กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 353.2 ป้ายศาลบรรพจารย์ แสงจันทร์ส่องเหนือศีรษะ
หลังจากนั้นก็เป็นขุนนางผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ ข้าติดตามหลายคนล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกตนจนประสบความสำเร็จ
ต่อมาก็เป็นนักพรตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดุจหยกสลักคนหนึ่ง เขาขึ้นเขามาอย่างเงียบเชียบ ข้างกายมีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งติดตามมาด้วย ผู้เฒ่าขอบเขตไม่สูง อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ส่วนลูกศิษย์คือเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่หน้าตาท่าทางเหมือนคนซื่อ
สุดท้ายคือผู้บัญชาการณ์ที่อยู่เบื้องบนศาลเทพภูเขาเล็กๆ อย่างเขาที่ปรากฏตัวกลางดึก ซึ่งก็คือเทพอภิบาลเมืองของศาลเทพอภิบาลเมืองในเขตการปกครอง แต่งกายด้วยชุดขุนนางเหมือนผู้ว่าฯ ของในโลกมนุษย์ มีหน้าที่ควบคุมดูแลศาลเทพอภิบาลเมืองและพวกเทพภูเขาแม่น้ำในระดับอำเภอทั้งหมด ส่วนศาลบุ๋นบู๊สองแห่งนั้นกลับไม่นับรวมอยู่ด้วย เพราะอยู่ในการปกครองของกรมพิธีการแห่งแคว้นโดยตรง แต่ไหนแต่ไรมาศาลเทพอภิบาลเมืองก็ไม่ไปมาหาสู่กับศาลทั้งสองแห่งนั้นอยู่แล้ว ส่วนข้อที่ว่าทั้งสองฝ่ายใครมีระดับสูงกว่ากัน ใครมีอำนาจมากกว่ากัน เวลาที่พบเจอกับสถานการณ์เร่งด่วน ใครจะเป็นคนควบคุมสถานการณ์ แต่ละสถานที่ก็จะมีสถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป
ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่ง เกาซื่อเจินเซินกั๋วกงแห่งต้าเฉวียน เทพอภิบาลเมืองของเมืองฉีเฮ้อ
บวกกับเส้ายวนหรานที่เป็นทั้งลูกศิษย์ของอารามจินติ่ง และเป็นทั้งข้ารับใช้เชื้อพระวงศ์สกุลหลิวต้าเฉวียน
แสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาว ทัศนียภาพงดงามชวนให้สบายอกสบายใจ คนทั้งสี่มารวมตัวกันอยู่ที่ศาลาชมทิวทัศน์บนภูเขาที่มีทัศนียภาพงามเป็นเอก
เทพภูเขายืนคอยอยู่ไกลๆ พร้อมรับคำสั่งทุกเมื่อ
ตรงศาลา ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ
หลังจากที่ลงจากภูเขา กลับไปยังเมืองเซิ่นจิ่งอันเป็นเมืองหลวงของต้าเฉวียน เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินก็ไม่มีสีหน้ากลัดกลุ้ม มืดทะมึนดั่งตอนที่เดินทางมาอีก
เทพอภิบาลเมืองกลับไปยังหอเทพอภิบาลเมืองซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเมืองฉีเฮ้อ เขาจ้องมองไปทางจุดพักม้าแห่งนั้นด้วยสายตาเย็นชา มุมปากกระตุกยิ้มดูแคลน
ตู้หันหลิงอยู่ต่อบนภูเขาอีกวันหนึ่ง
ก่อนจะจากมาได้เรียกลูกศิษย์ที่ชั่วชีวิตนี้ไม่มีหวังจะได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองอย่างนักพรตเป่าเจิน อิ่นเมี่ยวเฟิงและศิษย์หลานอย่างเส้ายวนหรานมาพบ ตอนนี้อาจารย์และศิษย์ทั้งสองต่างก็เป็นขอบเขตประตูมังกร นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถรับหน้าที่เป็นข้ารับใช้ระดับต้นอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่งได้ แต่ต้องไปปักหลักอยู่ที่ริมชายแดนเพื่อคอยจับตามองกองทัพม้าเหล็กสกุลเหยาให้แก่สกุลหลิว
นอกจากจะมอบสมบัติสำคัญชิ้นหนึ่งให้เส้ายวนหราน ซึ่งถือเป็นของขวัญที่ทางสำนักสมควรมอบให้เส้ายวนหรานหลังจากเขาได้กลายเป็นโอสถทองล่วงหน้าแล้ว
เซียนดินตู้หันหลิงยังบอกเรื่องลับอีกเรื่องหนึ่งแก่พวกเขา
ขนาดเส้ายวนหรานที่มีนิสัยสุขุมหนักแน่นก็ยังปิดบังสีหน้าปิติยินดีเป็นล้นพ้นไว้ไม่อยู่ อิ่นเมี่ยวเฟิงก็ยิ่งหัวเราะจนหุบปากไม่ลง ลุกขึ้นยืนขอบพระคุณอาจารย์แทนลูกศิษย์ตัวเองอย่างพินอบพิเทา
ตู้หันหลิงเอ่ยชมเส้ายวนหรานสองสามคำแล้วก็ทะยานลมมุ่งหน้าไปทางเหนือ กลับไปยังอารามจินติ่ง ก่อนจะจากไปยังไม่ลืมมอบสมบัติวิเศษชั้นดีที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งให้กับเทพภูเขา
เทพภูเขาย่อมซาบซึ้งในพระคุณอย่างสุดแสน หลังจากเทพเซียนผู้เฒ่าตู้ทะยานเมฆจากไปแล้ว เขาถึงกับคุกเข่าโขกศีรษะคำนับขอบคุณอยู่ไกลๆ
อันที่จริงวิธีการประจบสอพลอที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าต่ำช้าของเทพภูเขานี้ มองดูเหมือนจอมปลอมไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วจะโทษที่เทพภูเขาไม่มีมาดของคนเป็นเทพก็ไม่ได้ ของวิเศษตกมาอยู่ในมือไม่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่การที่ได้แอบอิงผู้มีอิทธิพลอย่างเซียนดินก่อกำเนิดซึ่งเป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหางท่านหนึ่งของอารามจินติ่งต่างหากถึงจะเป็นความโชคดีท่วมเทียมฟ้าของศาลเทพภูเขาเล็กๆ แห่งนี้
นับจากวันนี้ไป ขอแค่พูดถึงการประเมินผลด้วยพู่กันด้ามทองจากเทพอภิบาลเมืองท่านนั้น เขายังจะแย่ได้หรือ?
อาจารย์และลูกศิษย์ที่เส้ายวนหรานนักพรตหนุ่มพาขึ้นภูเขามาหยุดพักรักษาตัวบนภูเขาต่อ
อิ่นเมี่ยวเฟิงเจินเหรินผู้เฒ่าและเส้ายวนหรานไม่ได้เข้าเมืองไปพร้อมกัน แต่ทยอยกันกลับไปถึงจุดพักม้าในเมือง
บนเรือนพักที่เงียบสงบแห่งหนึ่งบนภูเขา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่บุกเข้าไปยืมดาบในศาลบู๊มีสีหน้าซับซ้อน เขานั่งอยู่บนม้านั่งผ้าแพรปักดิ้นที่วางอยู่ข้างเตียง สองมือกำเป็นหมัดราวกับกำลังขบคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งที่ไม่ว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก
อาจารย์ของเขานอนพักฟื้นอยู่บนเตียง แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่เบา หากคิดจะต่อสู้เข่นฆ่ากับคนอื่น หรือกำจัดปีศาจปราบมารในช่วงเวลาอันใกล้นี้ถือเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ แต่ลงจากเตียงมาเดินกลับไม่ใช่เรื่องยาก
ผู้เฒ่าหน้าซีดขาวเล็กน้อย ทว่าท่าทางกระปรี้กระเปร่า สายตาเป็นประกายเจิดจ้า เขาหันหน้ามาจ้องลูกศิษย์ที่มีเพียงคนเดียวของตน “รับลูกศิษย์ที่ดีคือความยากอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ฝึกตนได้อย่างราบรื่นคือความยากอีกอย่างหนึ่ง ไม่ได้ง่ายไปกว่าการดูแลลูกหลานในครอบครัวเลย ข้าไม่มีลูกหลาน ลูกศิษย์ก็มีเพียงเจ้าคนเดียว แล้วนับประสาอะไรกับที่พรสวรรค์ของเจ้าดีกว่าข้ามากนัก ไม่ช่วยวางแผนการที่ดีในอนาคตให้แก่เจ้า ข้าที่เป็นอาจารย์ย่อมนอนตายตาไม่หลับ”
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก่อนหน้านี้ล้วนพูดถึงเหตุผลและเรื่องในอดีตให้เจ้าฟังหมดแล้ว ส่วนข้อที่ว่าอาจารย์รู้จักกับอารามจินติ่งได้อย่างไร เหตุใดครั้งนี้เจ้าถึงเพิ่งได้มาเจอกับเจินเหรินน้อยเส้า เจ้าก็อย่าถามมากเลย นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าแค่ตั้งใจฝึกตนให้ดีก็พอ เทพเซียนผู้เฒ่าตู้ช่วยลงมือทำลายคอขวดให้เจ้าด้วยตัวเอง เจ้าก็จะได้เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง บุญคุณครั้งนี้ต้องจดจำให้ขึ้นใจ พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย อารามจินติ่งเป็นตระกูลเซียนที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้เจ้าอยากตอบแทนบุญคุณด้วยความจริงใจ คนเขาจะต้องการไหม? แต่ว่าใจรู้คุณคนนี้ก็ยังต้องมี ไม่อย่างนั้นจะไม่มีแม้แต่คุณสมบัติได้เป็นหมาตัวหนึ่งของอารามจินติ่งด้วยซ้ำ”
ดวงตาของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่มีน้ำตาเอ่อคลอ ก้มหน้าพูดว่า “ศิษย์ไม่ได้เรื่อง ทำให้อาจารย์ต้องได้รับความอยุติธรรมแล้ว”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ยื่นนิ้วมาจิ้มเจ้าตอไม้ทื่อผู้นี้ “เจ้าน่ะยังไม่เฉลียวฉลาดมากพอ ช่างเถอะๆ หากไม่เป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่มีทางรับเจ้าเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว บอกตามตรง บุคคลที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างเจินเหรินน้อยเส้านี้ ต่อให้ข้าได้พบเจอเขาเร็วกว่าใครก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้ารับเข้ามาในสำนัก หากเขาทะยานลมกลายเป็นมังกรขึ้นมา นักพรตขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างข้าหรือจะบังคับควบคุมเขาได้”
ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็ยังอยู่ในวัยที่ชอบเอาชนะ จึงพูดว่า “อาจารย์ อายุน้อยๆ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นประตูมังกร ข้าเองก็พอจะมีความหวังบ้างเหมือนกัน”
ผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ “เจ้าเด็กเพ้อเจ้อ! ออกไปฝึกตนเลย อาจารย์ยังต้องรักษาบาดแผล ไม่อยากสีซอให้ควายฟังแล้ว!”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ร้องอ้อรับแล้วลุกขึ้นยืน บอกลาจากไป
ตอนที่เด็กหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตู นักพรตเฒ่าก็เอ่ยปลอบใจเขาขึ้นมาเบาๆ “บนเส้นทางของการฝึกตน บางครั้งก็หลีกเลี่ยงความอยุติธรรมไม่ได้ กลัวก็แต่ชีวิตนี้ได้แต่สะสมความอยุติธรรมเอาไว้ ดังนั้นเจ้าต้องเดินไปให้ไกลกว่าและสูงยิ่งกว่าอาจารย์ จะได้ทำให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมน้อยลง ศาลเทพภูเขาและศาลาชมทิวทัศน์ของที่แห่งนี้ไม่ถือว่าสูงพอ เดินจากใบถงทวีปถึงราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ไม่ถือว่าไกลพอ ฟ้าดินแถบนี้ บุคคลพิเศษที่มีความสามารถ มีแต่จะอยู่สูงยิ่งกว่านี้”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หันหน้ามาพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้ม “หากเป็นไปได้ วันหน้าเมื่อขอบเขตสูงขึ้นแล้ว ถ้ามีวันที่สามารถนั่งทัดเทียมกับบุคคลอย่างเทพเซียนผู้เฒ่าตู้จริงๆ ถึงเวลานั้นจงจำไว้ว่ามนุษย์ธรรมดาใต้ภูเขา อย่างไรก็ดีกว่า”
เด็กหนุ่มที่อัดอั้นไม่สบายใจมาตลอดเวลา บัดนี้พลันคลี่ยิ้มเจิดจ้า พยักหน้ารับอย่างแรงตามสัญชาตญาณ
ผู้เฒ่ายิ้ม “เป็นเด็กเพ้อเจ้อจริงๆ!”
……
หนึ่งวันก่อนจะเดินทางไปยังเมืองเซิ่นจิ่ง มีคนมาเยี่ยมเฉินผิงอันถึงเรือนที่พัก
คือนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดนักพรตเฒ่า บนศีรษะสวมกวานดอกบัว เนื้อตัวมอมแมมจากการเดินทาง เขาดื่มชาเย็นๆ ถ้วยหนึ่งในห้องเฉินผิงอัน บอกว่าเขาอยู่ใกล้กับเมืองฉีเห้อมากที่สุดจึงโชคดีได้รับคำสั่งจากท่านบรรพจารย์ให้นำของสิ่งหนึ่งมามอบให้เฉินผิงอัน
นักพรตหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากภูเขาไท่ผิงหยิบป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง
พอวางป้ายหยกลงบนโต๊ะแล้วก็อธิบายให้เฉินผิงอันฟังถึงความเป็นมาของแผ่นหยกไปคำรบหนึ่ง นักพรตหนุ่มพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านบุรพาจารย์ต้องการให้ข้าบอกอย่างชัดเจนว่า คุณชายเฉินไม่ต้องกังวลว่าภูเขาไท่ผิงจะเล่นตุกติกกับป้ายหยกแผ่นนี้ ทำให้ร่องรอยของท่านอยู่ในสายตาของภูเขาไท่ผิงเรา ป้ายหยกได้ถูกท่านบุรพาจารย์ถอนพันธนาการของสำนักออกไปแล้ว คุณชายแค่มองมันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่คุณภาพดีก็พอ แต่แน่นอนว่าสำหรับคนนอกแล้ว ความหมายมันไม่ธรรมดา ดังนั้นหวังว่าก่อนที่คุณชายเฉินจะออกไปจากใบถงทวีปจะยอมยุ่งยากแขวนมันไว้ข้างเอวทุกวัน”
เฉินผิงอันลุกขึ้นขอบคุณ นักพรตภูเขาไท่ผิงรีบคำนับกลับคืน พูดติดๆ กันว่ามิกล้า
เฉินผิงอันเก็บป้ายหยกมาแล้วเอาแขวนไว้ที่ข้างเอวทันที กลายเป็นว่าป้ายหยกกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หนึ่งอยู่ซ้าย หนึ่งอยู่ขวา
จากนั้นก็เดินไปส่งนักพรตหนุ่มที่บอกชื่อแซ่ตัวเองแล้วเดินเข้ามาในจุดพักม้าอย่างตรงไปตรงมาที่หน้าประตูใหญ่
การกระทำนี้มาจากความปรารถนาดีจากใจจริงของภูเขาไท่ผิง
ป้ายหยกของลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงที่อยู่ตรงเอวเฉินผิงอันแผ่นนี้ หน้าตรงและหน้าหลังสลักคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ กับ ‘สืบทอดควันธูปศาลบรรพจารย์’
เซียนดินโอสถทอง ก่อกำเนิดของภูเขาไท่ผิงก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้แขวนป้ายนี้
เพราะนี่ไม่เกี่ยวข้องกับตบะและอายุ
ตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงมีคนที่แขวนป้ายหยกนี้อยู่แค่ห้าหกคน คนที่อายุมากสุดก็สามร้อยกว่าปีเข้าไปแล้ว ตอนนี้ทำหน้าที่ดูแลตำราของลัทธิเต๋าที่เก็บสะสมไว้ในภูเขาไท่ผิง มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกรเท่านั้น คนที่อายุน้อยที่สุดเป็นนักพรตเด็กที่เพิ่งจะอายุเจ็ดแปดขวบ พรสวรรค์เลิศล้ำ
แต่หากจะพูดถึงคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็ย่อมต้องเป็นหวงถิงนักพรตหญิงที่ลงเขาไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์พร้อมกับกระบี่แค่เล่มเดียว
ดังนั้นนับแต่บัดนี้ไปก็เท่ากับว่ายันต์คุ้มกันกายของเฉินผิงอันในใบถงทวีปก็คือตลอดทั้งภูเขาไท่ผิงแล้ว
อีกทั้งเทียนจวินผู้เฒ่าบรรพาจารย์ของภูเขาไท่ผิงท่านนั้นก็เพิ่งจะร่ายวิชาอภินิหารเซียนเหรินที่ทำให้คนต้องหันมามอง เผยกายธรรมร่างทองบนโลก ในมือถือกระจกจันทร์กระจ่าง ควบคุมกระบี่เซียนให้สังหารศัตรูไปไกลเป็นหมื่นลี้
เวลาอย่างนี้ใครยังจะกล้ามาแหยมกับภูเขาไท่ผิงที่ฉายประกายคมกริบอีก?
เฉินผิงอันทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง แล้วจึงเดินกลับเรือนพัก
สวมชุดคลุมสีขาว ปักปิ่นหยกบนมวยผม ตรงเอวห้อยแผ่นหยก
ขุนนางในจุดพักม้าเห็นเฉินผิงอันระหว่างทางยังคิดว่าเขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ขบวนเดินทางตระกูลเหยาก็ได้ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเซิ่นจิ่ง
ยิ่งขยับเข้าใกล้ท่าเรือที่มีชื่อเสียงของเมืองเซิ่นจิ่งมากเท่าไหร่ก็หมายความว่าช่วงเวลาที่เฉินผิงอันจะจากลากับคนตระกูลเหยาใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
ยามสนธยาของวันหนึ่ง ตระกูลเหยาเข้าพักที่จุดพักม้าแห่งสุดท้ายบนเส้นทางการเดินทางขึ้นเหนือ จุดพักม้าแห่งนี้เรียบง่ายไม่หวือหวา มองดูแล้วค่อนข้างธรรมดา เมื่อเทียบกับจุดพักม้าที่มีสวนดอกไม้ในเมืองฉีเฮ้อแล้วเรียกได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เดินไปบนทางหลวงนอกจุดพักม้าประมาณสิบกว่าลี้มียอดเขาจ้าวผิงอยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่สูง แต่กลับเหมือนกระบี่แหลมคมที่ชักออกจากฝัก เหมาะสำหรับการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก คือสถานที่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งเมืองหลวง มักจะมีลูกหลานขุนนางใหญ่หรือชนชั้นสูงมาพักค้างแรมอยู่ที่โรงเตี๊ยมบนยอดเขาเป็นประจำ ก็เพื่อมาชมภาพธรรมชาติอันงดงามยามที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นมหาสมุทร สาดส่องแสงสว่างไปทั่วภูเขา
เหยาเจิ้นดึงดันจะลากเฉินผิงอันไปที่ยอดเขาจ้าวผิงด้วยกันให้ได้ อีกทั้งนอกจากสามเหยาแล้วก็ไม่ให้ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนใดตามไปด้วย
สุดท้ายจึงมีแค่แม่ทัพผู้เฒ่าเหยา สามเหยา เฉินผิงอันและเผยเฉียนที่ไปพักค้างแรมยังหนึ่งในโรงเตี๊ยมที่สร้างขึ้นบนยอดเขาจ้าวผิงแห่งนี้
โรงเตี๊ยมแห่งนี้อยู่ทางด้านหลัง เป็นหอชมทัศนียภาพแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาหันหน้าเข้าหาทิศตะวันออก คือจุดที่เหมาะแก่การชมทิวทัศน์มากที่สุดในบรรดาโรงเตี๊ยมทั้งหกแห่งบนยอดเขาจ้าวผิง
คนทั้งกลุ่มหยิบเอาเหล้ารสดีและอาหารมื้อดึกของโรงเตี๊ยมวางลงบนโต๊ะ ชมจันทร์กันก่อนแล้วค่อยชมพระอาทิตย์ขึ้น
เด็กหนุ่มเหยาเซียนจือเล่นสนุกกับเผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า คนทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการ ‘ประลองฝีมือแลกเปลี่ยนความรู้’
เหยาหลิ่งจือเดินไปทางรั้วกั้นตรงหน้าผาเพียงลำพัง ทอดสายตามองไปทางทิศใต้เหมือนจะเศร้าโศกเล็กน้อย
แม่ทัพผู้เฒ่าพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะตั้งตารอให้พระอาทิตย์ขึ้น แต่พอดื่มเหล้าไปสองกา มอมให้เฉินผิงอันล้มไม่ได้ ตัวเองกลับเมาเละไปก่อน เหยาจิ้นจือและเหยาหลิ่งจือจึงได้แต่ประคองท่านปู่กลับไปที่โรงเตี๊ยม
เผยเฉียนกับเหยาเซียนจือสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ย่อมสามารถรอจนเห็นภาพที่พระอาทิตย์ขึ้นได้แน่นอน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะเพียงลำพัง ถือไม้เท้าเดินป่าที่เผยเฉียนโยนทิ้งไว้ด้านข้าง เอามันวาดวงกลมลงบนพื้นดินข้างเท้าอย่างเบื่อหน่าย
วงกลมหนึ่งเล็ก วงกลมหนึ่งใหญ่ อีกวงกลมหนึ่งใหญ่ยิ่งกว่า แล้วก็มีวงกลมที่ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก
ชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมเชื่อมต่อกันไป
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการวาดวงกลมของตัวเอง
เหยาจิ้นจือมายืนอยู่ด้านหลังเฉินผิงอัน มองอยู่นานมากแล้ว ก่อนจะถามว่า “ทำไมไม่วาดต่อไปเล่า?”
เฉินผิงอันเก็บไม้เท้าเดินป่า เอนตัวพิงโต๊ะหิน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คงวาดได้แค่นี้แล้วล่ะ”
เหยาจิ้นจือนั่งลง รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย หลังจากเข้ามาในโรงเตี๊ยม นางก็ปลดหมวกคลุมหน้าลง ตอนที่ดื่มเหล้า นางยู่หน้า ดูท่าคงเป็นเพราะเหล้าถ้วยนี้ดื่มยาก พอดื่มหมดแล้วถึงชำเลืองตามองไปบนพื้น กล่าวว่า “เป็นเพราะยากจะวาดต่อไปได้ ข้าเดาว่าต่อให้เป็นวิญญูชนลัทธิขงจื๊อก็วาดไม่ได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่มองไปทางราวกั้น เหยาเซียนจือและเผยเฉียน หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กทำท่าลับๆ ล่อๆ คล้ายกำลังปรึกษาอะไรกันบางอย่าง
เหยาจิ้นจือถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ถามข้าหรือว่าเข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าวาดอะไร หรือแค่แกล้งทำเป็นเข้าใจกันแน่?”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “แม่นางเหยานางจะรู้อยู่แล้ว”
เหยาจิ้นจือลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังรินเหล้าให้ตัวเองอีกถ้วย กระดกดื่มจนหมด ใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งเปล่งประกายเจิดจรัส นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ระหว่างเจ้าและข้า ระหว่างบ้านและเรือน สงครามระหว่างแคว้นและแคว้น ระหว่างทวีปและทวีป ระหว่างสายบุ๋น ระหว่างสามลัทธิ ระหว่างความรู้ของร้อยสำนัก ระหว่างใต้หล้าและใต้หล้า ระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ! เจ้าเฉินผิงอันกำลังคิดว่าหลักการเหตุผลที่ตัวเองรู้มา คำว่า ‘หลักการและเหตุผล’ สองคำนี้ จะสามารถรวมเป็นวงกลมได้กี่วง จากนั้นเจ้าก็จะเดินวนไปวนมาบนวงกลมที่อยู่ด้านนอกสุด จนกระทั่งเจ้าแน่ใจว่าขอบเขตของวงกลมอันถัดไปอยู่ตรงไหนถึงค่อยข้ามไป แล้วออกเดินต่ออีกครั้ง! มีเพียงทำแบบนี้เท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถเดินทุกก้าวได้อย่างไร้ความละอาย แม้ว่าการเป็นคนอยู่บนโลกจะเหนื่อยมาก แต่ในใจเจ้ากลับไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย ดังนั้นขอแค่เจ้าออกหมัดออกกระบี่ก็สามารถบุกรุดไปข้างหน้าได้อย่างไม่หวั่นเกรง แล้วก็มีเพียงเจ้าเฉินผิงอันที่ถึงจะมีคุณสมบัติพูดคำว่า ‘ถามใจตัวเอง’ กับวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาในโรงเตี๊ยม!”
เฉินผิงอันหันหน้ามามองหญิงสาวคนนี้แล้วพยักหน้า “แม่นางเหยา เจ้าคือหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอมา”
นี่เป็นความจริง
หากไม่มีคำว่า ‘หนึ่งใน’ ก็เท่ากับเป็นการคุยโวที่ขัดต่อความเป็นจริงแล้ว
เพราะต่อให้ไม่พูดถึงคนอื่น ลำพังแค่ชุยตงซาน ‘ลูกศิษย์’ ของตนก็ไม่ใช่คนที่เหยาจิ้นจือจะเทียบเคียงได้แล้ว
อาจเป็นเพราะดื่มเหล้าไปสองถ้วย อีกทั้งยังดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสีหน้าของเหยาจิ้นจือถึงได้ผิดแปลกออกไปจากปกติ นางจ้องหน้าเฉินผิงอันนิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในสายตาของคุณชาย จิ้นจือแค่ฉลาดเท่านั้นหรือ?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยกมือเกาหัว “แม่นางเหยา ข้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้ว”
เหยาจิ้นจือปิดปากหัวเราะคิก ไม่รู้สึกโมโหแม้แต่น้อย กลับกันยังถามอีกว่า “นางสวยมากหรือ?”
ฉับพลันนั้นสีหน้าของเฉินผิงอันเปล่งประกายสดชื่นแจ่มใส ตอบอย่างไม่ลังเล “ภูเขาสวยงามทุกลูก สายน้ำงดงามทุกสายในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้รวมเข้าด้วยกัน ก็ยังไม่งดงามเท่าเทียมนาง!”
ดูเหมือนเหยาจิ้นจือจะไม่รู้สึกแสลงใจใดๆ นางหัวเราะแล้วดื่มเหล้าหนึ่งอึก นั่งคุยถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในเมืองเซิ่นจิ่งเป็นเพื่อนเฉินผิงอันอีกหนึ่งก้านธูป ถึงได้ลุกขึ้นยืนบอกลา
หลังจากหันตัวกลับมา หญิงสาวที่งามล่มบ้านล่มเมืองผู้นี้ก็เดินไปทางโรงเตี๊ยม สายตามืดมนหม่นหมอง
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้าไปมอง เขาเอาข้อศอกเท้าโต๊ะ เอียงตัวยิ้มมองไปทางดวงจันทร์ตลอดเวลา
สายตาของเขาอ่อนโยน ราวกับว่ามองแม่นางคนหนึ่งแล้วก็ไม่อาจรับความงามอื่นใดในโลกมนุษย์ไว้ได้อีก
แม่นางคนนั้นที่เขาชอบเป็นทั้งใฝแดงในหัวใจ (เปรียบเปรยว่าอยู่ในใจ เก็บไว้ในหัวใจ เป็นคนสำคัญที่สุดของหัวใจ) ของเขา แล้วก็เป็นทั้งแสงจันทร์นวลกระจ่าง
—–