กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 367.2 วิญญาณกระบี่ขึ้นเหนือ จั่วโย่วลงใต้
วินาทีนั้น แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปใต้หล้าไพศาลกลับคืนมาเป็นปกติ ไหลกรูเข้าหานครมังกรเฒ่าจากสี่ด้านแปดทิศ
เพียงแต่ว่านอกจากเซียนดินในสายตาคนบนโลกอย่างก่อกำเนิดและโอสถทองแล้ว คนทั่วไปไม่อาจสัมผัสได้ถึงความมหัศจรรย์นี้เลย
ครู่หนึ่งต่อมา ในที่สุดเหล่าคนฉลาดของนครมังกรเฒ่าก็ตระหนักได้ถึงความแปลกประหลาดของเรื่องราว
เฉินผิงอันหายตัวไปยังนับว่าปกติ เดิมทีเขาก็ถูกเรือกลืนกระบี่เล่มนั้นทะลุหน้าท้องแล้วหายไปจากการมองเห็นอยู่แล้ว ทว่าตู้เม่าก็หายไปด้วย รวมถึงเจิ้งต้าเฟิงผู้นั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่ค่อนข้างจะเข้าใจได้ยากแล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทางฝั่งของพวกเขาที่ชมศึกอยู่ไกลๆ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นคนของตระกูลฝูตึงเครียดกันมากที่สุด นอกจาก ‘บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใบถงทวีป’ ในสายตาของคนแจกันสมบัติทวีปแล้ว หมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่ไร้ศัตรูทัดเทียมที่สุดในนครมังกรเฒ่าก็ล้มลงกับพื้น อีกทั้งยังหมดสติ เลือดสดไหลนองท่วมตัว
เห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในสภาพน่าหวาดกลัวที่รากฐานมหามรรคาได้รับความเสียหาย
ฝูฉีทะยานลงจากแท่นมังกรมาถึงที่แห่งนี้ในเสี้ยววินาที เขาทรุดตัวลงนั่งยอง สีหน้าเขียวคล้ำ คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ รู้สึกแค้นเคืองฟ่านจวิ้นเม่าผู้นั้นอยู่บ้าง หากไม่เป็นเพราะนาง วันนี้ตนก็ไม่มีทางถูกปิดหูปิดตา ต้องสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ภายในปรากฎการณ์ประหลาดก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน หลังจากตรวจสอบสภาพร่างกายของหญิงชราสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นี้แล้ว เขาก็ยิ่งอกสั่นขวัญผวา กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายไปแล้ว? แต่ฝูฉีกลับไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์นี้ออกมา เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “บาดเจ็บเล็กน้อย พวกเรารีบกลับไปที่จวนก่อนค่อยว่ากัน”
ฝูหนันหัวมองไปทางกำแพงเมืองที่ไม่มีเงาร่างของเฉินผิงอันแล้ว นี่ไปตายอยู่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองชั้นนอก หรือว่า…?
ฝูตงไห่และฝูชุนฉวาสบตากันอีกครั้ง
ได้เห็นหมัวมัวผู้อบรมมารยาทจอมยโสโอหังผู้นี้ ‘ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย’ กับตาตัวเอง สำหรับพวกเขาสองคนที่ยังไม่ถอดใจกับเก้าอี้ตำแหน่งเจ้าเมืองแล้ว นี่คือข่าวดีที่ไม่เล็กเลย
ฝูหนันหัวถามเบาๆ ว่า “หลังจากนี้?”
ฝูฉีส่ายหน้า “ไม่ต้องสนใจแล้ว มีความหมายไม่มาก ตอนนี้กลับไปทำความเข้าใจให้รู้แน่ชัดก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดตู้เม่าถึงหายไป ไม่ไปทางประตูตะวันออก เข้าเมืองทางประตูทิศใต้แทน”
ตระกูลฝูในฐานะผู้ครอบครองอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของนครมังกรเฒ่าในทุกวันนี้ อีกทั้งยังคิดจะรวบรวมนครมังกรเฒ่าให้เป็นปึกแผ่น กลับเลือกที่จะให้รถม้าขับอ้อมไปเข้าเมืองทางประตูทิศใต้แทน
คนที่อึ้งตะลึงมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นตู้เหยี่ยนที่ยังยืนอยู่บนกำแพงเมือง ลูกหลานสายตรงของตู้เม่าขอบเขตบินทะยานผู้นี้ขยี้ตา ท่านบรรพจารย์ล่ะ? เขาหายไปไหนแล้ว?!
ติงซื่อภรรยาของเขามีพรสวรรค์ในการฝึกตนธรรมดา แต่เวลานี้กลับสุขุมเยือกเย็นกว่าตู้เหยี่ยนที่เป็นขอบเขตโอสถทองขั้นสมบูรณ์แบบ “อยู่ในใบถงทวีป ท่านบรรพบุรุษก็ยังทำทุกอย่างได้ตามใจปรารถนา แล้วนับประสาอะไรกับอยู่ในแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่ง?”
ตู้เหยี่ยนพยักหน้ารับ จับมือของนางเอาไว้ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นข้าที่เสียกิริยาไปเอง เมื่อเรื่องในครั้งนี้สำเร็จ สำนักใบถงของข้าจะใช้นครมังกรเฒ่าเป็นกระดานกระโดด หว่านแหไปทางเหนือตลอดทาง รวบรวมสำนักตระกูลเซียนใหญ่ๆ มาเป็นพรรคพวก คนที่ปฏิบัติตามสำนักใบถงของข้ารุ่งเรือง คนที่ขัดขืนดับสิ้น ถึงเวลานั้นข้าจะต้องรับผิดชอบเส้นทางสายหนึ่งในนั้น ส่วนเจ้าก็เป็นเจ้าประมุขตระกูลติงของเจ้าไป วันหน้านครมังกรเฒ่าจะมีแค่สองแซ่ใหญ่อย่างฝูและติงเท่านั้น”
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นคลี่ยิ้มหวาน
สามสกุลใหญ่อย่างติงฟางโหวต่างก็ส่งข้ารับใช้ของตัวเองไปดักสังหารพวกเจิ้งต้าเฟิงที่นอกนครมังกรเฒ่า
นี่คือแผนการของตระกูลฝูที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อันที่จริงพวกเขารู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง เดิมทีไม่ควรใช้แผนการที่ฉุกละหุกและเปิดเปลือยโล่งโจ้งเช่นนี้ ควรจะจัดกำลังคนไว้นอกเมืองหนึ่งกลุ่ม เมืองชั้นนอกหนึ่งกลุ่ม เมืองชั้นในหนึ่งกลุ่ม คนทั้งสามกลุ่มก็จะลงมือได้อย่าง ‘เหมาะสมกับสถานะ’ ของตัวเองมากขึ้น ทำให้คนอื่นจับจุดอ่อนไม่ได้ ไม่ใช่ใช้วิธีการต่ำช้าที่แทบไม่ต่างจากอันธพาลต่อยตีกันข้างถนนเช่นนี้ เพียงแต่ว่าในเมื่อตระกูลฝูไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาสี่แซ่ใหญ่จับมือเป็นพันธมิตรกัน ทว่าหลังจากที่ซุนเจียซู่แห่งตระกูลซุนและตู้เหยี่ยนจากตระกูลติงต่างพากันหันหัวหอกเข้าหาตระกูลฝู เมื่อได้รับคำสั่งสังหารจากตระกูลฝู พวกเขาจะมีเงินทุนและความมั่นใจให้ต่อรองได้อย่างไร วันหน้ากลายเป็นผู้พึ่งพาตระกูลฝู กินอาหารเหลือเดนในปากของตระกูลฝูก็ยังดีกว่าถูกถอนรากถอนโคนเสียตั้งแต่คืนนี้
ในกลุ่มคนของสามตระกูล ลูกหลานแซ่ฟางผู้นั้นไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ใจยังพะวงถึงงานเลี้ยงฉลองใหญ่ที่จะจัดขึ้นคืนนี้ ถึงเวลานั้นก็ให้พวกหญิงสาวที่เคยทำงานในร้านยาฮุยเฉินเผยโฉมหน้าทั้งหมด ใครดื่มเหล้าหนึ่งจอกก็สามารถสั่งให้พวกนางถอดเสื้อผ้าออกได้หนึ่งชิ้น!
หลังจากผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจของสามแซ่ใหญ่ปรึกษากันเรียบร้อยก็ตัดสินใจว่าจะติดตามตระกูลฝูไปทางกำแพงเมืองทิศใต้ ส่วนเหล่าข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่รับผิดชอบการเข่นฆ่าสังหารอยู่ทางด้านหลังยังไม่ต้องไปสนใจ หลังจากเด็ดหัวศัตรูได้แล้วก็คงไปรวมตัวกับพวกเขาในเมืองเอง
บนทะเลเมฆ ฟ่านจวิ้นเม่าฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ขอบเขตถดถอยมาอยู่ที่โอสถทองแล้วจริงๆ
แต่นางกลับไม่รู้สึกเคียดแค้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากหัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจก็ชำเลืองตามองไปยังเส้นทางที่มุ่งไปยังแท่นมังกรซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ที่นั่นยังมีการเข่นฆ่าเกิดขึ้นอย่างประปราย นางขมวดคิ้ว ยื่นมือมากดหัวใจ มืออีกข้างหนึ่งใช้สองนิ้วชี้ๆ จิ้มๆ ลงไปเบื้องล่าง
ท่ามกลางทะเลเมฆ เสาลำแสงหลายต้นพากันร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่าง
เนื่องจากใช้โชคชะตาอันเป็นรากฐานของทะเลเมฆ การลงมือของฟ่านจวิ้นเม่าจึงมีพลังอำนาจที่ไม่เป็นรองก่อกำเนิดทั่วไป
เหล่าข้ารับใช้ผู้ถวายงานที่เหลืออยู่ห้าหกคน เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เวลานี้ยังถูกลำแสงแทงทะลุหัวอีก
สารถีตระกูลฟ่านที่ทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตายคือคนสุดท้ายที่เหลืออยู่
สี่คนที่ลงจากรถม้า สุดท้ายผู้ที่เดินขึ้นรถมีเพียงหลูป๋ายเซี่ยงที่ร่างอาบไปด้วยเลือดและเว่ยเซี่ยนที่สวมเสื้อเกราะน้ำค้างหวาน บาดเจ็บน้อยที่สุด
ส่วนจูเหลี่ยนคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ ตายไปแล้ว
สุยโย่วเปียนก็ยิ่งรบจนตัวตาย
หลูป๋ายเซี่ยงเก็บกระบี่ชือซินเล่มนั้นมา ไม่ลืมใช้กระบี่แทงไปที่หัวใจของศพเหล่านั้นก่อนจะขึ้นไปบนรถม้า
ในนครมังกรเฒ่า ผู้ฝึกตนใหญ่ที่ก่อนหน้านั้นสามารถปล่อยจิตหยินออกมาเดินทางท่ามกลางกาลเวลาที่หยุดนิ่ง ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่แต่งตัวเหมือนพวกเศรษฐี เวลานี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง กุมท้องงอตัวหัวเราะน้ำตาเล็ด
ช่างสะใจยิ่งนัก!
พันปีที่ผ่านมานี้ ข้าผู้อาวุโสยังไม่เคยหัวเราะด้วยความอารมณ์ดีเช่นนี้มาก่อน
ที่แท้ตู้เม่าเจ้าเฒ่าวิปริตก็มีวันนี้กับเขาด้วย!
เขาเดินทางข้ามทวีปขึ้นเหนือมาครั้งนี้ เดิมทีแค่คิดจะมาผ่อนคลายจิตใจ ไปพบคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่าจะได้มาเจอกับเรื่องดีงามเช่นนี้
ท่าน ‘ทวนหนึ่งฉื่อ’ ผู้นี้ตัวอยู่ในใบถงทวีป แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ตระกูลเซียนเล็กๆ ของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของเหล่าเทพธิดาทั้งหลาย เขาคือคนใจป้ำที่ตัดใจจ่ายทองพันชั่งได้มากที่สุด คือคนใจป้ำที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘หนุ่มน้อยหน้าหยก’ กับคนบางคนของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน ช่วงเวลาที่ใช้วิชาอภินิหารบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของสำนัก เวลาที่เห็นเทพธิดาบางคนริษยาหึงหวงกันก็มักจะลงมืออย่างยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการลงไม้ลงมือจริงๆ แต่เป็นการทุ่มเงิน อีกทั้งยังไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินร้อนน้อย!
ผู้เฒ่าหุบยิ้ม พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “วันนี้เป็นวันดี จะทำตัวตระหนี่ขี้เหนียวต่อไปไม่ได้ ต้องข่มเจ้าหมอนั่นสักครั้ง ข้าต้องใจกว้าง เอาความใจใหญ่ใจโตออกมา! จะปล่อยให้เจ้าหมอนั่นทำตัวโอหังอีกไม่ได้แล้ว น่าเสียดายก็แต่เทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยง แม่นางที่เก่งกาจ งดงามและมีกลิ่นอายความเป็นเซียนถึงเพียงนั้น เดิมทียังคิดจะเดินทางไปเยือนภูเขาตะวันเที่ยงสักครั้ง มอบสมบัติอาคมให้นางสักชิ้น น่าเสียดายนัก น่าสงสาร น่าสงสารเหลือเกิน…และยังมีเฮ้อเสี่ยวเหลียงจากสำนักโองการเทพนั่นอีก เทพธิดาใหญ่เฮ้อ เหตุใดถึงไปจากแจกันสมบัติทวีปเสียเล่า ยังคิดจะไปพบหน้านางสักครั้ง อุตส่าห์มาเยือนอย่างรีบร้อนเพราะอยากเห็นโฉมหน้าของสาวงาม ต่อให้ได้แค่เห็นไกลๆ ก็ยังดี…”
……
ในห้องข้างของร้านยาฮุยเฉิน
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นตลอดเวลา ได้ยินว่าต่อให้บุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงสามารถลุกขึ้นมาเดินได้ วันหน้าก็ต้องกลายเป็นคนหลังค่อม
หลังค่อมไปชั่วชีวิต
เดิมทีก็สกปรกมอมแมม หน้าตาไม่ได้หล่อเหลาอยู่แล้ว
หวนนึกถึงปีนั้น ตอนอยู่หน้าประตูใหญ่ มองคนของตระกูลเซียนบนภูเขาเดินเข้าไปในเมืองเล็ก บุรุษผู้เอ้อระเหยลอยชายจุ๊ปากพูดว่า “ขาสองข้างของแม่นางคนเมื่อกี้นี้รัดคนตายได้เลยนะนั่น”
วันนั้นเด็กหนุ่มผอมแห้งยังไม่เข้าใจความหมายหยาบโลนที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้น จึงได้แต่ถามว่า “ฮูหยินผู้นั้นเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อนหรือ?”
ตอนนั้นชายฉกรรจ์ที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย อันที่จริงเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดแล้ว
วันนี้…
เฉินผิงอันพูดเสียงแหบพร่า “เจิ้งต้าเฟิง ข้าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เคยพบเจอคนมากมายในยุทธภพ เจ้าคือคนที่กระดูกแข็งที่สุด สันหลังยืดตรงมากที่สุด ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ …”
เวลานี้คนเฝ้าประตูของเมืองเล็กในวันวานนอนหลับอย่างเงียบเชียบอยู่ใต้ผ้าห่มที่มีเลือดซึม
……
บนทะเลนอกท่าเรือเกาะโดดเดี่ยวของนครมังกรเฒ่า นักพรตน้อยที่ยืนเหยียบอยู่บนน้ำเต้ายักษ์สีทองกำลังยื่นมือสองข้างออกมารับการ ‘โบยตี’ จากกิ่งไม้อันหนึ่งที่ไม่รู้ว่าซิ่วไฉเฒ่ายากจนไปเอามาจากไหนอย่างน่าสงสาร
นักพรตน้อยดวงตาแดงก่ำ ร้องโอดครวญไม่หยุด “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ไม่เกี่ยวกับข้าจริงๆ นะ เดินทางมานครมังกรเฒ่าครั้งนี้ ข้าไม่ได้ทำร้ายเฉินผิงอันจริงๆ เป็นเขาที่ไปหาเรื่องตู้เม่าคนนั้นเอง ขนาดข้ายังทำนายไม่ได้ ตู้เม่ามีขอบเขตอะไร ข้าคงไม่อาจพาตัวไปตายที่นครมังกรเฒ่าหรอกกระมัง ท่านตีข้าแบบนี้ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์เลยนะ…โอ้ย! เจ็บๆๆ …”
หากไม่ได้ยินคำบ่นนี้ยังพอทำเนา แต่พอได้ยินซิ่วไฉเฒ่าก็ยิ่งโมโห ลงมือหนักกว่าเดิม “เจ้าตะพาบน้อยใจจืดใจดำ ปีนั้นเจ้าเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับใคร? ใครกันที่กอดคอพูดคุยกับเจ้าอย่างถูกคอ? หืม? ถือตะเกียบกินข้าว วางตะเกียบด่าแม่ใช่ไหม? เจ้าจมูกโคหน้าเหม็นสอนเจ้าให้เสียคน ข้าจะสอนเจ้าให้เป็นคนที่ดีเอง! ยังกล้าหลบอีกรึ? ยืนตรง ยืนให้ดี ยื่นมือมา!”
นักพรตน้อยยื่นมือออกไปแต่โดยดี เพราะไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น ได้แต่ร้องคร่ำครวญ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง หากท่านยังทำอย่างนี้อีก ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ของข้าแล้วนะ ท่านลำเอียงเข้าข้างเฉินผิงอัน อาจารย์ของข้าก็ต้องลำเอียงเข้าข้างข้า…”
ซิ่วไฉเฒ่าโมโหอย่างหนัก “ยังจะกล้าเถียง ในท้องของเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นมีน้ำครำสกปรกอะไรอยู่ คิดว่าข้าไม่รู้รึ?! คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง วันนี้หากไม่ตีให้เจ้ายอมสบบ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้า!”
นักพรตน้อยร้องไห้โฮ “ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เดิมทีพวกเราก็แซ่เดียวกันอยู่แล้วนะ! ต่อให้พวกเราสองคนไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกัน แต่เห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปเล็กๆ น้อยๆ นี่ ท่านก็ควรตีข้าให้น้อยลงหน่อย…”
ซิ่วไฉเฒ่าแค่นเสียงเย็นในลำคอ โยนกิ่งไม้นั่นทิ้ง เอ่ยสั่งสอน “วันหน้าย้ายบ้านไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวก็ก่อเรื่องให้น้อยหน่อย! ด้วยสติปัญญาอันอ่อนด้อยของเจ้ามีแต่จะหาหายนะมาใส่ตัวเอง นักพรตที่อยู่ในป๋ายอวี้จิง สิบสองชั้นห้าเมืองใหญ่แห่งนั้น เทพเซียนมีอิสระเสรีก็จริง แต่นี่ก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่ทำตัวตามระเบียบเหมือนอย่างในใต้หล้าไพศาล สิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการมากที่สุดก็คือสองคำว่ากฎเกณฑ์”
นักพรตน้อยนั่งแปะลงไปบนน้ำเต้าใบใหญ่สีทอง หลังจากเช็ดน้ำตาแล้วก็สะบัดมือสองข้างอย่างแรง เงยหน้าขึ้นถามอย่างสงสัยว่า “ท่านอาจารย์ไม่เคยบอกเลยว่าต้องไปที่ใต้หล้าแห่งนั้น”
ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาใส่ “เจ้าจะไปรู้กะผีอะไร”
นักพรตน้อยร้องอ้อหนึ่งที “ข้ารู้กะผี แล้วข้าก็รู้ด้วยว่าท่านคือท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง…”
ซิ่วไฉเฒ่าหัวเราะหึหึ คว้ากิ่งไม้ที่ลอยตามน้ำทะเลมาอีกรอบ ส่วนนักพรตน้อยก็ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ยืนเรียบร้อยแล้วก็ยื่นมือออกมารับการโดนตีรอบใหม่
นักพรตน้อยถึงขั้นเกิดใจคิดอยากตายแล้ว
กิ่งไม้เล็กๆ ไม่สะดุดตานี้ เมื่อถูกกำอยู่ในมือของตาเฒ่ายาจกผู้นี้กลับไม่เป็นรองกระบี่บินของเซียนกระบี่เลย
ซิ่วไฉเฒ่าชำเลืองตามองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ โยนกิ่งไม้ทิ้ง ตบหัวนักพรตน้อยแทน “รีบไสหัวไป วันหน้าหัดทำตัวสำรวมหน่อย”
น้ำเต้าใหญ่สีทองล่องลอยไปไกล นักพรตน้อยที่ยืนอยู่ด้านบนพลันหันหลังให้ซิ่วไฉเฒ่า บิดก้นส่ายไปส่ายมา ยังไม่ลืมหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาทำหน้าผีใส่
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาบิดเบาๆ กิ่งไม้กิ่งนั้นก็พุ่งสวบออกไปทิ่มก้นข้างหนึ่งของนักพรตน้อยอย่างพอดิบพอดี
นักพรตน้อยรีบดึงกิ่งไม้ทิ้ง กระโดดดึ๋งๆ รีบขับเคลื่อนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใต้ฝ่าเท้าให้จากไปอย่างรวดเร็ว
ดูท่าการปรากฏตัวครั้งนี้คงทำให้ตาเฒ่ายากจนโมโหไม่น้อยจริงๆ ถึงได้เอาเขามาระบายอารมณ์
นักพรตน้อยเช็ดน้ำตาบนใบหน้า อายุน้อยแต่แก่แดดแก่ลม พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ข้าผู้อาวุโสโมโหจะตายอยู่แล้ว! วันหน้าจะไม่เรียกพี่เรียกน้องกับเจ้าอีกแล้ว”
เสียงสวบดังหนึ่งที
กิ่งไม้ทิ่มไปยังก้นอีกฝั่งหนึ่ง
ซิ่วไฉเฒ่าที่ไล่เจ้าตะพาบน้อยไปได้แล้วก็พุ่งทะยานมุงหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ปราณกระบี่พวยพุ่งสู่ชั้นฟ้า
น้ำทะเลกระเพื่อมถาโถม
ซิ่วไฉเฒ่าที่ไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้ง ไปถึงไม่พูดไม่จาก็กระโดดตบหัวผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ยังไม่หายโมโหจึงตบซ้ำไปอีกสองทีติด “เจ้าเด็กไร้ประโยชน์ ปกป้องเสี่ยวฉีไม่ได้ ได้ ถือว่าเจ้ามีข้ออ้างมีเหตุผล เจ้าอยู่ไกลเกินไป ไม่รู้สถานการณ์ของถ้ำสวรรค์หลีจู แต่คราวนี้ดีนักนะ แม้แต่ศิษย์น้องเล็กที่อยู่ใต้เปลือกตาก็ยังปกป้องไม่ได้ วางตำราไม่ศึกษาเล่าเรียน เจ้าเอาแต่ฝึกกระบี่ๆๆ ฝึกกระบี่กะผีเจ้าสิ! รู้หรือไม่ว่าเฉินผิงอันถูกเจ้าทำร้ายสองครั้งแล้ว ครั้งแรกสภาพจิตใจถูกเจ้าชักนำ อีกครั้งหนึ่งเจ้าบุ่มบ่ามส่งมอบโอสถปีศาจขอบเขตสิบสองไปให้เขา อีกแค่นิดเดียว อีกแค่นิดเดียวเท่านั้นเฉินผิงอันก็ต้องเผชิญกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันนี้แล้ว! ตู้เม่า เจ้าเคยได้ยินไหม?! เจ้าแก่หน้าไม่อายขอบเขตบินทะยานคนนหึ่ง เขามาดักรอเฉินผิงอันอยู่ที่นครมังกรเฒ่า ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า! เขาพุ่งเป้าตรงไปเล่นงานศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนเดียว! เพื่อให้สำนักเข้าร่วมแผนการของต้าหลี ช่วยคนหยั่งเชิงเสินจวินผู้เฒ่าอะไรนั่น ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น! เขาก็แค่จะฆ่าเฉินผิงอัน!”
เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอก ต่อให้เป็นนักพรตน้อย หรือแม้แต่คนของลัทธิขงจื๊อสองคนที่พิทักษ์ม่านฟ้า แม้จะโกรธ แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังระงับอารมณ์ตัวเองให้อยู่ในขอบเขตที่สมควร อย่างน้อยก็ไม่แสดงอารมณ์อย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนี้ เขากลับไม่คิดจะกักเก็บอารมณ์เอาไว้เลย
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ซิ่วไฉเฒ่าที่เตี้ยกว่าตัวเองมากกระโดดตบศีรษะตนครั้งแล้วครั้งเล่า
ซิ่วไฉเฒ่าตบไปด่าไป “เจ้ากลับดีนักนะ แค่ปัดก้นเสร็จก็เดินจากไป เจ้าจั่วโย่วช่างสง่างามเสียจริง ตลอดชีวิตของฉีจิ้งชุนยังสง่างามได้ไม่เท่าเจ้า ศิษย์น้องเล็กก็ยิ่งสง่างามไม่เหมือนเจ้า ใครก็ไม่สง่างามเท่าเจ้าจั่วโย่ว! ในเมื่อเจ้าสง่างามขนาดนี้ทำไมไม่บินทะยานขึ้นฟ้าไสหัวไปหามารดาเจ้าเสียเลยล่ะ?!”
จั่วโย่วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่เอาคืน ไม่โต้เถียง
เพราะเขาจั่วโย่วก็เพิ่งเคยเห็นอาจารย์ที่โมโหและผิดหวังขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเหมือนกัน
ต่อให้ครั้งนั้นที่ขังตัวเองอยู่ในสถานศึกษากงหลินเต๋อ เป็นเขาจั่วโย่วที่คอยอยู่เคียงข้าง อาจารย์ก็ยังคงยิ้มแย้มอารมณ์ดี ไม่คิดว่าเป็นเรื่องยากลำบากแม้แต่น้อย
ต่อให้เทวรูปในศาลบุ๋นจะถูกย้ายตำแหน่งครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งถูกย้ายออกไป ถูกทุบทำลาย
อาจารย์ยังคงไม่แยแส ไม่สนใจจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งทำตัวผ่อนคลายเท่านั้น
เขารู้ดีว่าอาจารย์ไม่ใช่คนแบบนั้น
จั่วโย่วสีหน้านิ่งสงบ ถามว่า “อาจารย์ ศิษย์ควรทำเช่นไร?”
“ในที่สุดเจ้าก็จำได้แล้วหรือว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของข้า? ปีนั้นข้าจัดการกับองค์เทพห้าขุนเขาของแผ่นดินกลางตนนั้นอย่างไร? ตอนนี้เจ้าเป็นฝ่ายที่มีเหตุผล มีกระบี่…เจ้าว่าควรจะทำอย่างไร?”
ซิ่วไฉเฒ่ากระโดดตบหัวจั่วโย่วอีกครั้ง ชี้ไปยังทิศเหนือสุดของใบถงทวีป ตวาดอย่างเดือดดาล “ไปจัดการแม่งมันเลยสิ!”
จั่วโย่วร้องอ้อหนึ่งที
แล้วมุ่งหน้าลงใต้
ผู้ฝึกกระบี่กับเบื้องใต้ปราณกระบี่ของทั้งร่าง มหาสมุทรแยกออกไปทางตะวันออกและตะวันตก
—–