กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 363.3 หวังไว้บนไหล่ของคนอื่น
ม่านรัตติกาลแผ่ปกคลุม เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งตัวยาวออกมา สุยโย่วเปียนและพวกเว่ยเซี่ยนสามคนแยกไปกินยาในสองห้องที่อยู่ด้านข้างเสร็จเรียบร้อยก็เดินเข้ามาในลานบ้าน
เจิ้งต้าเฟิงยืนเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางไว้ตรงหน้าท้อง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน ในระยะสิบจั้ง ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวต้องการแค่หมัดเดียวเท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของพวกเจ้าสี่คน แต่กลับสามารถปฏิบัติต่อพวกเจ้าทั้งสี่คนดุจผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดเป็นอย่างน้อยที่สุด พวกเจ้าแค่ดาหน้าเข้ามา พวกเราจะได้ประหยัดเวลา”
ไม่มีใครเดินออกไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างจนใจ “ทำไม ไม่เห็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าอย่างข้าเป็นอาหารในจาน? รังเกียจที่จะต้องร่วมมือกันสี่คนมารุมข้าคนเดียว กลัวว่าจะเป็นการลดสถานะตัวเอง?”
เผยเฉียนย้ายม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างเท้าของเฉินผิงอัน
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง บอกเป็นนัยแก่เจิ้งต้าเฟิงว่าออกหมัดได้ตามสบาย
“ในเมื่อพวกเจ้าเกรงใจขนาดนี้ งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงบิดปลายเท้า แล้วร่างของเขาก็หายไป
เสียงตู้มทุ้มหนักดังอื้ออึง
สี่หมัดถูกปล่อยออกไปแทบจะเวลาเดียวกัน
สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน หลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ตรงขั้นบนสุดของบันไดใต้ชายคาสองฝากฝั่งต่างถอยกรูดไปด้านหลังตั้งแต่หนึ่งก้าวถึงสามก้าวไม่เท่ากัน
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ปูรากฐานกันมาได้ไม่เลว เฉินผิงอัน เจ้าไปหาสาวใช้และผู้ติดตามพวกนี้มาจากไหนกันแน่? ข้าเองก็อยากได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่หน้าตาเหมือนพี่สาวท่านนี้…”
สุยโย่วเปียนออกกระบี่ก่อนผู้ใด
จูเหลี่ยนหลังโก่งงอก็กระโดดผลุงออกไป
เว่ยเซี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงเบี่ยงเท้าเดินไปด้านข้างสองฝั่งแทบจะเวลาเดียวกัน คอยร่วมมือกับสุยโย่วเปียนและจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่ในลานตลอดเวลา
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร จิตใจก็เชื่อมโยงถึงกัน
นี่คือขอบเขตที่บุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสี่คนสมควรมี
เฉินผิงอันถามเบาๆ “หากสนใจก็ลองตั้งใจดูพวกเขาได้”
เผยเฉียนชูมือขึ้น ในฝ่ามือเต็มไปด้วยเมล็ดแตง เฉินผิงอันส่ายหน้า นางถึงได้ดึงมือกลับมา แทะเมล็ดแตงพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่สนใจหรอก ห่างชั้นกับ…ท่านอาจารย์ตั้งเยอะ”
เรียกพ่อลับหลัง แต่พออยู่ต่อหน้าเฉินผิงอันกลับเรียกอาจารย์ เผยเฉียนรู้สึกว่าตัวเองเรียนหนังสือจนสติปัญญาเปิดกว้างแล้วจริงๆ เป็นอาจารย์หนึ่งวันก็เป็นบิดาไปทั้งชีวิตนี่นะ
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว หากแข่งกันแค่เรื่องของขอบเขตวรยุทธ์ว่าสูงหรือต่ำ อันที่จริงข้ายังสู้พวกเขาสี่คนไม่ได้ ตอนนี้ข้าเพิ่งจะเป็นขอบเขตห้า แต่เมื่อผ่านศึกเป็นตายที่ยากลำบากติดต่อกันมาหลายครั้ง รากฐานขอบเขตห้าของข้าจึงปูมาได้…ดีมาก ดังนั้นจึงสามารถฝ่าคอขวดไปสู่ขอบเขตหกได้ทุกเมื่อ”
ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องบางเรื่องได้ดีมาก
เกรงว่าคงไม่ด้อยกว่าเวลาที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยบอกว่าขอบเขตวิถีวรยุทธ์บางขอบเขตของเฉินผิงอันปูมาได้ ‘ไม่เลว’ อย่างแน่นอน
เผยเฉียนแหงนหน้าขึ้น ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ ถึงอย่างไรท่านก็ร้ายกาจที่สุด”
สี่คนที่อยู่ในลานบ้านเผชิญกับความยากลำบากภายใต้เงื้อมมือของเจิ้งต้าเฟิงเสียเต็มกลืน
นี่ยังเป็นเพราะเจิ้งต้าเฟิงจงใจกดข่มขอบเขตของตัวเองให้อยู่ที่ขอบเขตแปดเดินทางไกลด้วย
ไม่อย่างนั้นก็ยิ่งไม่มีทางต่อสู้กันได้
ป้อนหมัดจะกลายเป็นรังแกคนอื่นไปแทน
ตบะวิถีวรยุทธ์ไม่ได้ต่างจากขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ ต่างแค่หนึ่งขอบเขตก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าแซ่ชุยที่สอนวิชาหมัดให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่บนยอดสูงสุดของขอบเขตสิบเพียงคนเดียวในแจกันสมบัติทวีป ตอนนั้นที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่ก็สามารถใช้หมัดของขอบเขตห้าต่อยให้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหกที่คิดจะมากราบอาจารย์ขอเรียนวิชาตายไปอย่างง่ายดาย
ทว่าข้อยกเว้นเช่นนี้ แม้จะไม่ใช่ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว แต่ก็แทบไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
เฉินผิงอันนึกถึงเฉาสือ เด็กหนุ่มชุดขาวที่เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปณิธานหมัดของทั้งร่างเขาสามารถสยบปณิธานกระบี่บนหัวกำแพงที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกายตัวเองได้
เฉินผิงอันอยากรู้อย่างมากว่า ตอนนี้คนทั้งสองเป็นขอบเขตห้าเหมือนกัน ตนจะยังคงแพ้เฉาสือติดต่อกันสามครั้งติดอย่างไม่มีข้อสงสัยเหมือนเดิมอีกหรือไม่
เฉินผิงอันโยนความคิดวุ่นวายในหัวออกไป สายตาจับจ้องการต่อสู้ในลานบ้าน แต่กลับพูดกับเผยเฉียนว่า “ครั้งนั้นก่อนจะเข้าไปในเขตของภูเขาชิงจิ้ง ตอนที่พวกเราผ่านเมืองแห่งนั้น อันที่จริงข้าลืมพูดกับเจ้าว่าขอโทษ”
เผยเฉียนที่กำลังแทะเมล็ดแตงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างไม่เข้าใจ “หมายถึงเรื่องแผ่นแป้งย่างหรือ? ทำไมต้องขอโทษข้าด้วยล่ะ?”
ตอนนั้นเผยเฉียนลากเหล่าเว่ยที่เป็นสหายครึ่งตัวของนางไปซื้อของกิน เฉินผิงอันกับพวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนกำลังเดินเล่นอยู่ในร้านขายหนังสือ รอจนเฉินผิงอันไปเจอเผยเฉียนก็พบว่าเด็กหญิงกำลังกัดกินแผ่นแป้งย่างคำใหญ่ มีสตรีแต่งงานแล้วแต่งตัวหรูหราคนหนึ่งกำลังชี้ไม้ชี้มือใส่พลางด่าเด็กหญิงผิวดำเกรียมเสียงดัง ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วยังมีเด็กชายที่น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้าอีกคนหนึ่ง สตรีแต่งงานแล้วด่าไม่หยาบคายนัก คงเป็นเพราะมาจากตระกูลผู้มีความรู้ คำพูดที่ใช้ด่าจึงประมาณว่าเผยเฉียนเป็นเด็กบ้านป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เหตุใดถึงได้เอาแต่ใจไร้เหตุผลถึงเพียงนี้ พ่อแม่ไม่สั่งไม่สอนบ้างหรือไง ฯลฯ
ความคิดแรกของเฉินผิงอันคือเผยเฉียนก่อเรื่องอีกแล้ว จึงเดินหน้าเคร่งไปหานาง
เขากลัวอย่างยิ่งว่าเผยเฉียนที่อยู่ข้างกายตัวเองจะไม่เพียงแต่ไม่สามารถเรียนรู้หลักการเหตุผลในตำรา กลับกลายเป็นว่าอยู่กับตัวเองและจูเหลี่ยนสี่คนนานวันเข้าจะติดกลิ่นอายโอหังไป
ดังนั้นพอเดินไปถึงข้างกายเผยเฉียนแล้ว ประโยคแรกที่เขาพูดจึงค่อนข้างรุนแรง แม้ว่าจะไม่ได้ตำหนิโดยตรง แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าเข้าข้างสตรีแต่งงานแล้วและเด็กชายคนนั้น
เผยเฉียนเองก็กลัวเฉินผิงอันอย่างมาก ไม่พูดไม่จาก็ยื่นแผ่นแป้งขนาดใหญ่ที่กินเหลือครึ่งหนึ่งไปให้สตรีแต่งงานแล้ว บอกว่านางไม่ต้องการแล้ว ยกให้เด็กคนนั้นแล้วกัน
สตรีแต่งงานแล้วโมโหอย่างหนัก ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิม รู้สึกว่าถูกหมิ่นเกียรติ เห็นเฉินผิงอันเป็นผู้ปกครองของเผยเฉียนจึงสั่งสอนเขาไปพร้อมกันเลย คงเป็นเพราะเห็นว่าการแต่งตัวของเฉินผิงอันคล้ายลูกหลานคนมีเงิน สตรีแต่งงานแล้วจึงสำรวมกว่าเดิมเยอะมาก คำด่าก็คลุมเครือไม่โจ่งแจ้ง
รอจนเว่ยเซี่ยนอธิบายให้ฟัง เฉินผิงอันถึงได้เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เรื่องของเรื่องคือเผยเฉียนมาซื้อแผ่นแป้งย่างแผ่นสุดท้ายของที่ร้าน แล้วมีเด็กคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี เขาอยากกินมากเลยขอให้เผยเฉียนยกแผ่นแป้งให้เขา
เผยเฉียนหรือจะยอม จึงเริ่มโคลงศีรษะแทะแป้งย่าง จงใจพูดเสียงดังว่าโอ้โห อร่อยจังเลย อร่อยจริงๆ เด็กชายโมโหจนร้องไห้ สตรีแต่งงานแล้วเลยเริ่มด่า เพียงแต่เผยเฉียนไม่แยแสแม้แต่น้อย ยังคงกินแผ่นแป้งย่างอย่างมีความสุข สตรีแต่งงานแล้วยิ่งด่าเผยเฉียนก็ยิ่งอารมณ์ดี ส่วนเว่ยเซี่ยนก็ยืนมองอยู่ด้านข้าง ขอแค่สตรีแต่งงานแล้วไม่ลงไม้ลงมือ เขาก็ไม่สอดมือเข้ายุ่ง
หลังจากเฉินผิงอันรู้ความจริงแล้วก็จูงมือเผยเฉียนมา บอกให้สตรีแต่งงานแล้วขอโทษเผยเฉียน
สตรีแต่งงานแล้วโมโหเจียนบ้า ตะโกนโหวกเหวกว่าจะไม่ปล่อยให้เฉินผิงอันออกนอกเมือง
เฉินผิงอันจึงบอกนางว่าก็ลองทำดู
หลังจากสตรีแต่งงานแล้วทิ้งคำพูดข่มขู่เอาไว้ก็บอกเฉินผิงอันว่ารอก่อนเถอะ จากนั้นก็พาเด็กชายจากไปด้วยความขุ่นขึ้ง
ผลกลับกลายเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก รออยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันไม่เห็นว่าจะมีใครมาหาเรื่องจึงพาคนทั้งกลุ่มออกมาจากเมืองแห่งนั้น
เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน “ควรจะพูดขอโทษเจ้า”
เผยเฉียนแปลกใจยิ่งนัก แม้แต่เมล็ดแตงก็หยุดแทะ ขยับจากม้านั่งเล็กมานั่งบนม้านั่งตัวยาวของเฉินผิงอัน กล่าวอย่างกระวนกระวายว่า “เหล่าเว่ยบอกว่าใต้หล้านี้ข้าวหัวขาด (หมายถึงอาหารมื้อสุดท้ายของนักโทษประหาร) อร่อยที่สุด ท่านพ่อ ท่านคงไม่คิดจะทิ้งข้าไว้ไม่สนใจใยดีอีกแล้วใช่ไหม? ก็เลยเอาคำพูดพวกนี้มาหลอกข้าก่อน?”
ด้วยความลืมตัวจึงเรียกพ่อออกมาโดยตรง เผยเฉียนยิ่งลนลานกว่าเดิม โยนเมล็ดแตงทิ้ง ยื่นมือมากำชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันไว้แน่น
เฉินผิงอันทำท่าจะเขกมะเหงกใส่นาง เผยเฉียนจึงหัวเราะทั้งน้ำตาทันที
ดีล่ะ ไม่มีอะไรแล้ว
เผยเฉียนปล่อยมือ ฝ่ามือสองข้างยันไว้บนม้านั่งตัวยาว แกว่งเท้าไปมา “เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว อาจารย์ถึงต้องมาขอโทษข้า ทำให้ข้าตกใจเกือบตายจริงๆ นะเนี่ย หากพูดตามภาษาชาวบ้านในบ้านเกิดเหล่าเว่ยก็คือ เรื่องใหญ่เท่าก้น แค่ฝนเม็ดบางๆ จะเอามาสระผมยังรังเกียจว่าไม่พอเลย”
เฉินผิงอันเองก็ใช้ฝ่ามือสองข้างยันม้านั่งตัวยาว พูดด้วยรอยยิ้ม “ยังจำคราวก่อนที่พวกเราขึ้นไปบนยอดเขาเทียนแจว๋ได้ไหม? รู้สึกว่าข้าทำตัวแปลกมากเลยใช่หรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “จำได้ชัดเจนเลยล่ะ ตอนนั้นท่านทำเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง ยืนตัวตรงแน่ว แถมยังประคองปิ่นหยกบนศีรษะ นั่นคือการสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สวมกวานให้ตรง (การแต่งตัวอย่างเรียบร้อยคือมารยาทอย่างหนึ่งที่ควรปฏิบัติต่อผู้อื่น) อย่างที่กล่าวถึงในตำราไม่ใช่หรือ คนพวกนั้นของตำหนักพยัคฆ์เขียว ท่านไม่รู้จักสักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ร้ายกาจอะไรด้วย ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ? ข้าคิดอยู่นานมาก แต่ก็ยังไม่เข้าใจ ตอนหลังก็เลยไม่คิดมันแล้ว”
สายตาของเฉินผิงอันเลื่อนลอย เงยหน้ามองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ว่า “ในอดีต ครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเทพเซียนต่างถิ่นตรงประตูใหญ่ของเมืองเล็กบ้านเกิด พวกเขามีทั้งเด็กมีทั้งผู้ใหญ่ มีทั้งคนแก่มีทั้งเด็ก ตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง มีประตูใหญ่รั้วไม้กางกั้น ข้าสายตาดีมากมาตั้งแต่เด็ก ความจำก็ไม่เลวเหมือนกัน ดังนั้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าจึงยังจดจำได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นสายตาที่คนเหล่านั้นมองข้า ท่าทางของพวกเขา…”
เฉินผิงอันหยุดไปนาน สุดท้ายก็พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ดังนั้นหลังจากที่ข้าฝึกวิชาหมัดก็คิดมาโดยตลอดว่า วันหน้าหากตัวข้าเองกลายเป็นคนบนภูเขา ต้องห้ามเปลี่ยนไปเป็นเหมือนคนพวกนั้นเด็ดขาด ห้ามใช้สายตาแบบนั้นมองคนอื่น เมื่ออยู่บนที่สูงแล้วก็ห้ามใช้สายตามองมดตัวเล็กมามองโลกใบนี้ของพวกเรา”
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันพูดหลักการนอกตำรากับเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ตรงหน้าอย่างจริงจัง ถือเป็นหลักการของเขาเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันย่อตัวลงนั่งยอง เก็บเมล็ดแตงเหล่านั้นมาวางไว้กลางฝ่ามือของตัวเอง พอกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งก็หยิบมาเม็ดหนึ่ง ยื่นส่งให้เผยเฉียนพลางพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ท่านั่ง คำพูดและการกระทำ หลักการและความเชื่อของพวกเราทุกคน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ก็เหมือนกำลังบอกให้โลกนี้รู้ว่าเจ้าอ่านหนังสือมามากน้อยแค่ไหน รู้หลักการและเหตุผลมากน้อยเท่าไหร่ ได้รับความยากลำบากมาแค่ไหน จดจำคำสอนไร้เสียงของพ่อแม่ได้มากเท่าไหร่ ดังนั้นข้าไม่ต้องการให้เวลาคนอื่นมองข้าแล้วรู้สึกว่า ที่แท้แล้วพ่อแม่ของเฉินผิงอัน และยังมีคนเหล่านั้นที่เฉินผิงอันเคารพนับถือจากใจจริง สุดท้ายก็ได้แค่อบรมสั่งสอนคนแบบนี้ออกมา”
เฉินผิงอันหันมายิ้มให้เผยเฉียน “ตอนนี้ยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย ข้าคิดว่าเจ้าอายุเท่านี้…”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
หัวเราะแล้วเฉินผิงอันก็เอาเมล็ดแตงทั้งหมดให้เผยเฉียน พูดพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ของอาจารย์ฉีพูดถูกแล้ว อายุน้อยๆ ก็ควรทำตัวสดใสมีชีวิตชีวา ข้าทำไม่ได้ เพราะผ่านวัยนั้นมาแล้ว ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเจ้าจะทำได้ เสี่ยวเป่าผิงที่สำนักศึกษาซานหยา เฉาฉิงหล่างที่พื้นที่มงคลดอกบัวล้วนสามารถทำได้ คนหนึ่งบนไหล่มีกิ่งหลิวกิ่งหยาง คนหนึ่งบนไหล่มีดอกไม้มีนกโบยบิน คนหนึ่งบนไหล่มีลมเย็นมีแสงจันทร์กระจ่าง คงจะดียิ่งนัก แค่ข้าคิดแบบนี้ก็มีความสุขมากแล้ว”
เผยเฉียนร้องว้าวหนึ่งที ก่อนจะหัวเราะหึหึ “ท่านพ่อ คนดีเหมือนท่าน หากวันหน้าข้าออกจากบ้านไปคนเดียวจะไปหาจากที่ไหนกันนะ”
จากนั้นเด็กหญิงก็เริ่มกลัดกลุ้ม “ก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่อยู่บนเรือแล้วได้แต่จ้องมองไป ไม่สามารถขึ้นไปเล่นบนท่าเรือเหล่านั้นได้ ข้าก็แอบมีความคิดหนึ่ง คิดว่าวันใดข้าโตแล้ว ฝึกวิชากระบี่ล้ำโลกเป็นแล้วก็จะบอกกับท่านพ่อว่า ‘ท่านพ่อ ขอม้าให้ข้าตัวหนึ่งเถอะ ข้าจะออกไปท่องยุทธภพแล้ว!’ แต่ภายหลังข้าก็คิดอีกว่า ม้าน่าจะแพงไปสักหน่อย ไม่แน่เสมอไปว่าท่านพ่อจะเต็มใจหามาให้ข้า ถ้าอย่างนั้นลาก็ได้ ล่อก็ยังดี! ยุทธภพข้างนอกกำลังรอข้าอยู่นะ! เสียงกู่ก้องร้องตะโกนกำลังรอข้าอยู่!”
แล้วเด็กหญิงก็ทอดถอนใจ “ตอนนี้ข้ากลับไปไม่อยากออกไปเที่ยวเล่นในยุทธภพแล้ว น่าสนใจตรงไหนกัน มีแต่คนเลวทั้งนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันเองก็แกว่งเท้าทั้งสองข้าง พูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าก็พบเจอข้าในยุทธภพไม่ใช่หรือ? ถูกไหม?”
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปพร้อมกัน เผยเฉียนคิดอยู่นานก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า “แต่ข้าไม่อยากเจอคนอื่นแล้วนี่นา”
—–