กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 356.2 ภูเขาไท่ผิงไม่สงบสุข
เฉินผิงอันปลดป้ายหยกที่หลิวจงบอกว่าเป็น ‘ของจริงแท้แน่นอน’ ชิ้นนั้นลงมา วัสดุที่ทำแผ่นหยกชิ้นนี้ดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ในเวลาสั้นๆ นี้คงยากที่จะหล่อหลอมให้เป็นภาพมายาหรือทำลายไปโดยตรง จึงหมุนตัวกลับ โยนมันไปให้เผยเฉียน “เอาป้ายหยกอันนี้ใส่ไว้ในร่มกระดาษน้ำมัน จำไว้ว่าเมื่อหุบร่มแล้วอย่าเปิดออกอีก”
เผยเฉียนรับแผ่นหยกงดงามที่นางอยากครอบครองมานานเอาไว้ แล้วทำตามคำสั่งแต่โดยดี มือไม้ของนางคล่องแคล่วว่องไวไม่มีอืดอาดแม้แต่น้อย
เรื่องใหญ่จะเลอะเลือนไม่ได้
เผยเฉียนไม่กล้า กลัวว่าเฉินผิงอันจะโกรธนาง
มีแค่ครั้งเดียวที่เฉินผิงอันโกรธนาง หากไม่เป็นเพราะจงขุยช่วยขอร้องให้ เวลานี้ก็คงมีความเป็นไปได้แปดเก้าในสิบส่วนว่านางจะต้องถูกทิ้งให้อยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าโทรมเมืองหูเอ๋อร์ ทุกวันต้องคอยกวาดพื้นยกน้ำเป็นวัวเป็นม้าให้สตรีที่หน้าอกแกว่งส่ายไปทั่วผู้นั้นใช้งาน
……
ลูกศิษย์เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่อยู่บนยอดเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เฉินผิงอันพบร่องรอยของพวกเราแล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำไม่ยี่หระแม้แต่น้อย “เดิมทีไอ้หมอนี่ก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ที่จวนปี้โหยวเกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ใช่เพราะฝีมือของเขาหรือไร ไม่อย่างนั้นนายท่านของข้าก็ไม่ต้องมารับมือกับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ยังไม่ประสบความสำเร็จผู้นี้หรอก ก่อนจะจากไปนายท่านเอ่ยกับข้าด้วยรอยยิ้มว่า น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่ของรางวัลเล็กๆ สิ่งที่นายท่านให้ความสำคัญอย่างแท้จริงคือเป็นเทพจากฝ่ายใดกันแน่ที่ยอมตัดใจมอบสมบัติซึ่งสามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ชิ้นนี้ให้เขาได้ หากไม่เป็นเพราะร้อนลวกมือเกินไป นายท่านก็เต็มใจลองไปยืมมาใช้ดูสักครั้ง แต่นายท่านกลัวว่าหากเขาลงมือ ตลอดทั้งใบถงทวีปจะสั่นสะเทือนตามไปด้วย ดังนั้นจึงอยากให้พวกเรามาลองหยั่งเชิงดูก่อน จะได้อนุมานถึงตัวตนของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากเป็นฝีมือของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านใดจริงๆ หรืออาจถึงขั้นเป็นฝีมือของเทพเซียนที่เอามาใช้รับมือกับความวุ่นวายในใบถงทวีปโดยเฉพาะ…”
เพียงไม่นานชายฉกรรจ์ก็หยุดพูด เขาไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียว
หวังฉีวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาเอ่ยถาม “จะเป็นอย่างไรต่อ?”
ชายฉกรรจ์หัวเราะฮ่าๆ “ข้าลืมไปแล้ว”
แม้หวังฉีจะไม่ซักไซ้ถามต่อ แต่อารมณ์กลับเริ่มดีขึ้น
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้นี้มองว่าตัวเองเป็นแค่ปีศาจน้อยตัวหนึ่ง เป็นแค่มดตัวเล็กที่ยังไม่เลื่อนเป็นโอสถทองเท่านั้น
แต่หากปล่อยให้เขาลงน้ำ พลังการต่อสู้จะเทียบเคียงได้กับโอสถทองที่ตบะค่อนข้างอ่อนด้อยบนภูเขาเลยทีเดียว
ฝนที่เทกระหน่ำในค่ำคืนนี้คือฝนที่ตกได้ถูกเวลาอย่างยิ่ง
ก่อนหน้าจะเจอกับนายท่านก็รู้สึกว่าตัวเองคือผู้พิชิตของพื้นที่แห่งหนึ่งแล้ว ยึดทะเลสาบตั้งตนเป็นราชา บัญชาพวกทหารกุ้งหอยปูปลาที่มีนิสัยดุร้ายกระหายเลือด เป็นเจ้าพ่อในท้องที่ มากไปด้วยอำนาจบารมี ภายหลังนายท่านชี้แนะไม่กี่คำ เขาถึงได้รับโชควาสนา ใช้ลำคลองหมายเหอที่ในยุคบรรพกาลเคยเป็นช่วงตอนหนึ่งของแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรเป็นเส้นทางเจียวหลงลงน้ำ แล้วตบะก็เพิ่มพรวดพราดขึ้นจริงๆ หากไม่เป็นเพราะถูกนังสตรีหน้าเหม็นของลำคลองหมายเหอสกัดขวางไว้ที่ตอนบนของจวนปี้โหยวและศาลเทพวารี สาเหตุเพียงแค่เพราะชีวิตต่ำต้อยของมนุษย์ธรรมดาไม่กี่คน ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้เขาผ่านทางไป ป่านนี้เขาคงเป็นขอบเขตโอสถทองไปนานแล้ว หากได้ลงสู่มหาสมุทรก็มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด!
เดิมทีหากสตรีผู้นั้นยินดีให้เขาเดินผ่านลำคลองหมายเหอทั้งเส้นไปได้อย่างราบรื่น นี่จะเท่ากับว่าสองฝ่ายผูกบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่ต่อกัน ในอนาคตเมื่อเขาได้บรรลุมหามรรคา ไม่ว่าเขาจะมีนิสัยดุร้ายกระหายเลือดหรืออำมหิตมากแค่ไหน แต่ควันธูปครั้งนี้ย่อมต้องหาโอกาสตอบแทนคืนให้ ไม่อย่างนั้นเมื่อวิถีสวรรค์เคลื่อนโคจร บนเส้นทางการฝึกตนของเขาหลังจากนั้นก็จะปรากฎอุปสรรคอีกหลากหลายรูปแบบ เขาคิดจนหัวแทบแตกก็คิดไม่ตกว่าทำไมสตรีผู้นั้นถึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขวางมหามรรคาของเขา เป็นเพราะว่าตนคร่าชีวิตของมนุษย์ธรรมดาแค่ไม่กี่คนนั่นจริงๆ หรือ จะตลกไปหน่อยไหม? เขาเชื่อว่าเรื่องนี้ยังต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่เป็นความลับอยู่อย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าชายหญิงที่ตกลงท้องเป็นอาหารของเขาอาจเคยมีความสัมพันธ์กับศาลเทพวารีมาก่อน นางถึงได้เกรี้ยวกราดดุจสายฟ้าฟาด ยอมให้ตัวเองขาดทุนครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หากไม่มีใครตายไปข้างก็ไม่ยอมเลิกรา
หลายปีมานี้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเอาเป็นเอาตาย เขารู้ดีว่าตบะของเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอนั้นไม่สูง เพียงแต่ว่านางหลอมอาวุธไว้มาก ระดับขั้นของอาวุธก็ดีเยี่ยม จึงอาศัยอาวุธที่มีให้เลือกใช้ไม่ขาดมือมากดหัวเขาเอาไว้ ภายหลังอยู่ดีๆ นางก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ ตอนแรกร่างทองที่เสียหายไม่เพียงแต่ได้รับการซ่อมแซม อีกทั้งระดับขั้นของร่างทองยังเลื่อนไปอีกขั้นใหญ่ ภายหลังจวนปี้โหยวก็ยิ่งมีชะตาน้ำท่วมท้นสมบูรณ์ภายในค่ำคืนเดียว กลายเป็นถ้ำสถิตแห่งเทพเซียนที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นแห่งหนึ่ง!
สิ่งที่หวังฉีต้องการก็คือคาถาหลอมวัตถุที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ บทนั้น
ในอดีตนายท่านเคยพูดกับหนึ่งวิญญูชนหนึ่งปีศาจน้ำอย่างพวกเขาว่า นั่นคือรากฐานมหามรรคาของเซียนยุคบรรพกาลท่านหนึ่ง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงตรงยิ่งใหญ่ เหมาะแก่การบำเพ็ญตนของชาวลัทธิขงจื๊อเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าหากหวังฉีที่อายุขัยบนโลกมนุษย์ใกล้จะหมดลงได้มันมาครอบครอง ฝึกตนได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกยาวนาน ไม่แน่ว่าอาจมีหวังได้ช่วงชิงตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งด้วยก็เป็นได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หวังฉีใช้ทั้งไม้แข็งและไม้อ่อนกับจวนปี้โหยว การที่ปีศาจลำคลองอย่างเขาสร้างความวุ่นวายให้แก่ลำคลองหมายเหอ ถึงขั้นทำให้น้ำท่วมจวนปี้โหยว อีกทั้งยังทำลายร่างทองในศาลเทพวารี ก็เพราะหวังฉีหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะรู้ดีชั่ว ไปขอความช่วยเหลือจากราชสำนักต้าเฉวียน เคยมีครั้งหนึ่งที่หวังฉีถึงขั้นออกจากเมืองหลวงมา ‘เที่ยวเยือน’ ศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอโดยเฉพาะ จงใจเปิดเผยวิชาอภินิหารบางอย่างของวิญญูชน ทว่าเจ้าแม่เทพวารีคนนั้นกลับทำเป็นมองไม่เห็น! ยิ่งไม่เคยร้องทุกข์ให้วิญญูชนอย่างเขาฟังแม้แต่ครึ่งคำ
หลังจากนั้นหวังฉีก็ประทานความเมตตาครั้งใหญ่ พยายามขอให้ฮ่องเต้สกุลหลิวต้าเฉวียนเลื่อนขั้นจวนปี้โหยวเป็นตำหนัก นั่นก็เพราะหวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะซาบซึ้งในบุญคุณครั้งนี้ เป็นฝ่ายมอบคาถาเซียนบนป้ายศิลาขอฝนซึ่งมีแต่นางเท่านั้นที่บรรลุสัจธรรมแท้จริงของมันมาให้เขา
ทว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอกลับยังเฉยเมย ถึงขั้นป่าวประกาศว่าต้องเอาตำราของอริยะปราชญ์เหวินเซิ่งมาบูชาไว้ในศาล ร่วมกันรับควันธูปเท่านั้น ไม่อย่างนั้นนางก็ยอมเก็บป้ายผุๆ คำว่าจวนปี้โหยวไว้ต่อไป
เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เกลือกับน้ำมันดันไม่เข้า กลายเป็นน้ำที่เข้าสมองซะอย่างนั้น (คำว่าน้ำเข้าสมองเป็นคำด่าว่าสมองมีปัญหา แต่คำว่าเกลือและน้ำมันเข้าสมองเป็นคำชม เพราะเกลือกับน้ำมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสมัยโบราณ)
……
ภูเขาที่ตั้งวัดร้างไม่สงบสุข
ภูเขาไท่ผิงก็ไม่สงบสุขเช่นกัน
ริมลำคลองใหญ่สายหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง วันนี้ก็ไม่ค่อยสงบสุขเท่าใดนัก
มีชายหญิงสองคนที่เดินทางไกลมาถึงที่นี่ สตรีสวมชุดผ้าแพรของชาววัง แม้จะมีหมวกคลุมปิดบังโฉมหน้า แต่แค่มองเรือนร่างและลักษณะท่าทางของนางก็รู้แล้วว่าต้องเป็นสาวงามที่เป็นภัยอย่างแน่นอน
บุรุษร่างสูงเพรียว ใบหน้าผอมตอบ บนร่างสวมเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะ ตรงเอวห้อยน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีแดงใบหนึ่ง
หากเฉินผิงอันและเด็กชายชุดเขียวกับเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูมาอยู่ที่นี่ก็จะพบว่า นี่คือคู่นายบ่าวที่พบเจอกับพวกเขาบนสะพานเลียบริมหน้าผาท่ามกลางค่ำคืนที่พายุหิมะพัดแรงบนชายแดนเชื่อมต่อระหว่างแคว้นหวงถิงกับต้าหลีในปีนั้น
สตรีสวมชุดชาววังมีชื่อว่าชิงอิง
ครั้งก่อนหลังจากที่จากลากับพวกเฉินผิงอันสามคน ในหุบเขาแห่งหนึ่ง หญิงสาวเผยร่างจริงที่เป็นจิ้งจอกขาว เรือนกายของนางใหญ่โตดุจขุนเขา บุรุษที่เมื่ออยู่ต่อหน้านางร่างก็เล็กจ้อยเท่าเมล็ดข้าวสารเพียงแค่เอ่ยชื่อนางเรียบๆ หางจิ้งจอกของหญิงสาวที่งอกมาแปดหางแล้วก็หายไปหางหนึ่ง
นางเรียกบุรุษว่า “นายท่านป๋าย”
เวลานี้บุรุษผู้นี้เงยหน้ามองไป ท่ามกลางก้อนเมฆหลากสีมีนครจักรพรรดิขาวอยู่แห่งหนึ่ง ผู้นำแห่งลัทธิมาร เจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นั้นได้รับการยอมรับจากผู้คนว่าเป็นนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งในใต้หล้า ธงผืนหนึ่งที่ปักตระหง่านเขียนคำว่า ‘ถ่อมตนแด่บรรพชนหมากล้อมทั่วหล้า’ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถทำให้เจ้านครท่านนั้นลดธงลงได้ ช่างมากบารมีเสียเหลือเกิน
บุรุษเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “น่าเสียดายที่ไม่มีหอแก้วแห่งนั้นแล้ว”
หญิงสาวสวมชุดชาววังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน ได้ยินว่าคนที่ชอบสวมชุดคลุมเต๋าสีชมพูผู้นั้นเลื่อมใสนายท่านมานานมากแล้ว”
บุรุษแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนจะดึงสายตากลับมาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ ดุจเดิมว่า “เจ้านครไม่ต้องออกมา ข้าแค่ผ่านทางมาเท่านั้น”
จิตใจของสตรีสวมชุดชาววังเริ่มฮึกเหิม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง!
คนที่สามารถทำให้เจ้านครจักรพรรดิขาวออกจากนครได้ ตลอดพันปีที่ผ่านมานี้มีเพียงคนเดียว!
มีเพียงลูกศิษย์คนนั้นของเหวินเซิ่งเท่านั้น
แต่นายท่านป๋ายของนางกลับปฏิเสธไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้!
บุรุษเดินเลียบริมลำคลองสายใหญ่ที่เป็นดั่งแม่น้ำหวงเหอไหลบ่าลงมาจากสวรรค์อย่างเนิบช้า เขาถอนหายใจเบาๆ พูดกับนางว่า “เจ้าไปที่อื่นสักครู่”
สตรีสวมชุดชาววังใจเต้นรัว แต่ไม่กล้าถามมาก รีบทะยานจากไปทันที
บุรุษยืนอยู่ที่เดิม
ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อใบหน้าเคร่งขรึมมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายบุรุษ ประสานมือคารวะ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ลวี่สี่แห่งสถานศึกษาหลี่จี้คารวะนายท่านป๋าย”
บุรุษสีหน้าไร้อารมณ์
ลวี่สี่
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้หนึ่งในสามสถานศึกษาใหญ่ของลัทธิขงจื๊อแห่งใต้หล้าไพศาล
อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าเทวรูปต้องถูกตั้งอยู่ในศาลบุ๋นเคียงข้างปรมาจารย์มหาปราชญ์
ทว่าอริยะลัทธิขงจื๊อที่เกือบเข้าใกล้สามอมตะเต็มทีผู้นี้กลับยังปฏิบัติต่อบุรุษคนหนึ่งที่เดินทางไกล ช่วงนี้เพิ่งเดินทางจากแจกันสมบัติทวีปมาถึงทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างนอบน้อมขนาดนี้
ลวี่สี่กลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากเอ่ยเช่นไร
เพราะลำบากใจเกินไป เรื่องที่เขาจะนำมาปรึกษาอีกฝ่ายนั้นใหญ่เกินไปมากจริงๆ
บุรุษร่างสูงเพรียวที่ดูเหมือนว่าทุกคนที่รู้ตัวตนของเขาล้วนชอบเรียกเขาว่า ‘นายท่านป๋าย’ พึมพำขึ้นกับตัวเอง “ปีนั้นข้าบอกชื่อจริงของปีศาจใหญ่ทั้งหมดในโลกแด่อาจารย์น้อยผู้นั้น ช่วยให้เขาสร้างเก้ากระถางใหญ่ไว้บนยอดเขาใหญ่เก้าแห่ง เพราะหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”
“หลังจากนั้นมา หมื่นปีศาจใต้หล้าก็เริ่มจำศีล ถอยกลับเข้าไปอยู่ในป่าบนภูเขา เก็บตัวเงียบไม่เผยกาย เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าถึงได้เดินขึ้นเขาฝึกตน ถึงได้มีเทพเซียนบนภูเขา ถึงได้มีทัศนียภาพงดงามเต็มไปด้วยสีสันของฟ้าดินแถบนี้”
“ปีนั้นอาจารย์น้อยที่เพิ่งจะได้รับคุณความดีด้านการมีมนุษยธรรมผู้นั้นสัญญากับข้าเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อปวงประชาด้วยความสุภาพ ลัทธิขงจื๊อของข้าต้องปฏิบัติต่อท่านอาจารย์อย่างสุภาพแทนใต้หล้าแน่นอน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บุรุษก็หันหน้ามามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแล้วกระตุกมุมปาก “คำว่าท่านอาจารย์นี้ ตอนนี้ถูกลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้ายึดครองไปแทบหมดแล้ว เฮอๆ”
ลวี่สี่ขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดไป สีหน้าเคร่งเครียด
บุรุษมองไปทางน้ำในลำคลองที่ไหลซัดบ่าเข้าหามหาสมุทรแล้วไม่ย้อนกลับมาอีกสายนั้นต่ออีกครั้ง พลางเอ่ยว่า “ภายหลังมีภาพค้นภูเขาปรากฏขึ้นมาอีก หอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล หนึ่งในนั้นก็คือหอสยบป๋ายเจ๋อ ตอนนี้เจ้าเดินมาตรงหน้าข้า ต้องการให้ข้าไปที่นาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปเพื่อช่วยพวกเจ้า ‘ค้นภูเขา’ ตามหาปีศาจใหญ่อย่างนั้นหรือ? อาศัยอะไร อาศัยที่ปีนั้นหลี่เซิ่งเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าอาศัยที่พวกเจ้าช่วยข้าสร้างหอสูงแห่งนั้นขึ้นมา? ทำให้ข้าได้มีที่หยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาล?”
บุรุษหันหน้ากลับไปอีกครั้ง คราวนี้เพิ่มน้ำหนักเสียงจากเดิมเล็กน้อย “หืม?”
ลวี่สี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
ยังดีที่นายท่านป๋ายคลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าเชื่อมั่นในตัวเขา และยิ่งรู้ถึงความลำบากใจของเขา ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้จึงรักษากฎที่พวกเจ้าตั้งไว้มาโดยตลอด ส่วนพวกเจ้านั้น ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก บัณฑิตไม่ควรเผด็จการเช่นนี้ ควรจะใช้หลักการของอริยะปราชญ์อบรมสั่งสอนปวงประชา ควรแปรเปลี่ยนลมฤดูใบไม้ผลิให้เป็นสายฝนที่พร่างพรมให้สรรพสิ่งชุ่มชื้น”
ลวี่ซี่ที่เหมือนถูกขุนเขาทั้งห้าของแผ่นดินกลางกดทับพอจะหายใจหายคอได้เล็กน้อย
บุรุษเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “เผ่าปีศาจมีข้าป๋ายเจ๋ออยู่ นับเป็นความโชคร้ายสูงสุด”
ลวี่สี่เริ่มรู้สึกชาที่หนังศีรษะอีกครั้ง
บุรุษไม่อยากจะคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรุ่นหลังผู้นี้ จึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ครั้งนี้ข้าแหกกฎออกมาจากหอแห่งนั้นโดยพลการ เดินทางท่องไปทั่วหล้าเพราะอยากจะเห็นกับตาตัวเองว่า ผ่านไปหลายปีขนาดนี้ วิถีทางโลกที่ปีนั้นอาจารย์น้อยผู้นั้นอธิบายให้ข้าฟังได้มาถึงแล้วหรือยัง”
“ขอถามท่านอาจารย์ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? ดีหรือว่าไม่ดี?”
ลวี่สี่ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ต้องรู้ว่าความคิดของนายท่านป๋ายเกี่ยวพันกับแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้าหนึ่งแห่ง ไม่สิ ต้องเป็นใต้หล้าสองแห่ง!
บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ายังอยากไปดูต่ออีกหน่อย”
สุดท้ายเขาเอ่ยว่า “ได้หรือไม่?”
มองดูเหมือนเป็นการสอบถาม แต่กลับไม่แม้แต่จะหันมามองผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนี้ ทว่าพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในคำพูดของนายท่านป๋ายผู้นี้กลับทำให้วิชาอภินิหารของลวี่สี่ไม่สามารถสกัดขวางเอาไว้ได้ น้ำสีเหลืองของลำคลองใหญ่โถมตัวขึ้นลง คลื่นยักษ์ตีกระทบชายฝั่ง เมฆหลากสีเหนือศีรษะก็ยิ่งเดี๋ยวรวมตัว เดี๋ยวแตกสลายไม่หยุดนิ่ง เผยให้เห็นโฉมหน้าอันยิ่งใหญ่โอฬารของนครจักรพรรดิขาว
ในที่สุดลวี่สี่ก็เอ่ยเสียงหนักว่า “ได้!”
……
เว่ยเซียนยังคงเฝ้าที่ว่างหน้าประตูวัดร้างไว้อย่างแน่นหนา ยืนตระหง่านไม่ล้มลง
จูเหลี่ยนก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความดุร้ายที่น่าพรั่นพรึง ยิ่งบาดแผลสาหัสเท่าไหร่ พลังสังหารก็ยิ่งรุนแรงมากเท่านั้น
ประหนึ่งมารร้ายผู้บ้าคลั่ง
บุกไปที่ใด ที่แห่งนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง
สุยโย่วเปียนที่ฟาดฟันปล่อยกระบวนท่ากระบี่ออกไปอย่างเต็มที่ หลังจากสังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปเก้าร้อยคนเพียงลำพัง มากกว่าที่หลูป๋ายเซี่ยงฆ่าได้สองร้อยคน ในช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนลมปราณกลับถูกสวี่ชิงโจวและสวีถงแห่งอารามฉ่าวมู่ร่วมมือกันลอบโจมตี ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ สุยโย่วเปียนก็ยังคงใช้ลมปราณเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่สังหารทหารชายแดนสวมเสื้อเกราะไปอีกหนึ่งร้อยยี่สิบกว่าคนภายใต้เปลือกตาของคนทั้งสอง นี่ถึงทำให้หนึ่งดาบของสวี่ชิงโจวผ่าลงมาแสกหน้า อีกทั้งยังถูกเซียนซือสวีถงที่ไม่กล้าประมาทใช้วิชาก้นกรุทำลายเรือนกายและจิตวิญญาณจนแหลกเละ นอกจากกระบี่ชือซินที่หล่นร่วงลงพื้นอย่างน่าสังเวชแล้ว บนโลกนี้น่าจะไม่มีสุยโย่วเปียนสาวงามที่สะพายกระบี่อยู่อีกแล้ว
ทว่าในขณะที่สวี่ชิงโจวค้อมตัวลงเตรียมจะเก็บของเชลยศึกชิ้นนั้นมา
ตรงหน้าประตูวัดร้างกลับมีโฉมสะคราญหน้าตาเย็นชาคนหนึ่งเดินออกมา นางก็คือสุยโย่วเปียน!
ตอนที่เดินสวนไหล่กับเฉินผิงอันไป นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ทลายขบวนชุดเกราะไปได้หนึ่งพันหนึ่งร้อยคนแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งมากพอให้ข้าซื้อภูเขาเจินจูที่บ้านเกิดได้อีกลูกเลยนะ”
สุยโย่วเปียนแค่นเสียงดังหึ อารมณ์เลวร้ายอย่างถึงที่สุด เรือนกายอรชนอ้อนแอ้นของนางพุ่งวูบออกไป ยื่นมือไปยังจุดที่ห่างไปไกลหนึ่งที กระบี่บินชือซินก็แหวกอากาศกลับคืนมา ถูกนางถือกำไว้ในมืออย่างแน่นหนา แล้วปราณกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลเส้นหนึ่งก็พุ่งตรงออกไป ทำเอาสวี่ชิงโจวกับสวีถงตกใจจนต้องรีบเบี่ยงหลบไปซ้ายคนขวาคน ถอยกรูดห่างไปไกลหลายสิบจั้ง
ที่แท้ก่อนที่ศึกใหญ่จะเปิดฉากขึ้น ความลับที่เว่ยเซี่ยนพูดถึงก็คือ หากเฉินผิงอันตาย คนทั้งสี่ก็ล้วนตายตามไปด้วย เฉินผิงอันไม่ตาย แต่หลังจากคนทั้งสี่ตายแล้ว เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็ทำให้พวกเขาเดินออกมาจากม้วนภาพวาดได้อีกครั้งโดยที่ขอบเขตไม่ถดถอยลงแม้แต่น้อย
ศัตรูตัวฉกาจสองคนที่อยู่บนยอดเขายังคงนิ่งดูดาย ยังไม่ยอมเผยโฉม
เฉินผิงอันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำจึงแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือกิ่งนั้น ทั้งเสียดายเหรียญทองแดงแก่นทอง แล้วก็รู้สึกอยากขำ เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านผู้อาวุโสมีมรรคกถาค้ำฟ้าจริงๆ”
—–