กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 362.3 ที่แท้ก็ไม่ค่อยสงบ
ฟ่านเอ้อร์พูดต่อ “หลังจากต่อยสามหมัดให้ฉู่หยางพ่ายแพ้ไป ฝ่ายหลังก็กลับไปรักษาตัวที่แท่นมังกร ไม่ได้คิดจะต่อสู้โรมรันกับอาจารย์เจิ้งต่อ ทว่าภายใต้สายตาของคนตระกูลฝูมากมายที่จับจ้องมองมา เสียหน้าใหญ่ขนาดนี้ มีหรือจะยอมเลิกราง่ายๆ ดังนั้นตามหลังฝูตงไห่และฉู่หยางผู้ถวายงานอันดับหนึ่งแล้วจึงมีคนที่สามเดินออกมา เขาก็คือฝูหยางบรรพจารย์ก่อกำเนิดที่ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนตกทอดชิ้นหนึ่งจากบรรพบุรุษตระกูลฝู เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นที่หน้าประตูจวนตระกูลฝู อีกทั้งอาวุธกึ่งเซียนก็เผยตัวบนโลก ผู้ฝึกลมปราณตระกูลฝูจึงร่วมมือกันอำพรางสนามรบนี้เอาไว้ รู้แค่ว่าตอนที่อาจารย์เจิ้งเดินออกมา บนตัวเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด เขาเดินอยู่บนถนนใหญ่เพียงลำพัง ยกมือขึ้นชูนิ้วก้อยนิ้วหนึ่งให้กับตระกูลฝูที่อยู่ด้านหลัง”
ฟ่านเอ้อร์พูดเสียงเบา “และวันนั้นเอง ตระกูลซุนทรยศคำสัญญาละทิ้งคุณธรรม วางอาวุธสวามิภักดิ์ต่อศัตรู ประกาศพึ่งพาตระกูลฝู ตระกูลฟางที่ไม่เป็นโล้เป็นพายร่วมมือกับตระกูลโหว เลือกให้ตระกูลติงเป็นผู้นำ และแกนหลักของตระกูลติงก็เห็นได้ชัดว่าคือลูกหลานสายตรงของสำนักใบถงผู้นั้น และในความเป็นจริงแล้ว เพียงไม่นานก็มีเรือลำหนึ่งจากสำนักใบถงมาจอดเทียบท่า คนที่มามีไม่มาก ลงจากเรือมาแค่สองคน ทว่าหลังจากนั้นมา พันธมิตรสามตระกูลที่มีตระกูลติงเป็นผู้นำกลับมีความมั่นใจมากกว่าตอนที่ยังมีตระกูลซุนอยู่ด้วยเสียอีก”
สำนักใบถง
คือตระกูลอันดับหนึ่งบนภูเขาของใบถงทวีป
สำนักใบถงและสำนักกุยหยกของเจียงซ่างเจินหนึ่งตั้งอยู่เหนือหนึ่งตั้งอยู่ใต้สองปลายฝั่งของใบถงทวีป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสำนักใบถงเหนือกว่าอยู่หนึ่งระดับ
ตามคำบอกของเจียงซ่างเจิน ตอนนั้นคนทั้งสามไล่ล่าปีศาจใหญ่จากสำนักฝูจีไป หากไม่เป็นเพราะกระบี่นั้นของจั่วโยว ย่อมต้องเป็นหนึ่งในบุรพาจารย์ของสำนักใบถงที่อาศัยสมบัติพิทักษ์ภูเขามาปลิดชีพของปีศาจใหญ่ตนนี้
สำหรับเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในนครมังกรเฒ่า ในใจเฉินผิงอันพอจะมีเส้นสายเค้าโครงอยู่คร่าวๆ แล้ว
‘การลงมืออย่างไร้เหตุผล’ ซึ่งใครก็คาดคิดไม่ถึงของเจิ้งต้าเฟิงครั้งนั้น ดั่งการกระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนทั้งร่าง เป็นการเพิ่มความเร็วให้กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ใหญ่ในนครมังกรเฒ่า
เป็นเหตุให้แซ่ใหญ่ต่างๆ หากพูดให้น่าฟังสักหน่อย ก็เรียกว่าโผล่พ้นผิวน้ำ แต่พูดให้ไม่น่าฟังก็เรียกว่าเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาหมด
เจิ้งต้าเฟิง เป็นศัตรูกับคนทั้งเมือง
เพียงเพื่อเด็กสาวคนหนึ่งที่ทำงานเบ็ดเตล็ดในร้านยา
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอึกสุดท้าย
ฟ่านเอ้อร์ยิ้มขื่น “ตระกูลฝูย่อมไม่มีทางยอมเลิกราเพียงเท่านี้ ฝูฉีเจ้าประมุขตระกูลออกหน้าด้วยตัวเอง ไปพูดคุยตกลงกับอาจารย์เจิ้งเรื่องนัดหมายครึ่งปี ซึ่งก็คือต้นฤดูหนาวของปีนี้ ทั้งสองฝ่ายจะประมือกันที่แท่นมังกร เพียงแต่ว่าก่อนที่ศึกใหญ่จะเกิดขึ้น ลูกหลานสำนักใบถงที่เก็บตัวอยู่ในตระกูลฟางได้ไปเยือนร้านยาฮุยเฉินด้วยตัวเองมารอบหนึ่ง เรื่องราวภายในเป็นอย่างไร คนนอกไม่อาจรู้ได้ ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของเขาจะเป็นต้องการหาพวกหรือต้องการข่มขู่ สรุปก็คืออาจารย์เจิ้งเปิดศึกต่อสู้กับคนผู้นั้นไปหนึ่งรอบบนถนนนอกร้านยาฮุยเฉินนั่นเอง บางคนบอกว่าอาจารย์เจิ้งหนึ่งคนต่อสู้กับศัตรูสามคน บางคนบอกว่าเป็นการเข่นฆ่ากันตัวต่อตัว สรุปก็คือได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นฝูฉีจึงป่าวประกาศแก่ร้านยาฮุยเฉินว่าจะยืดระยะเวลาของศึกใหญ่ออกไปถึงปลายปี ศึกที่แท่นมังกรต้องเป็นศึกยุติธรรม จะสู้จนกระทั่งรู้เป็นรู้ตาย! นี่ก็เหลืออีกแค่ไม่กี่วันแล้ว…”
ฟ่านเอ้อร์นั่งกอดเขา พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
เลิกผ้าม่านมองด้านนอก ใกล้จะเข้าประตูใหญ่เมืองฝั่งนอกของนครมังกรเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยก็พูดกับฟ่านเอ้อร์ว่า “ข้ารู้สถานการณ์คร่าวๆ แล้ว ปล่อยพวกเราลงเถอะ เวลานี้ข้าไปที่ตระกูลฟ่านของพวกเจ้าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
ฟ่านเอ้อร์อับอายจนพานเป็นความโกรธ เตรียมจะปฏิเสธ เฉินผิงอันกลับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าโง่เลยน่า กินดินอิ่มแทนข้าว เรื่องโง่ๆ แบบนี้ทำแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว ไม่มีใครเขาเป็นเพื่อนอย่างเจ้าหรอก สุดท้ายกลายเป็นเจ้าอกตัญญู ข้าไร้คุณธรรม ไม่น่าเบื่อหรือไร”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาตบอกตัวเองเบาๆ “ฟ่านเอ้อร์ยังเป็นลูกศิษย์ของเจิ้งต้าเฟิงหรือไม่ อยู่ที่ตรงนี้ ฟ่านเอ้อร์ยังใช่เพื่อนของเฉินผิงอันหรือไม่ ก็อยู่ที่ตรงนี้”
ไม่รอให้ฟ่านเอ้อร์พูดอะไร เฉินผิงอันก็ค้อมตัวเลิกผ้าม่านขึ้นแล้ว “หยุดรถ”
ฟ่านเอ้อร์กำลังจะลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันกลับค้อมเอวเดินออกไปแล้ว ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลง เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องมาส่ง ทำราวกับว่าจะส่งข้าเดินทางไปไหนอย่างนั้นแหละ ข้าจะไปนั่งที่ร้านยาฮุยเฉินสักพัก ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ใต้หล้าวุ่นวายขนาดนี้ ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนไม่สงบสุข ข้าเฉินผิงอันคอยจัดการดูแลทุกอย่างไม่ได้หรอก ก็แค่อยากพบหน้าเจิ้งต้าเฟิงสักครั้ง ใครใช้ให้เจ้าพร่ำพูดถึงแต่อาจารย์เจิ้งที่ ‘ต่อยคนล้มคว่ำด้วยหมัดเดียว’ เล่า”
ฟ่านเอ้อร์ถลึงตาใส่ “อย่าลืมเครื่องปั้นชิ้นนั้นล่ะ แล้วยังมีสัญญาที่ว่าจะไปดื่มเหล้าด้วยกันอย่างจริงจังอีก…”
เฉินผิงอันกระโดดลงจากรถม้าไปแล้ว
ฟ่านเอ้อร์นอนเหม่ออยู่ในห้องโดยสารรถม้า
ดื่มเหล้า ได้พบกับสหายที่ดีที่สุด ทว่าอารมณ์ของฟ่านเอ้อร์กลับยังไม่เบิกบาน
เฉินผิงอันลงจากรถม้า เผยเฉียนและอีกสี่คนจึงได้แต่ตามลงมาด้วย
หลังจากมองส่งรถม้าของตระกูลฟ่านเข้าเมืองไปก่อนแล้ว เผยเฉียนก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เกิดอะไรขึ้น เจ้าหมอนั่นไม่เต็มใจจ่ายเงิน ไม่ยินดีให้พวกเราไปกินฟรีอยู่ฟรีกับเขาอย่างนั้นหรือ? แต่เขาดูไม่เหมือนคนแบบนั้นเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ พวกเราไปหาคนอีกคนหนึ่งก่อน”
จ่ายเงินค่าเข้าประตูเมืองชั้นนอกแล้ว หากคิดจะเข้าไปยังเมืองชั้นในยังต้องจ่ายเงินอีก
เงินก้อนนี้ ถึงอย่างไรร้านยาฮุยเฉินก็น่าจะช่วยออกให้กระมัง?
เฉินผิงอันรู้ทางไปร้านยาฮุยเฉิน อีกทั้งเขาก็เป็นคนความจำดี เพียงแต่นครมังกรเฒ่าใหญ่มากเกินไป รอจนเฉินผิงอันเดินไปถึงตรอกและหัวเลี้ยวถนนของร้านยาฮุยเฉินก็เป็นเวลาเกือบย่ำค่ำแล้ว
พาคนห้าคนด้านหลังเข้าไปในตรอกเล็กเส้นนั้นก็มองเห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กหน้าประตูร้านยา กำลังสูบยาสูบเลียนแบบอาจารย์ของเขา
เจิ้งต้าเฟิงสำลัก ไอโขลกๆ ก่อนจะจุ๊ปากพูดด้วยรอยยิ้ม “แขกที่หาได้ยากๆ”
เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์ที่ยังคงเอ้อระเหยลอยชายอยู่เหมือนเดิมแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงชำเลืองตามองไปยังร้านยาที่ไม่มีเสียงหัวเราะพูดคุยของสตรีอีกต่อไป แล้วนั่งแปะลงบนธรณีประตู ถามว่า “ร้านยารับสมัครคนหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “ไม่มีเงินจ้างคนแล้ว”
เฉินผิงอันพูดพึมพำกับตัวเอง “ให้ข้ายืมเงินสี่สิบเหรียญฝนธัญพืช ข้าก็จะเป็นลูกจ้างร้านยาให้เจ้า ให้ข้ายืม ไม่ได้ยกให้เลย”
เจิ้งต้าเฟิงมองเฉินผิงอันด้วยสีหน้าเหมือนมองคนโง่ “ทำไม ขอบเขตเพิ่มขึ้นแล้ว เปลี่ยนรูปโฉมใหม่ก็สามารถใช้เงินฝนธัญพืชเป็นเงินเหรียญทองแดงแล้ว? ไปๆๆ ไสหัวไป ข้าผู้อาวุโสไม่มีอารมณ์จะพูดเล่นกับเจ้า”
เจิ้งตาเฟิงพลันเงยหน้าขึ้นมองสุยโย่วเปียนที่ด้านหลังสะพายกระบี่ชือซิน พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แต่หากแม่นางผู้นี้ยินดีอยู่ต่อที่ร้านของพวกเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะกินจะดื่มหรือจะอยู่นานแค่ไหนก็ตามใจ ส่วนเงินเดือนของทุกเดือน ขอติดไว้ก่อน!”
สุยโย่วเปียนยืนอยู่กลางตรอก สำหรับคำพูดแทะโลมของชายฉกรรจ์สกปรกคนนี้ นางไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย แม้แต่ริ้วคลื่นอารมณ์ใดๆ ก็ล้วนไม่ปรากฏบนใบหน้า
เฉินผิงอันกวักมือเรียกเผยเฉียนแล้วชี้ไปข้างในร้านยา “เราจะพักอยู่ที่นี่ เอาสัมภาระไปเก็บ หาห้องเอาเองเลย”
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือร้องอุทานด้วยความยินดี หยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นที่นางชอบที่สุดออกมาจากชายแขนเสื้อ จากนั้นก็แปะลงบนหน้าผากของตัวเองแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าไปในร้านยา ก่อนหน้านี้นางเดินอยู่ในนครมังกรเฒ่าจนเหนื่อยแทบตาย อยากจะหยิบยันต์แผ่นนี้ออกมา ‘เพิ่มกำลังภายใน’ ให้ตัวเองนานแล้ว คราวนี้ในที่สุดก็ได้สมใจปรารถนาเสียที
เว่ยเซี่ยนสี่คนทยอยกันเดินข้ามธรณีประตูไปไม่พูดไม่จา
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “นายท่านใหญ่เฉินของข้า เจ้าไม่รู้สภาพการณ์ของนครมังกรเฒ่าตอนนี้จริงๆ หรือรู้สึกว่าตัวเองพอจะมีความสามารถ เลยมาแสร้งทำตัวเป็นวีรบุรุษที่ร้านโทรมๆ นี้ของข้า?”
เฉินผิงอันหัวเราะ “เจ้าลองเดาดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนได้รู้จักเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก จ้องมองอีกฝ่ายอยู่นาน ก่อนจะหันหน้ากลับไปพ่นควันโขมงต่ออีกครั้ง เขาพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัดว่า “ก็ได้ อยากอยู่ก็อยู่ ท่านผู้อาวุโสลงเดิมพันข้างเจ้าไว้ไม่น้อย คงไม่ปล่อยให้เจ้ารีบตายเร็วขนาดนี้ อย่างมากก็ให้พี่จ้าวจับตามองเจ้าเอาไว้ ถึงอย่างไรทางฝ่ายแท่นมังกรนั่น เหล่าจ้าวก็สอดมือเข้าแทรกไม่ได้”
เทพหยินตนหนึ่งปรากฏตัวในมุมมืดของตรอก พูดกับเฉินผิงอันว่า “อย่ามามีส่วนร่วมด้วย ข้ากับเจิ้งต้าเฟิงอาจจะตายอยู่ที่แท่นมังกรแห่งนั้น”
เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบในทันที เขามองใบหน้าด้านข้างของเจิ้งต้าเฟิง ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เจิ้งตาเฟิงสูบยาสูบ จิ๊ปากพูด “อย่าคิดว่าข้าจะเป็นคนดีสักแค่ไหน ก็แค่เกี่ยวพันกับมหามรรคา ไม่อาจไม่ลงมือก็เท่านั้น ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรข้าก็ฝ่าคอขวดขอบเขตเก้าไปไม่ได้เสียที ผู้พิทักษ์มรรคาผายลมสุนัขเช่นเจ้า อันที่จริงมีแค่คุณความชอบครึ่งหลังเท่านั้น ครึ่งก่อนหน้านั้นคือมาจากหนังสือเล่มหนึ่งของแม่นางคนหนึ่ง ในนั้นมีบท ‘ความจริงใจ’ อยู่ ข้าแอบขโมยมาจากนาง นางจับได้ ข้าก็เลยได้แต่บอกว่าขอยืมก่อนชั่วคราว ภายหลังข้าไม่ทันระวังบีบมันจนแหลกสลาย รอจนในที่สุดก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ข้าจึงอยากจะซื้อเล่มใหม่คืนให้นาง ตอนนั้นเสียดายเงินแค่สี่สิบกว่าอีแปะ ถ่วงเวลาอยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ไม่มีโอกาสได้คืนให้นางอีก”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงอึมครึม ถูกปกคลุมอยู่ภายในควันขโมง “ตอนนั้นก็แค่ติดเงินเจ้าเฉินผิงอันห้าอีแปะ ตอนนี้กลับติดเงินแม่นางน้อยมากขนาดนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะนั่งอยู่เฉยๆ ได้หรือไง? ถึงอย่างไรก็ต้องทำอะไรบางอย่าง อีกอย่างหากไม่เป็นเพราะข้า ผ่านไปอีกสองสามปีนางก็สามารถหาคนมาแต่งงานด้วยได้แล้ว แม้ว่าจะยากจนสักหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีชีวิต ตายดีไม่สู้มีชีวิตอยู่อย่างขี้เกียจ ข้าเจิ้งต้าเฟิงทำอย่างนี้มาทั้งชีวิต แล้วนับประสาอะไรกับที่นางเองก็ไม่ถือว่า ‘ตายดี’ กว่าเหล่าจ้าวจะช่วยรวบรวมจิตวิญญาณนางมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นังเด็กโง่นั่นไม่ได้เอ่ยอะไร แค่ขอร้องให้ข้าช่วยดูแลพ่อแม่และน้องชายของนางให้ดี ร่ำไห้พูดว่าไม่โทษข้าด้วยนะ”
เทพหยินแซ่จ้าวพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “นางบอกว่านางชอบเจ้า บอกว่าชีวิตนี้ร่างกายนางมีมลทินแล้วจึงไม่กล้าคิด ชาติหน้าไม่ว่าจะมีโอกาสได้เจอเจ้าเจิ้งต้าเฟิงอีกหรือไม่ นางก็จะยังชอบเจ้า เพียงแต่ต้องใจกล้าสักหน่อย”
เจิ้งต้าเฟิงพลันเงยหน้าขึ้น
พายุลมกรดขุ่นคลั่กแผ่อบอวลไปทั่วทั้งตรอก
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงหนัก “ไสหัวไป!”
เทพหยินไม่ถือสา เพียงแค่ค่อยๆ หายตัวไปอย่างเชื่องช้า
“รับเอาไว้”
เฉินผิงอันโยนขวดกระเบื้องใบหนึ่งให้เจิ้งต้าเฟิง
เพียงแต่ว่าเจิ้งต้าเฟิงปล่อยให้ขวดกระเบื้องลอยผ่านเบื้องหน้าไปตกลงบนพื้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นไปเก็บยานั่งลืมตนขวดนั้นมา ยืนอยู่หน้าเจิ้งต้าเฟิง ยื่นส่งไปให้เขา “นี่คือยาที่เซียนดินก่อกำเนิดของใบถงทวีปใช้บำรุงจิตวิญญาณ มีอยู่หกเม็ด เจ้าเจิ้งต้าเฟิงกินได้กี่เม็ดก็กินไป หากตายอยู่บนแท่นมังกร ข้าจะกลับไปเอาเงินจากหยางเหล่าโถว แต่หากไม่ตาย ก็ถือว่าเจ้าติดค้างข้า”
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่มันเกี่ยวบ้าอะไรกับเจ้าด้วย?”
เฉินผิงอันยืนค้อมเอวยื่นขวดกระเบื้องใบนั้นส่งให้อีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา “เจ้าคิดว่าเด็กบ้านนอกแห่งตรอกหนีผิงอย่างข้าฝึกวิชาหมัด ฝึกวิชากระบี่อย่างยากลำบาก เผชิญกับความเหนื่อยยากแสนเข็ญมาไม่น้อย เมื่อก่อนเพื่อต่อชีวิต ตอนนี้เจ้าก็พูดเองว่าข้าเปลี่ยนไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าต้องการอะไรล่ะ?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเฉยเมย “ข้าจะไปรู้กับมารดาเจ้าได้อย่างไรว่าเจ้าคิดอะไรอยู่? คราวก่อนตอนอยู่ร้านยาข้าเจิ้งต้าเฟิงก็เคยพูดกับเจ้าแล้วว่า ข้าไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกับเจ้าเฉินผิงอัน”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า แต่ข้าก็มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อ”
เฉินผิงอันยังคงยืนค้างอยู่ในท่านั้น ถามว่า “อยากจะฟังแบบสุภาพ หรืออยากจะฟังแบบบ้านนอกหน่อย?”
เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจเขา
เฉินผิงอันพึมพำกับตัวเองว่า “คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก ใช้อะไรดับทุกข์? มีเพียงเหล้าและเงิน ความไม่สงบเล็กๆ น้อยๆ บนโลก จ่ายเงินซื้อเหล้าสามารถดับทุกข์ได้ แต่ความอยุติธรรมใหญ่หลวงในโลกมนุษย์ ข้ายังมีหนึ่งกระบี่กับหนึ่งหมัด”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “นี่คือสิ่งที่เรียนรู้มาจากในตำรา แต่หากพูดตามคำพูดของเด็กบ้านนอกอย่างข้าเฉินผิงอัน ก็คือตอนนี้ข้าผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เล่นพวกมันให้ตายไปเลย! หาไม่แล้วข้าผู้อาวุโสจะฝึกกระบี่ฝึกหมัดมาแค่เพื่อเล่นสนุกอย่างเดียวงั้นหรือ?!”
—–