กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 357.2 ช่วงชิงมรรคาห่างกันเพียงเสี้ยว จั่วโย่วไม่รู้จะไปที่ใด
ความลับเรื่องนี้ วิญญูชนสำนักศึกษาตัวเล็กๆ ที่ทำผิดต่อลัทธิขงจื๊อย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะรู้ได้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำย้ายสายตาไปมองหลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบอยู่ไกลๆ
หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง หวังฉีก็พยักหน้ารับ “ลงมือนั้นได้ แต่ห้ามเผยร่างจริง ไม่อย่างนั้นหลังจบเรื่องข้าก็ไม่อาจมีคำอธิบายให้กับสำนักศึกษาต้าฝู เจ้าขุนเขาท่านนั้นหลอกไม่ง่ายหรอกนะ”
ชายฉกรรจ์พูดเย้ยหยัน “เรื่องนี้ยังไม่ง่ายอีกหรือ ก็แค่บอกว่าปีศาจวารีลำคลองหมายเหออย่างข้าได้รับการชี้ทางสว่างจากเจ้า จึงละทิ้งความช่วยร้ายหันเข้าหาความดีงาม คิดจะขอศาลเทพวารีแห่งหนึ่งมาจากเจ้าและราชสำนักต้าเฉวียน ดังนั้นจึงยินดีลงมือช่วยเหลือ อาศัยการสร้างคุณความชอบมาแลกเปลี่ยนสถานะตัวตนที่ถูกต้องเหมาะสม จะยังไม่มีคำอธิบายได้อย่างไร?”
หวังฉียิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้ออ้างที่มองดูเหมือนสมเหตุสมผลนี้ บางทีฮ่องเต้หลิวเจินอาจจะเชื่อ แต่เจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เอาล่ะ ทำตามที่ข้าพูดเถอะ อย่าใช้ร่างจริงของเผ่าปีศาจไปต่อสู้กับเฉินผิงอันเด็ดขาด ขอแค่เจ้าบีบให้เฉินผิงอันเผยพิรุธเสี้ยวหนึ่งได้…”
คำพูดของหวังฉีพลันหยุดชะงัก ทว่าปณิธานการเข่นฆ่าสังหารกลับเปี่ยมล้น “ข้าก็จะทำให้ทั้งร่างและจิตของเขาต้องดับสลายอยู่ที่นี่!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเบ้ปาก “เอาเถอะ หวังว่าเจ้าจะทำได้อย่างที่พูด สังหารเฉินผิงอันที่กำลังรอให้พวกเราสองคนเอาตัวไปส่งถึงที่ได้ในการโจมตีเดียว อย่าเก่งแต่ปากก็แล้วกัน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เกือบลืมไป ความสามารถในการลับฝีปากของบัณฑิตอย่างพวกเจ้าร้ายกาจที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ของพวกเรา เสียมารยาทแล้วๆ”
หวังฉีไม่ถือสาปีศาจป่าเถื่อนตนนี้
ปีศาจวารีลำคลองหมายเหอไม่สนใจสักนิดว่าจะทำให้คนตรงวัดร้างสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวหรือไม่ เขาเดินก้าวยาวๆ ออกไป ทุกก้าวที่เหยียบลงพื้นล้วนทำให้ภูเขาสั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปจากหน้าผาบนยอดเขา วาดเส้นโค้งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายกระแทกตูมลงบนพื้น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หวังฉีถอนหายใจเบาๆ ใบหน้ามีความกลัดกลุ้ม
ผู้ที่สร้างโอสถทองสำเร็จคือคนรุ่นเดียวกับข้า
เพียงแต่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง พืชหญ้ามีเขียวชอุ่มมีแห้งเหี่ยว โอสถทองหนึ่งเม็ดที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็ถึงเวลาที่ต้องหม่นหมองแล้ว
เขาหวังฉีมีความรู้อยู่เต็มกาย ยังไม่ทันได้ทำความมุ่งมาดปรารถนาให้เป็นจริง จะตายได้อย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกลมปราณโอสถทองยังรู้ถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตได้ดีกว่ามนุษย์ธรรมดาที่มึนๆ งงๆ มากนัก
การที่ต้องนับวันรอความตายเป็นเรื่องที่ทรมานสิ้นดี
มาแล้ว
ด้านล่างยอดเขาสูงตระหง่านลูกนั้น ปีศาจลำคลองร่างกำยำสร้างความเคลื่อนไหวดังขนาดนั้น เขาเฉินผิงอันไม่ใช่คนหูหนวก ย่อมได้ยินชัดเจนอยู่แล้ว
มือซ้ายถือกิ่งไม้ที่หยิบจากพื้นขึ้นมาส่งๆ มือขวาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ชูอีและสืออู่พุ่งออกไป จากนั้นก็หายวับไปไม่เหลือเงา
มือขวาที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อคีบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจกระดาษสีทองที่จงขุยใช้เหล็กหมาดหิมะเขียนด้วยมือของตัวเองเอาไว้
กระดาษแผ่นนี้ล้ำค่ามาก ตอนนั้นที่จวนปี้โหยวถูกสร้างขึ้น เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอก็เพิ่งจะได้พระราชทานมาจากราชสำนักต้าเฉวียนแผ่นเดียว คือกระดาษลมฟ้าลายพื้นภาพกรงเล็บมังกร หนึ่งในกระดาษยันต์สีทองสามแผ่นที่จงขุยมอบให้กับเฉินผิงอัน
แม้ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่รู้ตัวตนของผู้ที่จะมาหาเรื่องเขาก็ตาม
ทว่าเรื่องราวบนโลกก็บังเอิญเช่นนี้ ยันต์สยบปีศาจแผ่นหนึ่งที่เขียนขึ้นในจวนปี้โหยวได้เอามาใช้สยบสังหารปีศาจวารีลำคลองหมายเหอพอดี วิถีสวรรค์ช่างยุติธรรม ทำชั่วกรรมย่อมตามสนอง!
ส่วนชูอีกับสืออู่ หลังจากเฉินผิงอันเรียกยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแล้ว เขาก็ส่งกระบี่ออกไปยังผู้มาเยือน เพื่อสกัดกั้นการช่วยเหลือจากหวังฉีวิญญูชนที่อยู่บนยอดเขา
หวังฉีวิญญูชนที่ยืนอยู่บนภูเขาปลงอนิจจังอยู่ในใจ หนึ่งความคิดบังเกิด แยกมารและเทพออกจากกันอย่างแท้จริง
หวังว่าการล้อมฆ่าครั้งนี้จะราบรื่น หลังจากนี้เมื่อได้คาถาเซียนที่ชี้ตรงไปยังมหามรรคาบทนั้นมาแล้ว เขาจะไม่สนใจบุญคุณความแค้นในโลกมนุษย์อีก จะตั้งใจฝึกตน สักวันหนึ่งจะต้องได้เป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษา ถึงเวลานั้นค่อยชดเชยให้กับโชคชะตาภูเขาและแม่น้ำของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็แล้วกัน
……
นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่กลับย่อพื้นที่ให้หดสั้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานก็ออกจากชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนมายังทิศใต้ของแคว้นเป่ยฉี จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง เลือกเข้าไปในทะเลสาบกลางป่าเขาที่ค่อนข้างสงบและห่างไกลจากผู้คนแห่งหนึ่ง สุดท้ายมาหยุดอยู่ตรงยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบแล้วหายตัวไป
ใต้พื้นดินมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางโบราณที่ถูกกลบฝังไว้ นักพรตหนุ่มเดินอยู่ในเส้นทางที่ยาวไกลนับพันลี้ เส้นทางโบราณที่เลื้อยลดคดเคี้ยวใต้ดินแห่งนี้มีทางแยกออกไปอีกเยอะมาก แต่เขาไม่ได้เลือกทิศทางใด ไร้ซึ่งความลังเล
ตลอดทางพบเจอภาพเหตุการณ์ประหลาดที่บ้างก็น่าสะพรึงกลัว บ้างก็งดงาม แต่กลับไม่อาจทำให้นักพรตหนุ่มหยุดเดินได้
สุดท้ายเขามาถึงหน้า ‘ประตูภูเขา’ แห่งหนึ่งที่เหลือเพียงซากปรักหักพัง กรอบป้ายด้านบนเอียงกะเท่เร่ แตกบิ่นไปเกือบครึ่ง เหลือเพียงแค่สามอักษรว่า ‘ตำหนักตู๋เปี๋ย’
เมื่อเขาเดินเข้าไปในประตูบานนั้น ปราณกระบี่เล็กบางขุมหนึ่งก็พลันมารวมตัวกันแล้วพลันสลายหายไป
ทุกพื้นที่มีแต่ผนังแตกหักผุพัง นักพรตหนุ่มก้าวเดินไปอย่างเนิบช้า
ป้อมอินทรีบิน จวนปี้โหยว เมืองหูเอ๋อร์
นอกจากโรงเตี๊ยมที่จิ่วเหนียงอยู่แล้ว อีกสองสถานที่ล้วนไม่ใช่สถานที่สำคัญอะไร หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ป้อมอินทรีบินเคยเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุด ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงหมอกควันที่สลายไปสิ้น ทำให้เขาไม่อยากจะคิดถึงสักเท่าไหร่
การเดินทางไปทั่วใบถงทวีปหลังจากนั้น แต่ละที่ที่ผ่านเขาไม่เคยตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่สุดท้ายต้นหลิ่วจะเติบโตหรือไม่ (มาจากสำนวนไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิ่ว แต่ต้นหลิ่วกลับเติบโตเป็นพุ่มดกครึ้ม เปรียบเปรยว่าเรื่องที่ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้ตั้งใจดันเกิดขึ้น แต่สิ่งที่คาดหวังกลับไม่เกิด) นักพรตหนุ่มไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แผนการที่เขาวางไว้ในใบถงทวีปครั้งนี้ ปีศาจใหญ่สองตัวที่อยู่ในสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ
แต่เมื่อเขาค้นพบว่าดันมีคนผู้หนึ่งที่เขาไม่รู้ประวัติความเป็นมา มาโผล่อยู่บน ‘มหามรรคา’ ที่เขาเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ครั้งหนึ่งคือความบังเอิญ สองครั้งก็ยังเป็นความบังเอิญ แล้วถ้าสามครั้งล่ะ?
ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากไม่ทันระวัง สุดท้ายร่างจริงที่ทิ้งไว้ในบ้านเกิดซึ่งใช้เทือกเขาเป็นหมอนหนุนจะได้รับความเสียหายทางจิตวิญญาณมากเกินไป เป็นเหตุให้ไม่อาจฟื้นตื่นขึ้นมาได้ในระยะเวลาหลายร้อยปี ถึงเวลานั้นก็ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสบุกเบิกที่ดินผลักดันให้กิจการใหญ่เจริญรุ่งเรืองซึ่งหมื่นปีก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้งหรอกหรือ? แล้วจะยังช่วงชิงพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์จนเหนือจินตนาการแห่งแล้วแห่งเล่ามาให้ลูกหลานในตระกูลได้อย่างไร?
เขาบอกเตือนตัวเองอยู่ในใจเช่นนี้ไม่หยุด
ปลายทางของเส้นทางตำหนักที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้คือซากแท่นพันธนาการมังกรที่มองดูเหมือนจะเก่าแก่มากแห่งหนึ่ง ด้านบนมีวานรขาวที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดนั่งขัดสมาธิอยู่ ปราณดุร้ายอำมหิตทั่วร่างที่มิอาจอำพรางได้ไหลทะลักไปเป็นจำนวนมหาศาล เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ปราณกระบี่ดุดันเป็นเส้นๆ เหมือนจับต้องได้จริงเหล่านั้นลอยออกไปจากแท่นหินใหญ่ยักษ์ จะต้องถูกสายฟ้าสีขาวหิมะที่ผุดลอยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจโจมตีจนไม่เหลือร่องรอย
ก็คือวานรขาวสะพายกระบี่ของภูเขาไท่ผิงที่หนีตายมาถึงที่นี่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ไม่อาจใช้คำว่า ‘สะพายกระบี่’ ได้อีกแล้ว
วานรเฒ่าถามเสียงแหบแห้ง “เหตุใดถึงมาหาข้าที่นี่? ไม่กลัวว่าพวกเราสองคนจะต้องมาตายอยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
นักพรตหนุ่มเดินมาถึงแถบริมขอบของแท่นพันธนาการมังกร ไม่ได้เดินขึ้นบันไดไป เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ที่บ้านเกิดมีตาแก่คนหนึ่งที่เคยทำนายเรื่องนี้มานานแล้ว เจ้าเป็นคนโชคดี ไม่มีทางตายหรอก”
วานรเฒ่าชำเลืองตามองเจ้าคนที่สวมชุดนักพรตเต๋า สวมกวานดอกบัวผู้นี้ ยิ่งมองเขาก็ยิ่งกดดันจริงๆ
ปีนั้นตอนอยู่บนภูเขาไท่ผิง ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าอย่างไร เขาใช้ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สูญเสียความทรงจำ จากนั้นถูกนักพรตโอสถทองคนหนึ่งของภูเขาไท่ผิงพาขึ้นไปบนภูเขา แล้วเขาก็สามารถปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรได้จริง จนกระทั่งเข้าไปในศาลบรรพจารย์ ได้รับป้ายหยกผู้สืบทอดมาชิ้นหนึ่ง เขาก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่มีความหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ สามารถทำลายสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ทรัพยากรขาดแคลนกลางคันของภูเขาไท่ผิงได้มากที่สุดก่อนหน้านักพรตหญิงหวงถิง จึงถูกฝากความหวังไว้มาก
ความเร็วในการเลื่อนขั้นเป็นโอสถทองและฝ่าคอขวดก่อกำเนิดอย่างราบรื่นของคนผู้นี้ แม้แต่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงก็ยังตกตะลึง ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อหาอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งที่สามารถอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์มาให้เขาโดยไม่รู้สึกเสียดาย นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้สำนักฝูจีและสำนักกุยหยกเกิดจิตคิดร้าย
หลังจากเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดตั้งแต่อายุยังน้อย เขาที่ตลอดเส้นทางของการฝึกตนทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีในการกำจัดปีศาจปราบมารจนมีชื่อเสียงที่ดีงาม มีวันหนึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าโอกาสเหมาะสม หรือจู่ๆ สติปัญญาถูกเปิดกว้างขึ้นมา จึงไปหาวานรขาวในบ่ออเวจี แสดงตัวตนแท้จริงที่น่าตะลึงพรึงเพริดออกมา ออกคำสั่งให้วานรขาวสะพายกระบี่ที่มีหน้าที่พิทักษ์ขุนเขาปล่อยปีศาจใหญ่ชั้นล่างสุดตัวหนึ่งออกไป หลังผ่านศึกหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็บาดเจ็บ จิตวิญญาณต้นกำเนิดได้รับความเสียหาย เซียนดินหนุ่มที่อายุไม่ถึงร้อยปีกลับตกอยู่ในสภาพที่เป็นดั่งเปลวเทียนในสายลม พลังชีวิตแห้งขอด ร่างกายเสื่อมโทรม สภาพน่าเวทนายิ่งกว่าก่อกำเนิดเฒ่าที่อายุสูงเป็นพันปีเสียอีก หลังจากนั้นมาก่อกำเนิดหนุ่มก็อาศัยเหตุผลที่ว่า ‘สวรรค์ไม่ไร้ทางให้คนเดิน’ ลงจากเขาไปหาประสบการณ์ สุดท้ายเปิดฉากเข่นฆ่ากับผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักฝูจีอย่างดุเดือด ฝ่ายหลังสูญเสียโอกาสที่จะได้เกิดใหม่ เรียกให้ร่างจำแลงของปีศาจบรรพกาลตนหนึ่งเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์ ส่วนก่อกำเนิดหนุ่ม สุดท้ายก็ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
ป้ายหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงแผ่นนั้นก็หายไป อาวุธสำคัญที่ช่วยอำพรางเจตนารมณ์สวรรค์ก็ถูกทำลายลงไปด้วย
นักพรตหนุ่มที่ในอดีตคือผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของภูเขาไท่ผิงนั่งอยู่บนขั้นบันได หันหลังให้วานรขาว พูดพลางยิ้มบางๆ “จงขุย หวงถิงล้วนต้องตายทั้งหมด โดยเฉพาะจงขุย หากเขาไม่ตาย ทุกอย่างก็จะไม่เรียบง่ายเพียงแค่ว่าในอนาคตลัทธิขงจื๊อจะมีผู้อำนวยการใหญ่เพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งเท่านั้น หลังจากศึกใหญ่ผ่านไป สิ่งมีชีวิตจะมอดม้วย แน่นอนว่าถึงช่วงเวลาที่ภูตผีจะออกมาเดินในใต้หล้า ที่บ้านเกิดของพวกเรามีตาแก่คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้พอดี หากลัทธิขงจื๊อมีจงขุย ถึงเวลานั้นฝ่ายของพวกเรา คนที่ต้องตายอาจมีเจ้าเพิ่มมาหนึ่งคน”
เขาชูแขนขึ้นสูง ยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว เพิ่มน้ำหนักเสียง “อย่างน้อยที่สุด!”
จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ชูนิ้วที่เหลือสองนิ้วซึ่งแต่เดิมงออยู่ขึ้นมา “อันที่จริงมากขนาดนี้ เมื่อครู่นี้แค่กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจ”
วานรขาวพ่นลมหายใจออกทางจมูก มันย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว
ตนห้าคน นั่นก็เท่ากับผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสองห้าคนแล้ว!
จงขุยที่ตายเพราะถูกมันโจมตีด้วยสามกระบวนท่ามีความสามารถนี้หรือ?
นักพรตหนุ่มใช้สองมือตบหัวเข่าเบาๆ “ตอนนี้เจ้าหลบซ่อนตัวเหมือนหนู จะดีจะชั่วก็ยังพอมีความหวัง ทว่าเจ้าคนที่อยู่สำนักฝูจีทำให้แผนการของข้าล้มเหลว สมควรแล้วที่ต้องถูกไล่ฆ่าไปถึงมหาสมุทร มันโชคไม่ดีเหมือนเจ้า ต่อให้ลงมหาสมุทรไปได้ก็ยังยากจะหนีพ้นความตาย ตอนนี้ก็ต้องดูที่ว่าเจ้าสองคนที่ตามไปอย่างเนิบนาบนั้น ใครกันจะเป็นคนอุดรูโหว่รูใหญ่นี้ได้ แต่ว่าตบะขอบเขตสิบสอง หากเป็นการโจมตีก่อนตายก็ไม่แน่ว่าอาจจะลากใครตายไปพร้อมกันด้วยได้ หลังจากข้ากลับไปถึงบ้านเกิดแล้วก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับลูกหลานของเขาให้มากความอีก”
วานรขาวขมวดคิ้วกล่าว “อริยะลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าบัญชาการณ์ม่านฟ้าของใบถงทวีป แม้แต่ข้าก็ยังหาไม่เจอ คิดจะหาตัวเจ้าจะไม่ยากยิ่งกว่าหรอกหรือ เหตุใดเจ้าต้องรีบร้อนจากมาด้วย?”
หนึ่งในอริยะของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาที่มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นผู้นั้น ต่อให้มีหน้าที่คอยจับตามองความเคลื่อนไหวของใบถงทวีป แต่ในสายตาของเขาก็เห็นเป็นแค่แสงดาวดารดาษในโลกมนุษย์เท่านั้น ซึ่งนั่นล้วนเป็นภาพสะท้อนของผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์และฮ่องเต้ อัครเสนาบดี แม่ทัพ ทว่าศึกที่ภูเขาไท่ผิง ถึงอย่างไรอริยะก็เห็นเป็นแค่ดวงไฟสองดวงที่ค่อนข้างใหญ่ระเบิดแตก จากนั้นถึงได้ใช้วิชาอภินิหารหลุบมองมาทางภูเขาไท่ผิง
เทพมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันถึงแคว้นกับแคว้น ทวีปกับทวีปซึ่งต้องมีปราการธรรมชาติที่มองไม่เห็นมากมายกางกั้น
บนยอดเขาสุ้ยซาน ซิ่วไฉเฒ่าชื่นชอบลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองมากขนาดนั้น แต่ก็ยังได้แค่ทำมุทราอนุมานเท่านั้น
เว้นเสียจากว่ามีวัตถุที่ถูกหล่อหลอมอยู่ติดกายคนที่ต้องการจับตามองก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะจะง่ายกว่าเดิมเยอะมาก
ทว่าคนผู้นั้นกลับมีวัตถุที่ช่วยอำพรางความลับ นั่นก็ยิ่งทำให้ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ไปอีก
นักพรตหนุ่มใช้สองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอยแล้วเอนตัวนอนไปด้านหลัง หลังพิงขั้นบันได “เพื่อไม่ให้ภูเขาไท่ผิงค้นมาเจอกวานดอกบัวศาลบรรพจารย์ที่อยู่บนศีรษะข้านี้ ข้าจึงเป็นฝ่ายทำลายรูปลักษณ์ของมันด้วยตัวเอง เดิมทีประคองตัวไปอีกห้าหกสิบปีก็ยังได้ ทว่าตอนนี้อริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่แค่บนท้องฟ้ามาปีแล้วปีเล่าลงมาเยือนโลกมนุษย์ล่วงหน้า จึงบอกได้ยากแล้ว อริยะที่มีรูปปั้นที่ในศาลบุ๋นท่านนั้น หากคิดจะหาต้องหาตัวข้าเจอแน่นอน ปีศาจใหญ่สามตนในใบถงทวีป เมืองหูเอ๋อร์ สำนักฝูจี วานรขาวสะพายกระบี่แห่งภูเขาไท่ผิงอย่างเจ้า เบื้องหลังยังต้องมีผู้บงการอีกคนหนึ่งแน่ๆ ก่อนที่เขาจะเจอข้า ข้ายังจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างอีกสักเล็กน้อย ในเมื่อแผนการล้มเหลวแล้ว ต่างไปจากตอนแรกที่คาดการณ์ไว้ไม่น้อย แต่จะดีจะชั่วก็ต้องทำให้พวกเขาสะอิดสะเอียนสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นสังหารเฉินผิงอัน แล้วค่อยสังหารพวกหวงถิง ไม่ต้องรีบร้อน คอยดูสถานการณ์ไปก่อนเถอะ”
วานรขาวเงียบงัน
แผนการชั่วร้ายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่มันถนัดเลยจริงๆ
นักพรตหนุ่มยิ้มบาง “ถูกหาตัวเจอ ข้าถึงจะรักษาโอกาสชนะไว้ได้เสี้ยวหนึ่ง แน่นอนว่าจะให้พวกเขาหาพบง่ายเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นลัทธิขงจื๊อต้องสงสัยเป็นแน่ ต้องให้อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นหาอย่างยากลำบากสักหน่อยถึงจะเป็นแผนการที่ไร้ช่องโหว่ ให้พวกเขาค่อยๆ สาวเส้นไหม การตายของคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันหรือการตายของหวงถิงในภายหลังก็คือจุดเริ่มต้นของเส้นใยในการสืบเบาะแส ไม่อย่างนั้นหากเผ่นกลับไปบ้านเกิดก็เท่ากับข้าแพ้หมดกระดาน พอกลับไปถึงที่นั่นต้องลำบากแน่ ไม่แน่ว่าอาจถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในเทือกเขาแถบนั้น ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม จากนั้นก็ต้องทำงานรับใช้เจ้าคนตาบอดผู้นั้น พอคิดถึงเรื่องนี้ข้าก็เริ่มกลุ้มแล้ว”
วานรขาวนึกถึงเรื่องเล่าลือโบร่ำโบราณนั้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็รู้สึกขนลุกพรั่นพรึงอยู่เหมือนกัน
นักพรตหนุ่มจุ๊ปากพูด “เริ่มคิดถึงกลิ่นอายของบ้านเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว อยู่ที่นี่ทำอะไรได้ไม่เต็มที่เลย ทั้งต้องป้องกันอริยะลัทธิขงจื๊อที่คอยตรวจตราอยู่เหนือหัว ยังต้องคอยกริ่งเกรงเจ้าอารามกวานเต๋าที่ลึกลับคนนั้นอีก ยากลำบากซะจริง หากไม่มีฝ่ายหลัง แผนการของข้าในใบถงทวีปคงสบายกว่าเดิมเยอะมาก ไม่จำเป็นต้องจงใจอ้อมผ่านเขา ต่อให้หวงถิงโชคดีแค่ไหน แต่เมื่อมีข้าเป็นบทเรียนให้เห็นก่อนหน้าแล้ว นางจึงถูกบุรพาจารย์ที่นิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดท่านนั้นจับโยนเข้าไปพิศมรรคา หากเป็นไปได้ก็อยากพบเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นั้นจริงๆ …”
คำพูดของเขาพลันหยุดลงกลางคัน
ทางฝ่ายของวัดร้าง เผยเฉียนพลันยกสองมือขึ้นอุดตา กลิ้งตัวไถลเถลือกไปบนพื้น ระหว่างร่องนิ้วของนางคล้ายมีแสงอาทิตย์แสงจันทร์สาดยิงออกมา
ครู่หนึ่งต่อมาบริเวณใกล้เคียงกับแท่นพันธนาการมังกรของตำหนักใต้ดินก็มีนักพรตเฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเผยกาย เขาแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “อ้อ?”
……
เหนือมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีป
ปีศาจใหญ่ที่ร่างจริงสูงพันจั้งตนหนึ่งเผ่นหนีไปอย่างบ้าคลั่งทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว
ด้านหลังมีเงาร่างของคนมากมายทะยานลมไล่ตามมาติดๆ
บนทะเลมีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กำลังหงุดหงิดสุดขีด
เขาไม่ยินดีจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาผายลมสุนัขอะไรนั่น ทว่าส่วนลึกในใจกลับเป็นกังวลว่าสถานการณ์วุ่นวายในใบถงทวีปจะเดือนร้อนไปถึงคนหนุ่มที่เสี่ยวฉีฝากความหวังทั้งหมดไว้ให้
เขาไม่อยากเผยตัวบนโลกจริงๆ จึงมาขี่กระบี่ผ่อนคลายอารมณ์อยู่บนทะเล
เตร่ไปซ้ายทีไปขวาทีอย่างตัดสินใจไม่ได้
แล้วก็พอดีกับที่ว่า ผู้ฝึกกระบี่ชื่อว่าจั่วโย่ว (จั่วโย่วแปลว่าซ้ายขวา ตรงกับความหมายซ้ายขวาของประโยคด้านบนพอดี)
เห็นปีศาจใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งคอยเปลี่ยนทิศทางหลบหนีตนนั้น
เขาที่กำลังอารมณ์เสียสุดๆ จึงส่งกระบี่ออกไปหนึ่งที
หนึ่งกระบี่สังหารปีศาจตายคาที่
—–