กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 352.1 อายุสิบเอ็ดปีหน้า
หลังจากจงขุยไปจากจุดพักม้าแล้วก็ถูกนักพรตผู้เฒ่าเก็บไว้ในไม้ไหวเก่าแก่ลักษณะคล้ายไม้ปลุกสติ (ไม้ปลุกสติลักษณะเป็นไม้สี่เหลี่ยมทรงยาวที่มีมุมมีเหลี่ยม ใช้เคาะในศาลให้คนเงียบเสียงลง) ชิ้นหนึ่ง แต่แล้วนักพรตเฒ่าก็พลันหมุนตัวกลับ ย่อพื้นที่พันลี้ให้สั้นลงเหลือในระยะประชิด ก้าวเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงเรือนที่พักของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันที่ยังยืนเหม่อ สติยังไม่กลับคืนเข้าร่างรีบโค้งตัวกุมหมัดคารวะ “ผู้น้อยเฉินผิงอันคารวะเซียนซือผู้เฒ่า”
ก่อนหน้านี้จงขุยเล่าเรื่องที่ร่างของตัวเองมอดม้วยมรรคาแหลกสลายด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเหมือนเป็นเรื่องสบายๆ ทว่าตอนที่พูดถึงนักพรตของภูเขาไท่ผิงกลับไม่ปกปิดความใกล้ชิดสนิทสนมของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
นักพรตเฒ่ายื่นมือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรงแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่าไปแล้วย้อนกลับมา มีธุระอันใด?”
นักพรตเฒ่ามองเฉินผิงอันแล้วพยักหน้า “ผูกใจได้มั่นคง จึงจะถือว่าเป็นวีรบุรุษตัวจริง มิน่าเล่าทั้งหวงถิงและจงขุยต่างก็มองเจ้าไม่เหมือนมองผู้อื่น”
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
นักพรตเฒ่าอารมณ์ไม่เลว จึงถามด้วยรอยยิ้ม “เรียกตัวเองว่ามือกระบี่ แล้วกระบี่ของเจ้าเล่า?”
นักพรตเฒ่าแห่งภูเขาไท่ผิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นกระบี่บินชูอีกับสืออู่ที่ออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก่อนหน้านี้
เฉินผิงอันบอกไปตามความจริง “ก่อนหน้านี้ฝึกวิชาหมัด เพิ่งจะฝึกวิชากระบี่ได้ไม่นาน ดังนั้นการฝึกกระบี่ในช่วงนี้จึงแค่ทำท่าจับกระบี่เสมือนจริงและจินตนาการภาพไว้ในใจเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “หากรู้ว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้ก็ไม่ควรงัดข้อกับคนอื่นเรื่องการอนุมาน สุดท้ายไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ ยังพลาดโอกาสที่จะได้มองดูสภาพการณ์ของเจ้าในพื้นที่มงคลดอกบัวด้วย”
นักพรตเฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ บนศีรษะสวมกวานดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของหนึ่งในสามสายของลัทธิเต๋า ชุดคลุมเต๋าที่สวมใส่เป็นสีขาวสะอาด อีกทั้งยังมีหนวดขาวผมขาว มองดูแล้วจึงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรจึงไม่ได้พูดอะไรไป
เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องทำตัวอวดฉลาด หากจงใจแต่งแต้มสิ่งใดเข้าไปก็ไม่ต่างจากหญิงชราโปะแป้งประทินโฉมลงบนใบหน้า ไม่ต่างจากเด็กเล็กสวมชุดขุนนาง มีแต่จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเท่านั้น
นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยถาม “ข้าผู้เป็นนักพรตสามารถให้เจ้ายืมกระบี่ได้หนึ่งเล่ม หกสิบปีก็ดี ร้อยปีก็ช่าง ล้วนปรึกษากันได้ เจ้าสามารถใช้สมบัติอาคมมาแลกเปลี่ยนหรือจะจ่ายเป็นเงินฝนธัญพืชก็ได้”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ขอบพระคุณในความหวังดีของเซียนซือผู้เฒ่า แต่อันที่จริงข้ามีกระบี่แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างเขินอาย “แล้วนับประสาอะไรกับที่บนตัวข้าไม่มีเงินฝนธัญพืชอยู่แม้แต่เหรียญเดียว”
นักพรตเฒ่าเองก็ไม่ได้บังคับฝืนใจ การที่เขาเกิดความคิดอยากให้คนหนุ่มผู้นี้ยืมกระบี่ขึ้นมาในฉับพลัน ล้วนเป็นเพราะรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสในสัญญาพันปีหมื่นปีระหว่างเขากับจงขุย
แล้วก็มีความปรารถนาดีที่เป็นความต้องการส่วนตัวซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกลงไปของใจ เพียงแต่ว่าพอพูดออกมาแล้ว เขากลับรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย
อย่าดึงต้นกล้าช่วยให้เติบโตก่อนเวลาอันควรจะดีกว่า
ความวุ่นวายในสำนักฝูจีทำให้นักพรตเฒ่าเป็นกังวลไม่น้อย
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงได้ย้อนกลับมายังเรือนหลังเล็กอีกครั้ง ก็เพราะมองออกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน ราวกับว่าการตายของจงขุยส่งอิทธิพลที่ค่อนข้างใหญ่หลวงต่อสภาพจิตใจของคนผู้นี้
แต่เมื่อเขาลองมองสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้งก็วางใจลงได้
ข้อห้ามหนึ่งของผู้ฝึกตนก็คืออย่าปล่อยให้จิตใจเหมือนเรือลำน้อยที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ ส่วนพวกคนที่มีสภาพจิตใจเหมือนดอกหลิ่วปลิวปรายอย่างระเกะระกะนั้น ในสายตาของนักพรตเฒ่าแล้วไม่จำเป็นต้องพูดว่าเป็นข้อห้ามหรือไม่ใช่ข้อห้ามอะไรทั้งนั้น เพราะเดิมทีคนเหล่านี้ก็ไม่ควรฝึกตนอยู่แล้ว หากฝึกตนจนโชคดีขอบเขตไต่ทะยานขึ้นสูง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศ ช่วงชิงโชควาสนาแย่งเอาสมบัติอาคมและปราณวิญญาณมาเป็นของตน เดินลงจากภูเขาไปยังโลกมนุษย์ นอกจากโอ้อวดอำนาจบารมี ใช้กำลังรังแกคนอื่นแล้ว ยังจะทำเรื่องดีๆ อะไรได้อีก?
เพียงแต่ว่าต่อให้นักพรตเฒ่าจะไม่ชอบใจในตัวผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่ฝึกฝนแต่พละกำลัง ไม่ได้ฝึกฝนจิตใจมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของบ้านตัวเองอย่างภูเขาไท่ผิงไม่ให้เอียงเอนไปเท่านั้น
เฉินผิงอันแข็งใจทำหน้าหนาถามออกไปว่า “ไม่ทราบว่าเซียนซือผู้เฒ่ามีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาหรือไม่?”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “ภูเขาไท่ผิงของข้ามีค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอยู่สองอย่าง จุดศูนย์กลางของค่ายกลหนึ่งคือกระจกจันทร์กระจ่าง สามารถสาดส่องภูตผีปีศาจที่อยู่บนโลก ทำให้พวกมันไม่มีที่ให้หลบเร้นกาย ไม่ว่าจะอยู่ไกลหรือใกล้ก็ต้องดูว่าคนที่ถือกระจกมีตบะสูงหรือต่ำ หากถูกกระจกส่องไปโดนสามารถทำให้คนผู้นั้นตบะถดถอยได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จากนั้นก็จะเป็นเวลาของค่ายกลสี่กระบี่ กระบี่โบราณสี่เล่มถูกสร้างเลียนแบบกระบี่เซียนใหญ่สี่เล่มในยุคบรรพกาล มีระดับขั้นของอาวุธกึ่งเซียน พอรวมกันเป็นค่ายกลก็เท่ากับกลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แม้จะอยู่ไกลเป็นหมื่นลี้ก็ยังมาถึงได้ในชั่วพริบตา ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นได้หล่อหลอมกระบี่เล่มหนึ่งในนั้นก็คงถูกข้าผู้เป็นนักพรตสังหารไปนานแล้ว ต่อให้มันจะหนีไปได้อีกหลายพันลี้ก็ยังไม่เป็นปัญหา ตอนนี้มันหนีความตายไปได้ แต่ขอบเขตเซียนเหรินแบ่งออกเป็นซ้ายขวา เดิมทีเจ้าเดรัจฉานเฒ่าก็เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสองได้ไม่นาน ขอบเขตยังไม่มั่นคง บวกกับถูกกฎเกณฑ์ของใต้หล้าแห่งนี้กดกำราบเอาไว้ ตอนนี้เมื่อวัตถุแห่งชะตาชีวิตถูกทำลาย ร่างจริงยังถูกแทงจนเกิดรูอีกหลายรู จึงบาดเจ็บไปถึงจิตวิญญาณต้นกำเนิด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแล้ว”
ตอนที่เอ่ยถึงวานรเฒ่าสะพายกระบี่ตัวนั้น นักพรตเฒ่าแผ่ปราณสังหารออกมาอย่างท่วมท้น ปราณวิญญาณที่มากมหาศาลบนร่างเหมือนกลายมาเป็นของจริง มีไอหมอกสีขาวประหนึ่งธารน้ำเส้นเล็กหลายเส้นไหลรินล้อมวนไปทั่วร่างกาย นักพรตเฒ่าหยุดความคิดทั้งหมดลง ภาพปรากฎการณ์ประหลาดจึงหายไป อันที่จริงนี่ก็คือหนึ่งในโรคร้ายที่ทิ้งไว้หลังจากขอบเขตถดถอย “ปัญหาก็คืออยู่ดีๆ เจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน หายเข้าไปในเส้นทางมังกรยุคโบราณที่พังภินท์ไปนานแล้ว คาดว่านี่น่าจะเป็นทางหนีทีไล่ที่มันเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้านานแล้ว”
นักพรตเฒ่าชี้ไปเหนือศีรษะของตัวเอง “ก่อนหน้านี้ข้าเปิดฉากสังหารกับเจ้าเดรัจฉานเฒ่าหนึ่งรอบ ภายหลังยังเล่นงานให้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งโลกมืดตนหนึ่งถอยกลับไป อริยะลัทธิขงจื๊อบางคนที่รับผิดชอบนั่งบัญชาการณ์อยู่บนม่านฟ้าเหนือใบถงทวีปย่อมต้องมองเห็นแล้ว จึงพลิ้วกายลงมาที่ภูเขาไท่ผิงของพวกเรา พอรู้ว่าจงขุยตายแล้วก็เดือดดาลอย่างหนัก ตามไปไล่ฆ่าวานรขาวตัวนั้นด้วยตัวเอง ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นจะหลบไปซ่อนตัว ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าหวงถิงซึ่งพอจะมีบุญกรรมร่วมกับมันจะตามหาเบาะแสจนเจอตัวมันหรือไม่ ต่อให้หวงถิงตายไปในการต่อสู้ หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีรูปปั้นตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋นท่านนั้นซึ่งครั้งนี้ลงมือโดยเตรียมการมาก่อน ก็ยังสามารถสังหารมันให้ตายได้ด้วยการโจมตีเดียว”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
นักพรตเฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ไหนแต่ไรมานังหนูหวงถิงผู้นั้นก็โชคดีมาโดยตลอด อีกทั้งตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวยังได้ขัดเกลานิสัยใจคอ มีกระบี่โบราณสองเล่มคอยคุ้มกัน การไล่ฆ่าวานรขาว ไม่แน่ว่าอาจเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่งที่ทำให้นางได้ฝ่าทะลุขอบเขต”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “พอถูกข้าผู้เป็นนักพรตกระชากตัวพาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว เดิมทียังนึกว่านางต้องบ่นอยู่เป็นครึ่งๆ วัน คาดไม่ถึงว่านังหนูนั่นจะไม่บ่นอะไรแม้แต่คำเดียว ตลอดทางคอยพูดถึงเจ้าอยู่หลายครั้ง บอกว่าวันหน้าจะต้องไปหาเจ้าที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีให้จงได้”
นักพรตเฒ่าโบกชายแขนเสื้อเบาๆ “แปลกซะจริง ข้าผู้เป็นนักพรตไม่ใช่คนพูดเก่ง คำพูดในคืนนี้มากพอกับคำพูดหลายสิบปีมารวมกันแล้ว กลับมาเข้าเรื่อง ค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาไท่ผิงมีประวัติความเป็นมายิ่งใหญ่ ได้ทั้งป้องกันและโจมตี ต่อให้เป็นสำนักดั้งเดิมหรือสำนักเบื้องบนหลายแห่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็ยังเทียบไม่ได้ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อาจบอกวิถีหล่อหลอมและวิธีโคจรค่ายกลให้แก่เจ้าโดยพลการได้ นี่เกี่ยวพันถึงโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของภูเขาไท่ผิง แต่ข้าผู้เป็นนักพรตมีค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของตัวเองอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งได้มาจากถ้ำสวรรค์อันเป็นพื้นที่ลับของเซียนยุคบรรพกาล พลังพิฆาตสูงยิ่ง สามารถขายให้เจ้าได้ เพียงแต่ว่ามันกินเงินเยอะมาก เมื่อสร้างขึ้นมาต้องเผาผลาญเงินมหาศาล หากคิดจะประคับประคองการโคจรของค่ายกลใหญ่ก็ยิ่งต้องกินโชคชะตาของภูเขาและแม่น้ำ เดิมทีข้าผู้เป็นนักพรตคิดว่าหากวันหนึ่งหวงถิงคิดจะสร้างสำนักขึ้นเป็นของตัวเอง ตั้งสำนักอยู่ที่อื่นในใบถงทวีปหรือจะแต่งงานเป็นภรรยา ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับผู้อื่น ต่อให้คิดมอบมันเป็นสินเดิมให้แก่นาง ข้าผู้เป็นนักพรตก็ยังต้องควักเงินทุนค่าโลงของตัวเองออกมาอีกเกินครึ่ง”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย ไม่ใช่เพราะคำว่าหวงถิง สินเดิมหรือเงินทุนค่าโลงอะไร แต่เพราะตกใจกับสี่คำว่า ‘กินเงินเยอะมาก’!
ไม่รอให้เฉินผิงอันใคร่ครวญจนเข้าใจจุดเชื่อมต่อของเรื่องราว นักพรตเฒ่าก็ไม่พูดถึงเรื่องค่ายกลอะไรอีก แต่เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เฉินผิงอัน แม้ข้าผู้เป็นนักพรตจะไม่รู้ว่าบนร่างของเจ้ามีสมบัติอะไรที่สามารถอำพรางความลับสวรรค์ ป้องกันไม่ให้คนอื่นอนุมานทำนายตำแหน่งและโชคชะตาของเจ้าได้ แต่ของแบบนี้ เจ้าต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี สิ่งของที่ได้แต่ปรารถนาทว่ามิอาจครอบครองนี้ ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงก็ยังมีแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น อีกทั้งนั่นยังเป็นสิ่งของที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของพวกเราทิ้งไว้ให้ด้วย”
เฉินผิงอันนึกถึงร่มกระดาษน้ำมันที่ไม่สะดุดตาคันนั้นขึ้นมาแล้วพยักหน้ารับแรงๆ
มองเฉินผิงอันแล้ว
นักพรตเฒ่าก็รู้สึกปลาบปลื้มใจอย่างมาก
นักพรตหญิงหวงถิง วิญญูชนจงขุย ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวในจำนวนน้อยนิดที่เข้าตานักพรตผู้เฒ่าได้
ตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาอีกคน
นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าใบถงทวีปที่อยู่ในมุมหนึ่งของทิศตะวันออกเฉียงใต้ก็ดี หรือเป็นใต้หล้าไพศาลที่ยิ่งใหญ่กว้างขวางก็ช่าง คนหนุ่มสาวแบบนี้มีเพิ่มมาได้คนหนึ่งก็ขอให้เพิ่มคนหนึ่ง
ต่อให้โลกจะวุ่นวายมากแค่ไหน
ก็ยังมีเสาหลักค้ำยัน
ก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องจิตหยินของจงขุย นักพรตเฒ่าจึงถูกผู้อาวุโสใหญ่แห่งยมโลกที่จะมารับดวงวิญญาณไปสู่เส้นทางน้ำพุเหลืองเล่นงานจนขอบเขตถอยมาหนึ่งระดับ ในใจเขารู้ดีว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสชดเชยความเสียดายที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตอีกแล้ว
ปีนั้นหลังจากที่บรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนเหรินสำเร็จก็ได้รับราชทินนามมาจากลัทธิเต๋าสายหนึ่งว่ากวานเมี่ยวเทียนจวิน ฐานะสูงส่งอย่างถึงที่สุด
เรื่องที่นักพรตเฒ่าเสียดายที่สุดในชีวิตก็คือ ในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นใต้หล้าไพศาลที่มีลัทธิขงจื๊อเป็นระบบสืบทอดดั้งเดิม หรือใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเฝ้าบัญชาการณ์ ขอแค่มีนักพรตเลื่อนจากเจินจวินเป็นเทียนจวิน ไม่ว่าจะเป็นสายไหนในสามสายก็ล้วนสามารถเชื้อเชิญให้บรรพจารย์แห่งลัทธิเดินทางมามอบชุดคลุมเต๋า กวานเต๋าและวัตถุแทนตัวชิ้นหนึ่งให้ด้วยมือของตัวเองได้ ทว่าในฐานะเทียนจวินคนใหม่ล่าสุดของระบบเต๋า กวานเมี่ยวเทียนจวินกลับไม่สามารถได้เห็นเจ้าลัทธิใหญ่ท่านนั้นออกจากหอป๋ายอวี้จิงมาเยือนใต้หล้าไพศาลกับตาตัวเอง เทียนจวินผู้เฒ่าไม่กล้าคาดเดาไปเอง ทว่าคนทั่วทั้งภูเขาไท่ผิงต่างก็คาดเดากันไปคำรบหนึ่ง ด้วยเรื่องนี้เจ้าสำนักของภูเขาไท่ผิงยังตั้งใจไปเยือนสำนักศึกษาที่อยู่ทางเหนือสุดของใบถงทวีปเพื่อลองถามหยั่งเชิงว่า เป็นเพราะอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีรูปปั้นตั้งอยู่ในศาลบุ๋นท่านใดแอบขัดขาหรือไม่ ถึงได้ทำให้เจ้าลัทธิเต๋าสายนี้ของพวกเขาไม่อาจปรากฎตัว
เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาท่านนั้นก็เป็นคนมีนิสัยตรงไปตรงมา คร้านจะพูดจาวกวนกับเจ้าสำนักภูเขาไท่ผิง จึงยิ้มพลางถามกลับว่า เจ้าลัทธิของอีกสองสายอาจจะ ‘ได้รับการปฏิบัติ’ เช่นนี้ แต่ด้วยความสัมพันธ์ควันธูประหว่างเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าสายพวกเจ้ากับลัทธิขงจื๊อของพวกเรา หากท่านผู้อาวุโสคิดจะลงมาเยือนใต้หล้าไพศาล ใครเล่าจะขัดขวางไว้ได้?
พอได้รับคำตอบนี้ เทียนจวินผู้เฒ่าก็ยิ่งอัดอั้นตันใจ
คิดไปคิดมาก็คิดได้แค่ว่า อาจเป็นเพราะขอบเขตของตนสูงมากพอ แต่มหามรรคากลับยังเล็กนัก จึงเป็นเหตุให้บรรพจารย์เจ้าลัทธิจงใจเตือนตนทางอ้อม
ก่อนเกิดศึกขึ้นในภูเขาไท่ผิง เทียนจวินผู้เฒ่ายังคิดว่าหากอนาคตสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยานได้ก็คงจะมีโอกาสได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าเจ้าลัทธิเอง
ทว่าตอนนี้ความคิดนี้กลับกลายเป็นเพียงความเพ้อฝันไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ไม่ได้รู้สึกเสียใจทีหลัง แต่ความเสียดายนั้นกลับเลี่ยงได้ยาก
นักพรตผู้เฒ่ากำลังจะจากไป เฉินผิงอันกลับเอ่ยขึ้นว่า “ขอบพระคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่า!”
นักพรตเฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงขอบคุณข้า? หมายถึงเรื่องที่ข้ายอมให้ตัวเองขอบเขตถดถอยเพื่อจงขุยน่ะหรือ?”
เทียนจวินผู้เฒ่าท่านนี้ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก นี่เป็นเพราะภูเขาไท่ผิงติดค้างเขา”
เฉินผิงอันกล่าวเสียงหนัก “ขอบคุณท่านเจินเหรินผู้เฒ่าและภูเขาไท่ผิงที่ทำให้ข้าได้รู้ว่าเทพเซียนบนภูเขาก็มีจิตใจที่กล้าหาญเปี่ยมด้วยคุณธรรม คิดอยากปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความดี”
อารมณ์ของนักพรตเฒ่าดีขึ้นทันตาเห็น “ดีนักนะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าเองก็แทบไม่ต่างกับจงขุย ต่างก็เชี่ยวชาญเรื่องประจบสอพลอเหมือนกัน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “นี่เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”
นักพรตผู้เฒ่ามองคนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “คำพูดประจบจากใจจริงต่างหาก ถึงจะทำให้คนสบายใจได้อย่างแท้จริง”
แล้วนักพรตผู้เฒ่าก็ทะยานลมจากไป
ศีรษะเล็กๆ ศีรษะหนึ่งฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองเหม่อมาทางเฉินผิงอัน
พูดแล้วก็แปลก การปรากฏตัวของจงขุยกับเทียนจวินผู้เฒ่า ไม่มีใครในจุดพักม้าสัมผัสได้ถึง มีเพียงเผยเฉียนที่บางทีอาจจับผลัดจับผลูตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นเฉินผิงอันที่อยู่ในลานกว้าง
เฉินผิงอันหันกลับไปมองเผยเฉียน “กลับไปนอนซะ”
ไม่พูดยังดี แต่พอเฉินผิงอันพูด เผยเฉียนก็ไปยกม้านั่งตัวหนึ่งมา ปีนข้ามหน้าต่างออกมาอย่างคล่องแคล่ว กระโดดลงบนพื้นอย่างมั่นคง
เฉินผิงอันถาม “ไม่หลับไม่นอน วิ่งมาทำอะไรที่นี่?”
เผยเฉียนเอ่ยเอาใจ “นอนไม่หลับ จะมาพูดคุยกับเจ้าสักครู่”
เฉินผิงอันโบกมือ บอกว่าตนต้องฝึกวิชาหมัด เจ้าอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ”
เผยเฉียนมองอยู่หนึ่งก้านธูปก็ให้ง่วงงุน จึงบอกกับเฉินผิงอันว่าจะไปนอน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วพุ่งพรวดไปทางหน้าต่างของห้อง นางกระโดดตัวขึ้นสูง คิดว่าคงจะพยายามใช้สองมือคว้าจับขอบหน้าต่างไว้ก่อน แล้วค่อยใช้สองขาปีนป่ายขึ้นไป หากปีนกลับไปได้ย่อมองอาจมากแน่ๆ
ผลกลับกลายเป็นว่าคางกระแทกเข้ากับขอบหน้าต่างดังปึก
ร่างผงะหงายตึงลงบนพื้น
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมามองอย่างอดไม่ได้
เผยเฉียนนั่งอยู่บนพื้น ยื่นมือมากุมคาง หันหน้ากลับมา น้ำตากลบตาจะหยดมิหยดแหล่
เฉินผิงอันเดินมาหา ย่อตัวลงนั่งยอง ดึงมือของนางออกเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ยังคิดจะแสดงมาดวีรบุรุษผู้องอาจอีกไหม?”
บนใบหน้าดำเกรียมของเด็กหญิง น้ำตาร่วงเผลาะๆ ลงมาเป็นสาย
เฉินผิงอันได้แต่หุบยิ้ม ประคองนางลุกขึ้นยืน “มีแม่นางน้อยคนหนึ่งอายุพอๆ กับเจ้า นางเองก็มีนิสัยใจร้อนซุ่มซ่ามแบบนี้เหมือนกัน แต่นางอดทนกับความลำบากได้ดีกว่าเจ้า หากเปลี่ยนมาเป็นนาง เวลานี้คงหันมายิ้มให้ข้า ไม่แน่อาจจะยังพูดปลอบใจข้าว่าไม่ต้องเป็นห่วงนางก็เป็นได้”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมไปอีกหนึ่งประโยค “แต่ว่าทุกคนล้วนมีนิสัยแตกต่างกัน เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบนาง”
คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน
เผยเฉียนได้แต่อ้าปากน้อยๆ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดเจน “นางชื่ออะไร”
เฉินผิงอันตอบ “นางชื่อหลี่เป่าผิง ชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด แถมยังชอบเรียกข้าว่าอาจารย์อาน้อย”
เผยเฉียนถามเสียงเบาขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าชอบนางมากหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ใต้หล้านี้จะมีอาจารย์อาน้อยที่ไม่ชอบหลี่เป่าผิงได้อย่างไร?!
นางเข้าใจถูกแล้ว
เผยเฉียนเงียบเสียงไป
—–