กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 365.3 สถานการณ์ที่มิอาจคลี่คลาย
วันนี้ฝูฉีไม่ได้ยืมอาวุธกึ่งเซียนที่บรรพาจารย์ก่อกำเนิดเป็นผู้ครอบครองมาใช้ แล้วก็ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้หยิบเอาอาวุธกึ่งเซียนที่พิทักษ์ศาลบรรพชนตระกูลฝูออกมา
ตอนนี้ฝูฉีไม่สามารถควบคุมทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะได้แล้ว
ดังนั้นวันนี้ฝูฉีจึงพกมาแค่อาวุธกึ่งเซียนที่เพิ่งซื้อมาจากทวีปอื่น กระบี่บินไร้เจ้าของที่เซียนกระบี่ท่านหนึ่งทิ้งไว้หลังตายไป
ฟ่านจวิ้นเม่ารู้สึกถึงความผิดปกติ ผิดปกติอย่างมาก
นางตบทะเลเมฆหนึ่งที นอกจากทะเลเมฆจะลอยอ้อมผ่านแท่นมังกรแห่งนั้นแล้วยังพลันลดตัวลงต่ำ แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่า เวลาเดียวกันนั้นฟ่านจวิ้นเม่าก็กัดปลายนิ้ว ใช้เลือดวาดยันต์ลงบนมือ คือยันต์โบราณแผ่นหนึ่งที่หายสาบสูญไปนานแล้ว วิชาเทพมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือที่พวกผู้ฝึกลมปราณใช้กันตอนนี้ก็เป็นแค่ของเลียนแบบที่ปรับปรุงใหม่จากยันต์แผ่นนี้เท่านั้น หลังจากวาดยันต์เสร็จฟ่านจวิ้นเม่าที่หน้าซีดขาวเล็กน้อยก็อาศัยช่วงเวลาที่ทะเลเมฆแผ่อบอวลไปทั่วทั้งนครมังกรเฒ่าตบฝ่ามือสองข้างเข้าหากัน จากนั้นก็พลันกางแขนออก ระหว่างสองแขนที่กางอ้าคือภาพต่างๆ ที่พุ่งวูบผ่านไป ฟ่านจวิ้นเม่ามองภาพที่อยู่เบื้องหน้าประหนึ่งมองโคมม้าวิ่ง
ศาลบรรพชนตระกูลฝู บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ร้านยาฮุยเฉิน แต่ละสถานที่พากันพุ่งผ่านไป
เมื่อภาพสุดท้ายหยุดลงบนร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงของเมืองชั้นนอก ภาพภูเขาและแม่น้ำย่อส่วนขนาดเล็กจิ๋วนี้ก็ระเบิดแตกดังปัง
ตรงฝ่ามือที่ฟ่านจวิ้นเม่าวาดยันต์ เนื้อหนังปริแตก นางฝืนกลืนแก่นเลือดจากหัวใจที่ตีตื้นขึ้นมาบนลำคอกลับลงไป เพียงแค่ชั่วครู่เดียวนี้ก็สูญเสียตบะหลายสิบปีของเซียนดินก่อกำเนิดทั่วไป สีหน้าของฟ่านจวิ้นเม่ามืดทะมึน ไม่ยี่หระการเผาผลาญตบะเล็กน้อยนี้เลย เจ้าตัวดีนั่นคือมังกรข้ามแม่น้ำที่อย่างน้อยก็มีขอบเขตเป็นขั้นสิบสองเซียนเหริน!
หรือว่าเป็นตาเฒ่าวิปริตจากสำนักใบถงผู้นั้น?
นับตั้งแต่ที่สติปัญญาเปิดออก ฟ่านจวิ้นเม่าที่เดิมทีจิตใจกว้างใหญ่ยิ่งกว่าฟ้าดิน ในที่สุดก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงตายอยู่บนแท่นมังกร นางรู้สึกว่าเป็นเพราะฝีมือเขาสู้คนอื่นไม่ได้ ตายแล้วก็จบเรื่องกันไป จะโทษใครไม่ได้
แต่หากเขามีชีวิตเดินลงไปจากแท่นมังกร แต่อยู่ดีๆ กลับต้องตายเฉียบพลันด้วยน้ำมือของ ‘คนนอก’ คนหนึ่ง ในใจนางไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง!
นครมังกรเฒ่าแห่งนี้ นับแต่โบราณกาลมาก็คือถิ่นของนาง!
แต่เพื่อเจิ้งต้าเฟิงที่ไม่ชอบขี้หน้าคนหนึ่ง มีค่าพอให้นางสละ ‘ฟ่านจวิ้นเม่า’ ในชาตินี้ทิ้งหรือ?
นางทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย อันที่จริงไม่มีผลได้ มีแต่ผลเสียอย่างเดียว ดังนั้นนางจึงหลับตาลง ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องคอยดูเรื่องน่าหัวเราะเยาะของเขาเจิ้งต้าเฟิงแล้ว เพราะมันไม่ตลกเลยสักนิดเดียว
ตลอดแท่นมังกรเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด
นี่ชักนำให้ลูกคลื่นของทะเลบูรพา ทะเลทักษิณของแจกันสมบัติทวีปโถมตัวตีกระทบฝั่ง แต่เมื่อเหล่าเซียนดินต่างพากันร่ายวิชาอภินิหาร พวกมันก็ถูกสยบแล้วถอยกลับไป บนผิวน้ำทะเลที่ห่างจากท่าเรือเกาะโดดเดี่ยวแห่งนั้นไปไม่ไกล มีนักพรตน้อยคนหนึ่งยืนเหยียบอยู่บนน้ำเต้าสีทองลูกใหญ่ยักษ์ที่ลอยเท้งเต้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ร่มอู๋ถงช่วยบดบังเจตนารมณ์สวรรค์ ดังนั้นจึงทั้งสามารถคุ้มครองชีวิต แล้วก็ทั้งอำพรางไม่ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าเฉินผิงอันอนุมานและมาใช้ความช่วยเหลือได้ด้วย
โชคดีและหายนะไร้ประตู มีเพียงคนที่ไปเรียกหามันมาเอง
ครั้งนี้เจ้าเฉินผิงอันอนาถแน่แล้ว ดันไปมีเรื่องกับคนคนเดียวในสำนักใบถงที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย ไม่อย่างนั้นสำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิง หรือแม้แต่สำนักใบถงที่นอกจากคนผู้นี้แล้ว ย่อมไม่เห็นเจ้าเฉินผิงอันเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องกำจัดทิ้ง การช่วงชิงบนขอบเขตเดียวกัน เจ้าเฉินผิงอันพอจะมีความสามารถอยู่บ้างจึงไม่ต้องหวาดกลัวใครก็จริง หรือแม้แต่โอสถทองก่อกำเนิดที่เป็นเทพเซียนพสุธาในสายตาของคนบนโลก เจ้าก็ยังมีความสามารถให้ต่อสู้ด้วยได้ ขยับขึ้นไปอีกนิด ขอบเขตหยกดิบห้าขอบเขตบนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจรังแกผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อายุน้อยอย่างเจ้า ขยับสูงขึ้นอีกหน่อย ขอบเขตเซียนเหรินก็อาจจะมองเส้นสนกลในบางอย่างของเจ้าออก จึงอาจจะไม่เต็มใจแตกหักกับเจ้า
น่าเสียดายก็แต่
คราวนี้คนที่ลงมาจากภูเขาของสำนักใบถง
เป็นคนที่ไม่แยแสเรื่องพวกนี้มากที่สุด
และที่ไม่บังเอิญเลยก็คือ ผู้เฒ่าวิปริตที่ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้กลับเป็นบุคคลอันดับที่สองบนภูเขาของใบถงทวีป
ถึงอย่างไรใบถงทวีปก็ยังมีอารามกวานเต๋าของเขาอยู่นี่นะ
ดังนั้นไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะคิดคำนวณมาดีแค่ไหน ยินดีสละทรัพย์สินส่วนตัวจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างไม่เสียดาย วางแผนอย่างยากลำบากเพื่อปกป้องเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ต่างจากใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องมาตายอยู่ที่นี่
แบบนี้ก็ไม่เลว ช่วยเก็บศพให้เจ้าเอากลับไปที่อารามก็แล้วกัน จงยอมเป็นสารบำรุงหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคลดอกบัวแต่โดยดีเถอะ
เรือนกายของนักพรตน้อยที่เหยียบอยู่บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีทองใบใหญ่ยักษ์โยกไปโยกมา กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ละครดีได้เวลาแสดงแล้ว แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งนี้ต้องเจอกับเรื่องลำบากแล้ว”
ไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้น
แท่นมังกรก็สงบลงอย่างสิ้นเชิง
และผลลัพธ์สุดท้ายก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคน
คนที่เดินลงมาจากแท่นมังกรกลับเป็นเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้น ประเด็นสำคัญคือบนร่างของเขายังสะอาดเอี่ยม ไม่มีแววว่าบาดเจ็บหนักใกล้ตายเลยแม้แต่น้อย
จิตใจของฝูตงไห่และฝูหนันหัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ให้ตายก็ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่เห็น
หรือว่าฝูฉีผู้เป็นบิดาตายไปแล้ว?
แต่นี่ก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด!
คนทั้งสองหันมาสบตากันอย่างจิตใจตรงกัน
ฝูหนันหัวสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ บนใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำพูดที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจแล้ว ฝูหนันหัวก็หมุนฝ่ามือเล็กน้อย ทำท่าเล็กๆ ที่ไม่ง่ายต่อการสังเกตเห็น
ทางฝั่งของตระกูลติง มีผู้รับใช้เฒ่าคนหนึ่งก้าวเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว กระซิบเบาๆ ข้างหูของเจ้าประมุขตระกูลติง เพียงไม่นานฝ่ายหลังก็หันไปกระซิบกระซาบกับคนของตระกูลฟางและโหว สีหน้าของสองคนแตกต่างกันไป ทว่าสุดท้ายก็ยังคงพยักหน้ารับ
การกระทำเล็กๆ นี้ของฝูหนันหัวประหนึ่งหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงบนทะเลสาบ ชักนำให้เกิดคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก
หลังจากเดินลงมาจากแท่นมังกรแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่พูดไม่จา เฉินผิงอันเข้าไปนั่งในรถม้าคันเดียวกับเจิ้งต้าเฟิง
ชั่วพริบตานั้นสีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงเหมือนกระดาษสีทอง พูดเสียงแหบว่า “ฝูฉีต่อสู้ได้ครึ่งทางก็ยอมแพ้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะรักษาหน้าตาไว้แม้แต่น้อย ในเมื่อฝูฉีไม่เต็มใจจะต่อสู้กับข้าจนถึงที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้ข้าได้ฝ่าคอขวดขอบเขตเก้าเลื่อนไปสู่ขอบเขตสิบ แล้วก็ไม่ได้บอกให้ทุกคนในตระกูลมาสู้กับข้า เพียงแค่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับข้าเท่านั้น ดังนั้นการเดินทางกลับไปร้านยาในเมืองคราวนี้จะต้องอันตรายมากแน่ๆ เฉินผิงอัน เจ้าลองคิดให้ดีเป็นครั้งสุดท้าย! จะลงรถครึ่งทาง หรือจะตามข้ากลับไปร้านยา?!”
เฉินผิงอันตอบเสียงเรียบ “ฝูฉีไม่ต้องการหน้าตา แต่ข้าต้องการ”
เจิ้งต้าเฟิงเอียงศีรษะ ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดที่ไหลออกจากรูหู พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดแบบนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? หากเจ้าต้องการหน้าตา เพียงแค่เงินไม่กี่อีแปะ เช้าตรู่ของทุกวันเจ้าจะต้องไปนั่งอยู่ที่ตอไม้นั่น พอได้จดหมายไปแล้วก็คอยวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในเมืองเล็กทำไม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เงินนั่นข้าหามาได้ด้วยความสุจริต”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มขื่น “ทำไม ต้องให้ข้าขอร้องเจ้า เจ้าถึงจะยอมจากไปอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าขอร้องข้าก็ไม่มีประโยชน์”
เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงไปด้านหลัง “เจ้าแม่งต้องการอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “คราวก่อนที่ฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ในนครมังกรเฒ่า ค่อนข้างจะแปลกประหลาด เพียงแต่ว่าเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ครั้งนี้ข้าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัว พอกลับออกมา แล้วมาถึงนครมังกรเฒ่า ไม่รู้ว่าเหตุใดลางสังหรณ์ถึงบอกกับข้าว่า ในบ่อของหัวใจข้ามีเจียวร้ายตัวหนึ่งกำลังชูคอขึ้นมา หากข้าเลือกจะจากไป มันอาจจะหลุดพ้นจากพันธนาการ หลุดออกจากน้ำมาได้อย่างสิ้นเชิง นี่อาจเป็นหายนะที่ข้าต้องเผชิญเมื่อละเมิดวิถีสวรรค์คิดสร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมาใหม่ คาดว่าในขณะที่ข้าข้ามผ่านสะพานหินโค้งแห่งนั้นแล้วรู้สึกว่าได้รับการยอมรับจากฟ้าดินแห่งนี้แล้ว แท้จริงกลับเป็นความเข้าใจผิด นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร อีกทั้งยังถูกใต้หล้าไพศาลหมายหัวไว้แล้ว วันนี้หนีได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องหนีไปอีกตลอดชีวิต”
เรื่องนี้ เจิ้งต้าเฟิงเชื่อ
แต่ลึกๆ ในใจเขาก็รู้ดีว่า อันที่จริงนี่ก็ยังเป็น ‘ข้ออ้าง’ ของเฉินผิงอัน แม้ว่าทุกคำที่พูดออกมาจะเป็นความจริงก็ตาม
เจิ้งต้าเฟิงโวยวายเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่ามาตายอยู่ที่นี่เพราะข้าผู้อาวุโส เปลี่ยนไปเป็นคนอื่นไม่ได้รึไง อย่าให้ข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องรู้สึกขาดทุนได้ไหม เจ้าไปหาหลี่เอ้อร์ที่เจ้าชื่นชอบ หรือไม่ก็หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนรักของเจ้าโน่น…”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ดวงตาของเจิ้งต้าเฟิง “เลือดไหลออกมาจากตาแล้ว เช็ดให้ดี เดิมทีหน้าตาก็ไม่ได้หล่อเหลา ผู้หญิงคนไหนชอบเจ้า สายตาคงไม่ดีจริงๆ หากว่านางยังมีชีวิตอยู่ เห็นสภาพเจ้าตอนนี้คาดว่าคงชอบไม่ลงแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงสบถด่ายิ้มๆ ยื่นเท้ามาเตะเฉินผิงอันเบาๆ หนึ่งที แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมาปัดเท้าของเขาออก
รถม้าสามคันขับเคลื่อนไปยังนครมังกรเฒ่า
สารถีสามคนล้วนเป็นนักรบเดนตายของตระกูลฟ่าน ทุกคนมีสีหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน
หลังจากขับออกมาได้ประมาณสิบกว่าลี้ บนเส้นทางก็มีผู้ถวายงานสองคนของตระกูลฟางปรากฏตัว ซึ่งเหลือเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดและผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น
เจิ้งต้าเฟิงคิดจะลงจากรถ แต่กลับถูกเฉินผิงอันห้ามเอาไว้
สุยโย่วเปียนเดินลงจากรถม้ามาก่อน หลูป๋ายเซี่ยงตามติดมาด้านหลัง เพียงแต่ว่าปล่อยให้สุยโย่วเปียนรับมือกับสองคนนั้นเพียงลำพังก่อน ส่วนหลูป๋ายเซี่ยงเดินตามรถม้าทั้งสองคันไปช้าๆ สามารถรับช่วงต่อจากสุยโย่วเปียนได้ทุกเมื่อ
รถม้าคันหนึ่งจอดอยู่ที่เดิม
หลังจากนั้นก็มีผู้ถวายงานของตระกูลโหวมาปรากฏตัว
จูเหลี่ยนกระโดดลงจากรถม้า
แล้วรถม้าอีกคันหนึ่งของตระกูลฟ่านก็หยุดลง
เว่ยเซี่ยนเดินเท้าติดตามรถม้าคันสุดท้ายที่เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงนั่งโดยสารมา
หลังจากนั้นก็เป็นข้ารับใช้ตระกูลติง
เว่ยเซี่ยนสวมชุดคลุมมังกร ด้านนอกสวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน เขาหยุดเดิน แต่รถม้ายังขับเคลื่อนหน้าต่อไป
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้ากล่าว “เป็นความคิดของตระกูลฝู ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่พวกเราคาดการณ์กันไว้ล่วงหน้าเลย ศึกบนแท่นมังกรดีกว่าที่คิดไว้ แต่พอเดินลงมาจากแท่นมังกร กลับแย่กว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่คาดไว้เสียอีก ตระกูลฝูถึงขั้นไม่เห็นแก่หน้าตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ขยับเข้าไปใกล้ประตูใหญ่ทางฝั่งตะวันออกนอกนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านชำเลืองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง “นี่หมายความว่าผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่อยู่เบื้องหลังซึ่งข้าพูดถึงตอนนั้นได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว อีกทั้งไม่น่าจะใช่ขอบเขตหยกดิบ ต่อให้เป็นขอบเขตสิบเอ็ดก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ถึงทำให้สกุลเจียงอวิ๋นหลินยอมอดทนข่มกลั้น แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่างแท้จริงก็คือผู้ฝึกตนใหญ่ที่รอพวกเราสองคนอยู่นี้มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงแต่งมายังนครมังกรเฒ่าตั้งแต่แรกแล้ว สังหารเจ้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นเพียงแค่การถือโอกาสทำไปพร้อมกัน เป็นแค่รางวัลเล็กๆ จากการค้าครั้งใหญ่เท่านั้น ส่วนตระกูลฟ่าน ไม่แน่ว่าอาจถูกผลักไสออกไปแล้ว ต้องเผชิญกับการคิดบัญชีรอบหนึ่ง ไม่ว่าฟ่านจวิ้นเม่าจะลงมือหรือไม่ ตระกูลฟ่านก็ต้องเจอกับหายนะดับตระกูลแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเยาะหยันตัวเอง “หากพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าข้าเจิ้งต้าเฟิงต้องตายอย่างไร้ที่ฝังแล้วน่ะสิ แค่ต้องดูว่าผู้ฝึกตนใหญ่ที่เฝ้าตอรอกระต่ายผู้นั้นจะให้โอกาสข้าได้เลื่อนสู่ขอบเขตสิบหรือไม่”
รถม้าหยุดลงอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านขึ้น เงยหน้ามองไปยังจุดสูงของกำแพงเมือง พูดเบาๆ ว่า “ค่อนข้างยากแล้วล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงกับเฉินผิงอันยืนเคียงไหล่กันอยู่บนถนนสายใหญ่ บนหัวกำแพงเมืองมีคนยืนอยู่สามคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าที่หน้าตาธรรมดาไร้ซึ่งความโดดเด่นใดๆ ตู้เหยี่ยนผู้สืบทอดสายตรงของสำนักใบถงและติงซื่อภรรยาของเขา
ตู้เหยี่ยนผู้มีหน้าตาหล่อเหลาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ท่านบรรพจารย์ ท่านผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการรังแกคนอื่นเกินไปหน่อยหรือไม่?”
ผู้เฒ่ายิ้มบาง “ไม่อาศัยตบะและขอบเขตรังแกคนอื่น ถ้าอย่างนั้นจะฝึกตนอย่างยากลำบากมาเพื่ออะไร? อีกอย่างขอบเขตของข้าตอนนี้หล่นลงมาจากฟ้าเองได้งั้นหรือ? ก็ไม่ใช่เพราะผ่านการเข่นฆ่าครั้งแล้วครั้งเล่า หวุดหวิดเจียนตายกว่าจะสั่งสมมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวหรือไง?”
ตู้เหยี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “บรรพจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”
ตู้เหยี่ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “คนผู้นั้นคือคนที่ชื่อเฉินผิงอันหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ข้าเคยได้ยินชื่อคนหนุ่มผู้นี้มาก่อน ก่อนหน้านี้เจ้าเศษสวะคนนั้นขอยืมอาวุธสำคัญของสำนักไป แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับถูกผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งชิงลงมือสังหารปีศาจใหญ่สำนักฝูจีตนนั้นก่อน ปล่อยให้เจียงซ่างเจินได้ผลประโยชน์ใหญ่เทียมฟ้าไปโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ข้ารู้จักชื่อของผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ร้ายกาจนักล่ะ ชื่อจั่วโย่ว เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนเคยทำลายจิตแห่งกระบี่ของตัวอ่อนกระบี่ที่ดีในทวีปใหญ่ๆ ไปหลายคน ยกตัวอย่างเช่นเฉาจวิ้นแห่งนาตยทวีปผู้นั้น ยุคสมัยที่รุ่งเรืองเขาโดดเด่นจนไม่มีใครเทียบได้ ภายหลังซิ่วไฉเฒ่าขังตัวเองอยู่ในสถานศึกษากงเต๋อหลิน จั่วโย่วก็หายตัวไป เวทกระบี่ของเขาสูงส่งอย่างมาก ตอนนั้นที่จั่วโย่วอยู่บนทะเลถามถึงชื่อเฉินผิงอัน ดังนั้นเฉินผิงอันต้องมีความเกี่ยวข้องกับสายของเหวินเซิ่งอย่างแน่นอน”
ตู้เหยี่ยนฟังแล้วก็รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
สามารถทำให้บรรพบุรุษผู้กอบกู้ความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงท่านนี้ชมเชยว่า ‘ร้ายกาจ’ และ ‘สูงส่งอย่างมาก’ ได้ นั่นต้องเป็นเซียนกระบี่ที่โดดเด่นถึงเพียงใด? ส่วนคำว่า ‘เหวินเซิ่ง’ ‘ซิ่วไฉเฒ่า’ ‘มีความเกี่ยวข้อง’ ก็ยิ่งทำให้ตู้เหยี่ยนรู้สึกว่าครั้งนี้เฉินผิงอันผู้นี้ปลอดภัยแน่นอน แต่เจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นย่อมยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้
—–