของเขามีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ในวันที่หิมะเกล็ดใหญ่ตกโปรยปรายพวกเขาผ่านด่านเข้าไปจึงได้พบกับกองทหารลาดตระเวนฝีมือเยี่ยมที่ประจำอยู่ชายแดนต้าหลีกลุ่มหนึ่ง พวกเขาผ่านการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมีระเบียบ ท่วงท่าองอาจน่าเกรงขาม พอเห็นเอกสารผ่านทางของเฉินผิงอันก็ยิ้มแนะนำว่าให้พวกเขาไปพักหลบลมหิมะที่ป้อมส่งสัญญาณไฟ
สำหรับฮ่องเต้ต้าหลี อ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง รวมไปถึงซ่งจี๋ซินผู้เป็นเพื่อนบ้าน ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อพวกเขาไม่ถือว่าดีนัก แต่เป็นเพราะการพบกันโดยบังเอิญครั้งนั้น เฉินผิงอันถึงได้ไม่มีอคติต่อราชวงศ์ต้าหลี
ยามสนธยาของวันนี้ ขบวนเดินทางหยุดพักค้างแรมที่จุดพักม้าขนาดใหญ่ใกล้เขตการปกครองแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมในจุดพักม้างดงามมีระดับอย่างมาก อีกทั้งยังมีสวนดอกไม้เล็กๆ ที่ต้นไผ่เขียวชอุ่มขึ้นเป็นพุ่มเป็นกอ
คืนนั้นเหยาเจิ้นนำแผนที่ฉบับหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอันด้วยตัวเอง ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังมองสำรวจแผ่นหยกอย่างละเอียด เผยเฉียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอ้าปากหาว บนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจไว้แผ่นหนึ่ง เหตุผลก็เพราะนางได้ยินมาว่าในป่าไผ่มักจะมีผีสาว พอลมพัดมาเสียงดังซู่ๆ นางมักจะรู้สึกว่ามีผีสาวล่องลอยไปมาอยู่ท่ามกลางป่าไผ่ พอเหยาเจิ้นมาเคาะประตู เผยเฉียนก็รีบวิ่งไปเปิดประตูให้ทันที แม่ทัพผู้เฒ่าเห็นว่าบนหน้าผากของแม่หนูน้อยแปะแผ่นยันต์จึงถามหาสาเหตุ ได้ฟังคำตอบก็หัวเราะฮ่าๆ บอกว่าไม่ต้องกลัว ต่อให้มีผีซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่จริงๆ เหล่าบุรุษตระกูลเหยาผู้ถือกำเนิดขึ้นมาในกองทัพต่างก็มีปราณหยางอย่างเปี่ยมล้น ต้องเป็นพวกผีต่างหากที่กลัวพวกเขาถึงจะถูก
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที แล้วจึงปลดยันต์วางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะวิ่งกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง
เหยาเจิ้นทำมือกดลง บอกให้เฉินผิงอันนั่งลงคุยกัน
คนทั้งสองนั่งลงเรียบร้อย เฉินผิงอันก็ย่อมต้องเอ่ยขอบคุณ แผนที่ของทางการเป็นสิ่งที่ทางราชสำนักห้ามไม่ให้เผยแพร่ในหมู่ชาวบ้านอย่างเด็ดขาด ควบคุมเข้มงวดยิ่งกว่าพวกอาวุธยุทโธปกรณ์ด้วยซ้ำ
เหยาเจิ้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผู้ว่าฯ ของเขตการปกครองแห่งนี้ตอบรับว่องไวยิ่งนัก เป็นขุนนางมานานจนกลายเป็นขุนนางใหญ่มีอำนาจเต็มเปี่ยมในพื้นที่หนึ่งแล้วก็ไม่ค่อยจะสนใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่หรอก เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดว่าติดค้างน้ำใจข้ามากมายนัก จะว่าไปแล้วตอนที่ผู้ว่าฯ หลิวเห็นหน้าข้าก็มีท่าทางอึดอัดใจอย่างมาก ช่วยไม่ได้ เขามีญาติที่เกี่ยวดองทางการแต่งงานทำงานอยู่ในที่ว่าการกรมกลาโหม ก็เท่ากับว่าต้องกลายมาเป็นลูกน้องข้าแล้วไม่ใช่หรือ พอได้ยินว่าข้าขอแผนที่หนึ่งแผ่น เจ้าไม่รู้อะไร สีหน้าเขาตอนนั้นน่ะต้องเรียกว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้วจริงๆ นะ”
เหยาเจิ้นยื่นมือมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “เจ้านี่นะ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ การเข่นฆ่าทั้งสองครั้ง เรื่องใหญ่ถึงขั้นตัดสินความเป็นความตาย ผู้มีพระคุณของข้าเป็นคนคล่องแคล่วฉับไวนัก แต่เหตุใดพอมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในเวลาปกติถึงได้ยึดติดกฎเกณฑ์นัก ไม่ถึงอกถึงใจ ไม่อาจหาญเอาเสียเลย”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้
—–