กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 359.2 ข้ามสะพานขึ้นภูเขา
ตลอดระยะทางที่เดินทางขึ้นเหนือ เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า สะพายห่อสัมภาระ บนหน้าผากแปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่นางมองร้อยรอบก็ไม่เบื่อ
หลูป๋ายเซี่ยงห้อยหยุดหิมะไว้ตรงเอว ในมือกำเม็ดหมากไว้หลายเม็ด เวลาถูกันจะส่งเสียงดังกริกๆ
สุยโย่วเปียนสะพายชือซินที่ขอบเขตทะยานพรวดพราดไว้บนแผ่นหลัง สายตาเลื่อนลอยอยู่หลายครั้ง เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่สาวที่จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์และกระจ่างแจ้งตอนเดินออกมาจากภาพวาดในครั้งแรกแล้วทำให้ดูมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นหลายส่วน
จูเหลี่ยนชอบเดินพลางอ่านหนังสือไปด้วย เผยเฉียนไม่เข้าใจเลยจริงๆ ตาแก่นี่เดินไม่มองพื้น เหตุใดถึงไม่หกล้มหัวกระแทกพื้นตายนะ?
เว่ยเซี่ยนอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ขณะที่ก้าวเดินจึงใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวของเฉินผิงอัน สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่ได้ว่าอะไร
ยอดเขาเทียนแจว๋คือยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาชิงจิ้งซึ่งตั้งอยู่ทางชายแดนเหนือของต้าเฉวียน ภูเขาชิงจิ้งมีกลุ่มยอดเขาทอดยาวไปเป็นสาย ผืนป่าเขียวครึ้มชอุ่มขจี โดดเด่นเหนือแม่น้ำและภูเขาแห่งอื่นในต้าเฉวียน
ยอดเขาเทียนแจว๋มีบันไดสีชาดสามพันขั้น จากตีนเขาพุ่งตรงสู่ยอดเขา บนยอดเขามีตำหนักพยัคฆ์เขียวอยู่แห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าคนที่ฝึกตนอยู่ที่นี่ล้วนตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่ย่างกรายไปยังชุมชนหรือตลาด สำหรับแขกผู้สูงศักดิ์ที่ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนก็ล้วนถูกปฏิเสธหมด บวกกับที่บนภูเขาชิงจิ้งมีสัตว์ป่าอยู่อาศัย อีกทั้งยังไม่มีถนนหนทางทอดตรงมายังยอดเขาเทียนแจว๋ เป็นเหตุให้การดำรงอยู่ของตำหนักพยัคฆ์เขียวประหนึ่งถูกเมฆหมอกบดบังไว้ตลอดเวลา นายพรานที่ขึ้นเขามาก็ยังไม่กล้าบุกเข้ามาใกล้ยอดเขาเทียนแจว๋โดยพลการ ขนาดคนเฒ่าคนแก่ยังบอกว่าง่ายที่จะถูกผีบังตา เพราะเหล่าเทพเซียนบนภูเขาไม่ยินดีจะสัมผัสแตะต้องกลิ่นอายของความสามัญ
คนทั้งกลุ่มเดินไปบนทางเส้นเล็กบนภูเขาชิงจิ้ง
แม้ว่าอารามฉ่าวมู่จะเป็นพรรคของผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในนามของต้าเฉวียน แต่ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ของการฝึกตนใดก็ตามที่ได้ครอบครองท่าเรือข้ามทวีปก็ล้วนไม่อาจดูแคลนได้
ต่อให้ยอดเขาเทียนแจว๋จะไม่มีทางเทียบกับภูเขาห้อยหัวและนครมังกรเฒ่าได้ แต่อารามฉ่าวมู่ก็ไม่มีทางทัดเทียมได้แน่นอน
เฉินผิงอันจึงเอ่ยเตือนพวกเว่ยเซียนสองสามประโยค
คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดล้วนเป็นบุคคลที่มีความสามารถและฉลาดล้ำ แน่นอนว่าต้องรู้หนักเบา ผลดีและผลร้ายเป็นอย่างดี
ในตำราเซียนเก้าทวีปที่ซื้อมาจากภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นมีเนื้อหาส่วนหนึ่งที่พูดถึงโต๊ะเครื่องแป้งของเซียนหญิงบนยอดเขาเทียนแจว๋โดยเฉพาะ แม้ว่าจะเอ่ยถึงแค่ไม่กี่คำ แต่กลับมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวด ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
เผยเฉียนที่เดินจนเหนื่อยเกือบตายพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “รีบดูเร็วๆ บนฟ้ามีเรือ!”
เฉินผิงอันยื่นมือมากดนิ้วของเผยเฉียนลง พูดเบาๆ ว่า “เรื่องขบวนรับเจ้าสาวของเทพภูเขา เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
เผยเฉียนรีบพยักหน้ารับ ตบอกรับประกัน “คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้มีคราวหน้าก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ยังเด็ก แต่แม้ว่าข้าจะพูดเช่นนี้ เจ้าเองก็ไม่ควรหละหลวมด้วยสาเหตุนี้”
เผยเฉียนยิ้มกว้างสดใส “ปีหน้าก็อายุสิบเอ็ดแล้ว ข้าไม่เด็กแล้ว”
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาสะพายหีบไม้ไผ่ให้ข้าดีไหม?”
เผยเฉียนหน้าม่อย “แต่ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสิบขวบเองนะ”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป
เผยเฉียนเบี่ยงหลบอย่างว่องไว ขยับถอยไปสองสามก้าว หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีมองคนทั้งสอง
ยอดเขาเทียนแจว๋ ยอดเขาเพียงหนึ่งเดียวที่สูงเด่นจนราวกับว่ากลุ่มยอดเขาโดยรอบทำได้เพียงก้มหน้าหลุบตามองต่ำ
ดังนั้นจึงสะดุดตาอย่างมาก เพียงแต่ว่าเมื่อขยับเข้าไปใกล้ยอดเขาก็เริ่มมีเมฆหมอกล้อมเวียนวน ทำให้มองเห็นทัศนียภาพอย่างเป็นรูปธรรมได้ไม่ชัดเจน
หลังจากถือว่าข้ามเข้ามาในอาณาเขตของยอดเขาเทียนแจว๋แล้วก็ผ่านสะพานหินโค้งแห่งหนึ่ง ด้านใต้สะพานก็คือธารน้ำใสกระจ่างไหลริกๆ มีปลาแหวกว่ายอย่างสบายอุรา
เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินขึ้นไปบนสะพานก็หยุดเท้า มองไปทางทิศใต้
หลังจากขึ้นเขาไปแล้ว ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่สองเท้าจะได้เหยียบลงบนพื้นดินของใบถงทวีปอีก
หลังจากที่ปีศาจใหญ่ก่อความวุ่นวาย ถนนเรียกสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ของสำนักฝูจีเส้นนั้นจะหายไปนับแต่นี้หรือไม่?
เด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกที่ทำลายแผนการชั่วร้ายใหญ่เทียมฟ้าจะเป็นเหมือนตนที่เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกคนหนึ่งมาเป็นคนใหม่หรือเปล่า?
ทางฝ่ายของป้อมอินทรีบิน ลู่ไถที่พิศมรรคาอยู่บนหอขึ้นดาดฟ้าจะประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่? ตอนนั้นเหตุใดถึงแอบเอาดาบแคบหยุดหิมะที่มีมูลค่าถึงยี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระของตน? ตอนนั้นเฉินผิงอันเห็นลู่ไถรับพวกเถาเสียหยางสามคนไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อก็ยังไม่ค่อยเข้าใจประโยค ‘ไม่เข้าใกล้ความชั่วร้าย ไม่รู้จักความดีงาม’ ของลู่ไถเท่าไหร่นัก ตอนนี้ถึงเพิ่งจะเข้าใจความหมายที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้บ้าง
วันหน้าจงขุยจะยังเป็นวิญญูชนของสำนักศึกษาต้าฝูอีกหรือไม่?
นักพรตหญิงหวงถิงที่ไล่ฆ่าวานรขาวสะพายกระบี่ตัวนั้นจะได้รับโชควาสนาอีกครั้งหรือเปล่า?
โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ในพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อได้ย้อนกลับไปยังสำนักกุยหยก สะบัดร่างกลับไปเป็นเจ้าของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาอีกครั้ง ใช้ชื่อว่าเจียงซ่างเจินอะไรนั่นใช่ไหม?
ควันธูปของจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอจะโชติช่วงยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?
เมืองเซิ่นจิ่งของต้าเฉวียนได้ต้อนรับหิมะแรกของปีนี้แล้วหรือยัง?
เฉาฉิงหล่างอยู่ในบ้านหลังเล็กคนเดียวจะยังสบายดีไหม? ความรู้ที่อาจารย์ในโรงเรียนสอนใหญ่พอหรือไม่? จะสอนหลักการนอกตำราให้เขาด้วยหรือเปล่า?
บนสะพาน หลูป๋ายเซี่ยงสี่คนเห็นเฉินผิงอันหยุดเดินก็ยืนนิ่งอยู่บนสะพานตามไปด้วย
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล เด็กหญิงผิวดำเกรียมดุจถ่านเงยหน้ามองเฉินผิงอันที่แตกต่างไปจากเวลาปกติ
จูเหลี่ยนเห็นว่ามีเวลาว่างจึงเปิดหนังสือออกอ่าน เผยเฉียนมองเฉินผิงอันแล้วก็เขย่งปลายเท้าคิดจะดูให้ชัดๆ ว่าตาแก่บ้าคลั่งผู้นี้วันๆ อ่านอะไรอยู่กันแน่ถึงได้ทำท่าลับๆ ล่อๆ ไม่ยอมให้ใครอ่านด้วย
จูเหลี่ยนเอาฝ่ามือดันหัวเผยเฉียนแล้วผลักออกเบาๆ
เผยเฉียนถาม “ในตำราเขียนไว้ว่าอะไร?”
จูเหลี่ยนตอบไม่ตรงคำถาม “ไม่ได้เขียนอะไร ก็แค่เรื่องเล่าเก่าๆ แบบเดิม”
เผยเฉียนซักไซ้ไม่เลิก “อะไรที่เรียกว่าเรื่องเล่าเก่าๆ?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “สำหรับเด็กน้อยอายุเท่าเจ้าไม่ถือว่าเป็นเรื่องเก่า เพราะไม่ว่าเห็นอะไรก็ล้วนสดใหม่ เพียงแต่ว่าเรื่องราวในตำรา การพบพราก ความสุขความทุกข์ทั้งหลาย ถึงอย่างไรอ่านผ่านกระดาษก็บางเกินไป พูดคุยกันก็เบาเกินไป อ่านผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป เพียงไม่นานก็ลืมเลือนหมด ทว่าคนเรามีชีวิตอยู่ ยามหิวท้องร้อง ใต้ฝ่าเท้าถูกเสียดสีก็เกิดตุ่มน้ำพอง ถูกคนต่อยหน้าก็เขียวปูดบวม เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน”
เผยเฉียนขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่? พูดให้ดีๆ หน่อยได้ไหม หัดเรียนรู้จากเหล่าเว่ยบ้างสิ เข้าใจไหม?”
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองประเมินเด็กหญิงที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่า จุ๊ปากชื่นชม “ดีอวบอ้วน (ดีเป็นความหมายของความกล้าในภาษาจีน ดีอวบอ้วนจึงแปลว่าใจกล้ามาก) ขึ้นไม่น้อยนี่นา”
เผยเฉียนยิ้มพลางถอยหลังสองก้าว โบกมือพูดว่า “ไม่อ้วนๆ ข้าตัวเล็กแค่นี้ ผอมแห้งจะตายไป”
จูเหลี่ยนปิดตำรา พูดบ่น “ถูกเจ้าก่อกวนเช่นนี้ การต่อสู้แนบประชิดกายอย่างดุเดือดในหนังสือก็หมดรสชาติ ไม่อ่านแล้วๆ”
เผยเฉียนไม่เข้าใจ “คนในหนังสือฆ่ากันรุนแรงมากเลยหรือ? ร้ายกาจเท่าที่พ่อข้ากับพี่หญิงเทพเซียนต่อสู้กันนอกวัดร้างหรือเปล่า?”
สุยโย่วเปียนหน้าดำทะมึน ข่มกลั้นความวู่วามไม่ให้ชักกระบี่ปาดคอตาเฒ่าทุเรศ แล้วตบปากนังเด็กปากเปราะนี่ให้ตาย
จูเหลี่ยนเก็บนิยายรักหวานหอมชวนเลี่ยนเล่มนั้นลงไป เอาสองมือไพล่หลัง ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “เทียบไม่ได้ๆ”
เผยเฉียนที่รู้สึกว่าตัวเองเอ่ยคำประจบได้อย่างยอดเยี่ยมหันไปยิ้มมองพี่หญิงเทพเซียนอย่างสุยโย่วเปียนหวังเอาหน้า
สุยโย่วเปียนกลับหมุนตัวเดินดิ่งลงไปจากสะพานหินโค้ง ตาไม่เห็นใจก็ไม่หงุดหงิด
เผยเฉียนไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าผู้หญิงหน้าเหม็นคนนี้กินยาผิดอีกแล้วหรือไง?
หลูป๋ายเซี่ยงยังคงยิ้มบางๆ อย่างผ่อนคลาย สถานที่แห่งนี้สวยงามชวนให้คนสบายตาสบายใจ หากวันหน้าตนสามารถสร้างกระท่อมฝึกตนได้ด้วยตัวเองก็ควรจะหาสถานที่ที่ฮวงจุ้ยยอดเยี่ยม ทัศนียภาพงดงามดุจภาพวาดเช่นนี้
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจพวกเผยเฉียน
หากไปถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางทิศใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปก็จะได้พบฟ่านเอ้อร์และกุ้ยฮูหยินผู้มีนิสัยนุ่มนวลอ่อนโยน แน่นอนว่ายังรวมไปถึงเจิ้งต้าเฟิงแห่งร้านยาฮุยเฉินด้วย
เดินทางขึ้นเหนืออีกนิดก็จะไปถึงบ้านเกิดของพี่สวี สวีหย่วนเสียจอมยุทธ์เคราดก ไปหาเขาและจางซานเฟิง บอกพวกเขาว่าหลังจากจากลากันครานั้น ตนได้ดื่มสุราดีๆ ไปกี่มากน้อย หากนับหมดด้วยสองมือก็ถือว่าเขาเฉินผิงอันแพ้!
แล้วยังต้องไปทะเลสาบเจี่ยนซู ไปดูว่ากู้ช่านเจ้าเด็กขี้มูกยืดมีชีวิตเป็นเช่นไร ตอนพบหน้ากันกู้ช่านที่กลายเป็นลูกศิษย์ตระกูลเซียนแล้วจะไม่ใช่ขวดน้ำมันน้อย (เปรียบเปรยถึงตัวภาระ) ที่ตามก้นเขาต้อยๆ อีกหรือไม่?
จากนั้นค่อยไปสำนักศึกษาซานหยาที่ต้าสุย ที่นั่นมีหลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
แน่นอนว่ายังมีลูกศิษย์ของเขาอย่างชุยตงซาน
คาดว่าการเดินทางครั้งนี้ก็น่าจะครบกำหนดระยะเวลาห้าปีพอดี ถึงเวลานั้นก็สามารถกลับไปบ้านเกิด เดินเข้าไปในตรอกหนีผิง เดินขึ้นไปบนภูเขาลั่วพั่ว
รังเงินรังทองไม่สู้รังหญ้าของบ้านตัวเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้บ้านของตนไม่ใช่รังหญ้าอีกแล้ว
มีเพียงได้เดินออกไปเห็นโลกภายนอกอย่างแท้จริงถึงจะรู้ว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้เป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เหมาะสำหรับการฝึกตนมากแค่ไหน ภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ที่ถูกราชสำนักต้าหลีกักเก็บโชคชะตาแม่น้ำและภูเขาไว้ที่เดิม สามารถพูดได้ว่าล้วนเป็นดั่งจวนปี้โหยวที่ประทับตราอักษรน้ำลงไป
……
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของยอดเขาเทียนแจว๋เป็นตำหนักใหญ่ที่ซ้อนกันมากถึงหกชั้น แบ่งออกเป็นสถานที่บูชาเทพเซียนลัทธิเต๋าจากสายต่างๆ กลอนคู่บนเสาคานของตำหนักเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดบทกลอน เพราะมีมากเกือบสี่ร้อยตัวอักษร ได้รับการขนานนามอย่างน่าฟังว่า ‘อักษรจ้วนซูเซียนเหรินสู่ประตูทอง’ ฝั่งซ้ายขวาของตำหนักพยัคฆ์เขียวคือผนังหินขนาดใหญ่มหึมาที่มีเมฆหมอกล้อมวน เป็นภาพเจียวหลงโปรยพิรุณที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ ปีกฝั่งซ้ายติดกับหน้าผา ซึ่งก็คือโต๊ะเครื่องแป้งของเซียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มีต้นกำเนิดมาจากเถาวัลย์เขียวเก่าแก่ต้นหนึ่งที่หยั่งรากอยู่ริมหน้าผา พุ่มใบดกหนา ทอดตัวยาวขยายแล้วห้อยย้อยลงไปเบื้องล่าง ยาวร้อยจั้ง ประหนึ่งเทพธิดาบนสวรรค์ท่านหนึ่งที่ใช้ทะเลเมฆเป็นธารน้ำสระผมสีนิลที่ยาวหนึ่งร้อยจั้ง
ลู่ยงเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวคือก่อกำเนิดเฒ่าที่ตั้งใจฝึกตน ไม่สนเรื่องทางโลก ชื่อเสียงไม่โด่งดังนัก อีกทั้งชีวิตนี้ยังให้ความสำคัญกับแค่เรื่องหล่อหลอมโอสถ ในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา เขาถือเป็น ‘ผู้ฝึกตนสายบุ๋น’ ที่สุดโต่งอย่างถึงที่สุด พลังการต่อสู้ของเขาไม่สอดคล้องกับสถานะก่อกำเนิดเลยแม้แต่น้อย ในภาคกลางของใบถงทวีป พวกเซียนดินโอสถทองที่ถนัดการรบราฆ่าฟันต่างก็ไม่เห็นตำหนักพยัคฆ์เขียวอยู่ในสายตา เพราะท่าเรือตระกูลเซียนของยอดเขาเทียนแจว๋มีขนาดไม่เล็ก จึงมักจะมีเซียนดินสัญจรไปมาเป็นประจำ ดังนั้นผู้ฝึกตนของตำหนักพยัคฆ์เขียวแห่งนี้จึงถูกรังแกกันไม่น้อย
เมื่อวานมีแขกสูงศักดิ์ที่สถานะยิ่งใหญ่เทียมฟ้าคนหนึ่งมาเยือน หลังจากบอกชื่อแซ่เรียบร้อยแล้ว ลูกศิษย์ของสำนักก็รีบไปแจ้งข่าว ลู่ยงถึงกับยอมเสี่ยงให้ยาในเตาที่กำลังหลอมหลอมสูญเปล่า เดินออกมาจากเตาหลอม พาผู้ฝึกตนใหญ่ท่านนั้นเดินเที่ยวรอบภูเขาเทียนแจว๋ด้วยตัวเอง ใจของเขาตระหนกหวาดกลัว เหงื่อแตกชุ่มราวตากฝน ก็ไม่แปลกที่ลู่ยงจะมีท่าทางนอบน้อมเอาใจอีกฝ่ายเช่นนี้ เพราะในอดีตตำหนักพยัคฆ์เขียวเคยไปหาเรื่องสำนักของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรตำหนักพยัคฆ์เขียวก็อยู่ใกล้กับสำนักใบถงมากกว่า อีกทั้งสำนักใบถงยังเป็นผู้นำของตระกูลเซียนในใบถงทวีป เวลาที่ลูกศิษย์ลงจากเขามาฝึกตนจะต้องผ่านท่าเรือแห่งนี้ มีครั้งหนึ่งเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท ผู้อาวุโสขอบเขตประตูมังกรที่ตาไม่มีแววคนหนึ่งของตำหนักพยัคฆ์เขียวให้การปกป้องเซียนซือน้อยผู้สืบทอดสายตรงคนหนึ่งของสำนักใบถง เดิมทีนี่ไม่ถือว่าเป็นอะไร เพราะก็เป็นนิสัยปกติของคนที่จะเข้าข้างฝ่ายที่ตนสนิทสนม แต่ไหนเลยจะรู้ว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่ถูกตำหนักพยัคฆ์เขียวหลู่เกียรติผู้นั้นกลับเป็นถึงลูกศิษย์สำนักกุยหยก ประเด็นสำคัญคือคนผู้นั้นยังแซ่เจียงอีกด้วย!
คนที่แซ่เจียงของสำนักกุยหยกล้วนมีเงิน ทำไมถึงมีเงิน? พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาล้วนเป็นของตระกูลเจียง จะไม่มีเงินได้หรือ?
ปีนั้นลูกหลานสกุลเจียงผู้นั้นก็ไม่ได้ใช้ความรุนแรงลงไม้ลงมือ แต่ทุ่มเงินก้อนใหญ่จองรายชื่อของเรือข้ามฟากทั้งหมดในยอดเขาเทียนแจว๋หนึ่งเดือนเต็ม เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนใบถงทวีปหลายร้อยคนต้องถูกกักตัวไว้บนภูเขาชิงจิ้ง คอยแวะเวียนมาถลึงตาใส่ตำหนักพยัคฆ์เขียว หลังจากผ่านหนึ่งเดือนไปแล้วถึงสามารถออกเดินทางได้ แต่ละคนแทบอยากจะทุบตำหนักพยัคฆ์เขียวให้เละเลยด้วยซ้ำ
ส่วนคำตำหนิคนหนุ่มแซ่เจียงผู้นั้น กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยสักครึ่งคำ ในฐานะเซียนดินก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ ลู่ยงไปหลบอยู่ในห้องหลอมยา หลังจากหลอมยาเตาใหญ่ออกมาได้แล้วก็ให้พวกลูกศิษย์ของตำหนักพยัคฆ์เขียวเอาไปมอบให้เป็นของขวัญไถ่โทษ นั่นถึงทำให้ป้ายอักษรทองที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากไม่ถูกคนทุบทำลายทิ้ง
ลูกหลานสกุลเจียงคนหนึ่งก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว
ถ้าอย่างนั้นเจ้าประมุขสกุลเจียงมาเยือนตำหนักพยัคฆ์เขียวด้วยตัวเอง ลู่ยงจะยังทำอะไรได้อีก?
ยอดบนสุดของบันไดที่ถูกเรียกขานว่า ‘บันไดสีขาด’ ของยอดเขาเทียนแจว๋ มีเจียงซ่างเจินและลู่ยงยืนอยู่แค่สองคน
ลู่ยงลองถามหยั่งเชิง “ไม่ต้องให้ข้าผู้เฒ่าบอกให้ลูกศิษย์ตำหนักพยัคฆ์เขียวลงภูเขาไปช่วยตอนรับแขกสูงศักดิ์เหล่านั้นของท่านผู้อาวุโสจริงๆ หรือ?”
เจียงซ่างเจินที่เดินทางมาไกลเป็นหมื่นลี้จากมหาสมุทรตะวันตกของใบถงทวีปมาถึงชายแดนเหนือของต้าเฉวียนเงียบกริบ ท่าทางลึกล้ำยากจะคาดเดาความคิด
ลู่ยงรู้สึกเพียงความลำบากอึดอัดใจ
หรือว่าจะมีเทพเซียนสู้รบกันจนภูเขาถล่มแผ่นดินแตกแยก? ตำหนักพยัคฆ์เขียวเล็กๆ จะทนรับการกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง การโบกชายแขนเสื้อหนึ่งทีของเทพเซียนห้าขอบเขตบนอย่างเจียงซ่างเจินไหวได้อย่างไร?
ลู่ยงได้แต่ภาวนาขอให้เหล่าบรรพบุรุษปกป้องคุ้มครอง
ลู่ยงถามอย่างระมัดระวัง “หรือจะให้ข้าผู้เฒ่าลงไปต้อนรับด้วยตัวเอง?”
ลู่ยงรู้สึกว่าตนเป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง ยอมก้มหัวงอเข่าถึงระดับนี้ จะดีจะชั่วเจ้าประมุขสกุลเจียงก็น่าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปบ้างกระมัง
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าคู่ควรหรือ?”
ลู่ยงเข่าอ่อนยวบ
ตำหนักพยัคฆ์เขียวของข้าตกอยู่ในอันตราย!
เจียงซ่างเจินพลันหัวเราะเสียงดัง ตบไหล่ของผู้เฒ่าก่อกำเนิด “ฮ่าๆ ล้อเล่นเท่านั้น ไม่ต้องกลัวๆ ขอแค่วันนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น เรื่องเละเทะที่ตำหนักพยัคฆ์เขียวของพวกเจ้าก่อไว้ก่อนหน้านี้ก็ให้หายกันไป จากนั้นสกุลเจียงของข้าจะซื้อยาที่แพงที่สุดมาให้เจ้าหนึ่งร้อยเตา”
ลู่ยงกลืนน้ำลาย ได้แต่หัวเราะเออออตามไปด้วย
เจียงซ่างเจินจุ๊ปากพูด “เอ่ยสามคำนี้แล้วทำให้คนรู้สึกสบายอารมณ์จริงๆ ด้วย”
……
บนสะพาน
จูเหลี่ยนสามคนก็เดินข้ามสะพานหินโค้งมายืนข้างกายสุยโย่วเปียนแล้ว
ดังนั้นบนสะพานจึงเหลือแค่เฉินผิงอันกับเผยเฉียน
หลังจากเฉินผิงอันคืนสติกลับมา เขาก็ฟุบตัวบนราวสะพาน ยื่นศีรษะออกไปคล้ายกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
เผยเฉียนกระโดดดึ๋งๆ ถามอย่างใคร่รู้ “หาอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยากเห็นว่าใต้สะพานมีกระบี่ห้อยอยู่หรือเปล่า”
เผยเฉียนยืดเอวตรง จากนั้นก็เริ่มร่ายใช้วิชาการประจบประแจงของนางอีกครั้ง “อยู่บนสะพานจะมองเห็นได้อย่างไร ข้าจะลงไปใต้สะพานช่วยดูให้เจ้าเอง!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางยืดตัวขึ้นตรง ขยี้ศีรษะเล็กๆ ของนาง “ไม่ต้องหรอก”
เผยเฉียนเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองดวงตาคู่นั้นของนาง
เผยเฉียนจึงให้ความร่วมมือด้วยการเบิกตากว้าง พยายามทำตาให้กลมโต “ดูให้หน่อย ในตาข้ามีเงินจริงๆ ไหม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง จากนั้นก็ตบศีรษะนางเบาๆ ชี้ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของสะพาน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไป พวกเราข้ามสะพานแล้วเริ่มเดินขึ้นภูเขากัน”
เผยเฉียนร้องว่าได้เลยแล้วกระดกดันห่อสัมภาระให้เข้าที่ โบกไม้เท้าเดินป่า ก้าวอาดๆ เดินลงสะพานหินโค้งไป
เฉินผิงอันหลับตาลง นึกถึงตอนเป็นเด็กหนุ่มที่ตนนั่งอยู่บนสะพานของบ้านเกิด หลังจากจมสู่ภวังค์ความฝันก็มองเห็นสะพานอีกแห่งหนึ่ง
สีทอง ยาวมาก
ทะเลเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มองไปทางซ้าย ดวงตะวันโผล่พ้นมหาสมุทรใหญ่ หันกลับมามองทางขวา ดวงจันทราลับหายไปจากขอบฟ้าทิศตะวันตก
เฉินผิงอันหลับตาอยู่เช่นนี้ แล้วเดินก้าวยาวๆ จากด้านหนึ่งของสะพานหินโค้งที่ไม่สะดุดตาใต้ฝ่าเท้าไปยังอีกฝั่งหนึ่งของสะพาน
ชุดคลุมสีขาว ลมภูเขาพัดโชยมา ชายแขนเสื้อสองข้างโบกไสว
เผยเฉียนเพิ่งจะกระโดดลงจากบันไดทางฝั่งนั้น หันกลับมามอง ดวงตาก็เป็นประกาย พูดเหมือนคนแก่ว่า “พ่อข้าสมกับเป็นเทพเซียนจริงๆ”
—–