กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 368.4 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ
คงจะเป็นเพราะเฉินผิงอัน เผยเฉียนและเจิ้งต้าเฟิงที่สามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้แล้วต่างก็เป็นคนที่เคยชินกับชีวิตที่ยากลำบากมานานแล้ว
ดังนั้นหลายวันมานี้ในร้านยาฮุยเฉินจึงไม่มีบรรยากาศของความอึมครึมเป็นทุกข์ใดๆ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เมื่อเจิ้งต้าเฟิงกลับมามีนิสัยยิ้มหน้าเป็นชอบหัวเราะเฮฮาเหมือนเดิมอีกครั้ง เรือนด้านหลังก็นับว่าครึกครื้นไม่น้อย
ฟ่านเอ้อร์เองก็ถูกฟ่านจวิ้นเม่าพี่สาวคนโตพามาที่ร้านยารอบหนึ่ง เห็นเจิ้งต้าเฟิงผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาอยู่ในห้อง ตอนที่เข้าไปเขาพยายามอดทนเอาไว้ไม่ร้องไห้ แต่พอเห็นเจิ้งต้าเฟิงกลับไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าสองอาจารย์และศิษย์พูดคุยอะไรกัน ตอนที่ฟ่านเอ้อร์เดินออกมาใบหน้าถึงมีรอยยิ้ม
ฟ่านจวิ้นเม่าถามเฉินผิงอันว่าคิดได้แล้วหรือยังว่าจะหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนทะเลเมฆผืนนั้นหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่าขอเวลาคิดอีกหน่อย
ฟ่านเอ้อร์อยากจะขอประลองฝีมือกับเฉินผิงอัน เขาบอกว่าจะยอมอ่อนข้อให้เฉินผิงอันเล็กน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าถูกฟ่านจวิ้นเม่าเขกมะเหงกใส่จนล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น เผยเฉียนเห็นแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจ จึงบอกกับตัวเองว่าต้องกล้าหาญ ลองประชันฝีมือกับฟ่านเอ้อร์ที่เรียกตัวเองว่า ‘ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสี่’ ดูสักครั้ง ผลคือฟ่านเอ้อร์ถูกเผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าวิ่งไล่ตี ฟ่านเอ้อร์วิ่งพลางตะโกนไปด้วยว่า “เผยเฉียนเจ้าอายุน้อยแค่นี้ เหตุใดถึงมีวรยุทธ์เลิศล้ำถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้าก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่เผยตัวบนโลกที่กล่าวถึงในตำนาน ได้โปรดปล่อยให้ข้าฟ่านเอ้อร์กลับไปมุมาะฝึกฝนอีกสักสามวันเถิด แล้วข้าจะมาขอความรู้จากวิชากระบี่อันสูงส่งของเจ้าใหม่!”
เผยเฉียนวิ่งจนเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลัง รู้สึกว่าการประมือครั้งนี้ตนได้แสดงบารมีอันน่าเกรงขามออกมาอย่างเต็มที่ แม้แต่หน้าผากตัวเองก็ยังถูกไม้เท้าเดินป่าฟาดหนึ่งที วิชากระบี่สูงส่งเกินไป ยั้งมือไม่ทันจริงๆ
รอจนฟ่านเอ้อร์ถูกฟ่านจวิ้นเม่าคว้าตัวพาเดินออกไปนอกร้านยา เผยเฉียนถึงได้หันหน้ากลับมามองเว่ยเซี่ยน ถามว่า “เหล่าเว่ย ข้าร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ หรือ? ข้ารู้ว่าการประจบเอาใจของฟ่านเอ้อร์ผู้นั้นมีส่วนที่เป็นน้ำ…”
เว่ยเซี่ยนนั่งอาบแสงแดดอบอุ่นของฤดูหนาวอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก “ส่วนที่เป็นน้ำมีไม่มาก”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “มารดาข้า ที่แท้ข้าก็เป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ หรือนี่ วันหน้าจะยังต้องสงสัยอะไรอยู่อีก เอาล่ะ เหล่าเว่ย คืนนี้ข้าคัดตัวอักษรเสร็จแล้วจะสร้างสรรค์วิชาหมัดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง พรุ่งนี้จะถ่ายทอดให้เจ้า เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้ามากหรอก ถังหูลู่สิบไม้ก็พอแล้ว”
เว่ยเซี่ยนส่ายหน้า “วิชาหมัดของเจ้า ข้าไม่เรียน”
เผยเฉียนวิ่งกราดเข้ามา พูดข่มขู่ด้วยท่าทางดุดัน “ทำไม ดูถูกข้ารึ? หรือว่าเสียดายเงินเล็กๆ น้อยๆ ค่าถังหูลู่นั่น?”
เว่ยเซี่ยนกล่าว “ไม่มีเงินแล้ว”
เผยเฉียนไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่าเว่ยเซี่ยนดูแคลนวิชาหมัดของนางหรือไม่ ร้องอั๊ยหยากระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคือง “ทำไมแม้แต่เงินซื้อถังหูลู่ก็ไม่มีแล้วล่ะ!”
นางพลันทรุดตัวลงนั่งยอง พูดเสียงเบา “เหล่าเว่ย เจ้ายังมีชุดคลุมมังกรสีสันสดใสลวดลายซับซ้อนนั่นอยู่ไม่ใช่หรือ พวกเราเอามันไปขายแลกเงินเถอะ? ถึงเวลานั้นหากเจ้าเหนื่อย ข้าจะช่วยเจ้าถือเอง พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นะ ข้าจะไม่ช่วยเจ้าได้หรือ?”
เว่ยเซี่ยนถามกลับ “แล้วทำไมเจ้าไม่ขายยันต์แผ่นนั้น?”
นางหยิบกระดาษยันต์สีเหลืองออกมาอย่างอิดออด แปะลงบนหน้าผากตัวเองแล้วก็พยักหน้ารับ พูดด้วยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน “ก็จริงนะ ข้าตัดใจไม่ลง คาดว่าเจ้าเองก็คงตัดใจลงไม่ลงเหมือนกัน ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าลำบากใจอีกแล้ว”
เว่ยเซี่ยนหันหน้ามามองเด็กหญิง “ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วหรือไง?”
เผยเฉียนหันหน้ามากระซิบกระซาบข้างหูเว่ยเซี่ยน “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ อันที่จริงข้าคือองค์หญิงที่พลัดพรากมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ตอนที่ข้ายังเด็กไม้คานหาบของที่ใช้ในบ้านยังทำมาจากทองคำ หมั่นโถวกินหนึ่งลูกทิ้งหนึ่งลูก”
เว่ยเซี่ยนพยักหน้ารับ “เหมือนข้า”
ทุกวันนี้นอกจากเฉินผิงอันจะปูผ้านอนบนพื้นร้านด้านหน้าแล้วยังใช้โต๊ะคิดเงินเป็นโต๊ะเขียนหนังสือด้วย
ช่วงที่ผ่านมานี้เขาคอยอ่านทบทวนและวิเคราะห์ศึกษาตำราลับหลอมโอสถที่ลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้ซ้ำไปซ้ำมา
เพราะตอนนี้ร้านยาฮุยเฉินกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามที่คนของนครมังกรเฒ่ารับรู้ทั่วกันโดยไม่ต้องป่าวประกาศ อีกทั้งยังมีเทพหยินแซ่จ้าวเฝ้าพิทักษ์ตรอกเล็ก เฉินผิงอันจึงเอาแท่นมังกรก้อนที่เล็กที่สุด และยังมีแผ่นหยกสีทองที่สลักคำว่า ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ มาวางไว้บนโต๊ะ ความเป็นมาของมัน พี่หญิงเทพเซียนไม่ได้เล่าอย่างละเอียด บอกแค่ว่าตาเฒ่าบางคนยังถือว่าแยกแยะบทลงโทษและการให้รางวัลได้อย่างชัดเจน สถานหนักคือให้เจ้าหมอนั่นปิดประตูทบทวนตัวเอง สถานเบาคือปลดป้ายชิ้นนี้
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันคอยโยนเหรียญทองแดงแก่นทองเข้าไปในชุดคลุมอาคมจินหลี่แทบทุกวัน วันนี้เป็นเหรียญที่สี่แล้ว
นี่เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่ระดับชีวิต ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้เขาเฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยานั่งลืมตนหนึ่งขวดและยามังกรเพลิง ยาโปรยพิรุณที่ใช้ร่วมกันอีกสองขวด นอกจากเฉินผิงอันจะกินยานั่งลืมตนไปหนึ่งเม็ดแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนมอบให้เจิ้งต้าเฟิงและคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด แจกจ่ายไปหมด ไม่เหลือสักเม็ดเดียว
เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงลุกขึ้นเดินไปเรือนหลัง พาเผยเฉียนไปหาสุยโย่วเปียนที่กำลังฝึกยืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ในห้องด้านข้าง ฝ่ายหลังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เฉินผิงอันจึงบอกว่าให้นางช่วยยืดเส้นเอ็นดึงกระดูกให้เผยเฉียนก่อนได้หรือไม่
เผยเฉียนยิ้มกว้างจนแทบหุบปากไม่ลง
ในที่สุดตนก็กลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่ผู้บุกเบิกขุนเขาของอาจารย์เฉินผิงอันอย่างเป็นทางการแล้ว!
สุยโย่วเปียนพยักหน้ารับ
ผลคือเฉินผิงอันเพิ่งเดินออกไปจากห้องได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเผยเฉียนร้องไห้โฮดังสนั่นสะเทือนแผ่นฟ้า จากนั้นเด็กหญิงก็วิ่งออกมาจากในห้อง บอกว่านางไม่อยากฝึกวรยุทธ์อีกแล้ว
สุยโย่วเปียนยืนอยู่หน้าประตู กล่าวอย่างจนใจว่า “นางทนรับกับความเจ็บปวดไม่ได้เลย ข้ากะน้ำหนักให้พอดีกับนางแล้ว”
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปิดหน้า
ไม่มีหน้าไปพบใครแล้ว
เผยเฉียนยังกอดเขาแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เพียงแต่เหงื่อแตกเต็มหัว บนใบหน้าเล็กที่ดำเหมือนถ่านยังเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว
วันนี้ฟ้ายังไม่ทันมืด เผยเฉียนก็มาหาเฉินผิงอันที่โต๊ะคิดเงิน บอกว่าวันนี้นางคัดตัวอักษรตั้งหนึ่งพันตัวเชียวนะ แม้ว่าจะคัดตัวอักษรมากขนาดนั้น แต่เด็กหญิงก็ยังรู้สึกใจไม่ดี
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ไม่ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ฝึกสิ ไม่เห็นจะเป็นอะไร วันหน้าตั้งใจเรียนหนังสือให้มากก็ต้องได้ดิบได้ดีเหมือนกัน”
เผยเฉียนจึงเดินกระโดดโลดเต้นจากไป ไปคุยเล่นกับเหล่าเว่ยดีกว่า
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม แล้วจึงเปิดตำราลับหลอมโอสถที่มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้เล่มนั้นอ่านต่อไป
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพตอนที่เผยเฉียนยืนอยู่ตรงมุมหัวเลี้ยวในวันนั้น
เมื่อเทียบกับปีนั้นตอนที่ตนยังเด็กแล้วต้องขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เจอกับฝนกระหน่ำที่ตกลงมาอย่างฉับพลัน น้ำป่าไหลบ่ามาตามลำธาร ปิดกั้นทางเดินลงเขาที่อยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะรีบกลับไปดูแลท่านแม่ ตนก็กัดฟันพยายามที่จะกระโดดข้ามไปให้ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกใจอ่อน
ต่อให้วิญญาณกระบี่จะบอกแล้วว่าเผยเฉียนคือ ‘ตัวอ่อนในการฝึกวรยุทธ์ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้บนโลกใบนี้’ แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าเผยเฉียนไม่ฝึกวรยุทธ์แล้วจะเป็นเรื่องน่าเสียดายอะไรมากมาย
เด็กอายุแค่ไหนก็ควรทำเรื่องที่เหมาะกับอายุแค่นั้น ไม่มีอะไรที่ผิด
หรือว่าตอนที่เขาเฉินผิงอันยังเป็นเด็ก นั่งยองๆ อย่างโดดเดี่ยวอยู่ไกลๆ มองเด็กวัยเดียวกันเล่นว่าวอยู่ที่สุสานเทพเซียน กินขนมอาหารว่าง สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมแล้วไม่อิจฉาอย่างนั้นหรือ?
ต้องอิจฉามากอยู่แล้ว
หรือว่าปีนั้นตอนที่เขาเฉินผิงอันยังมีเรี่ยวแรงน้อย ได้แต่นำของที่พ่อแม่เหลือทิ้งไว้ในบ้านออกไปขายแลกเงิน ไม่ได้ร้องไห้เลยหรือ?
เขาเองก็แอบซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม ร้องไห้ด้วยความเสียใจเหมือนกัน
ความยากลำบากเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องร้ายทั้งหมดเสมอไป ผ่านมันมาได้ก็จะกลายเป็นเรื่องดีอีกเรื่องหนึ่ง
แต่เฉินผิงอันก็ยังคาดหวังว่าคนข้างกายที่ตนห่วงใย แต่ละคนจะมีชีวิตที่ราบรื่นกว่าเขา อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นในขณะที่ยังเด็กเกินไปและเร็วเกินไป
เพียงแต่ว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิ่งที่ยากที่สุดก็คือคำว่าสมใจปรารถนา เห็นของดีๆ แต่เงินในกระเป๋าไม่ให้ความร่วมมือ
คิดอยากจะมีชีวิตที่สงบสุขก็ไม่แน่เสมอไปว่าสวรรค์จะยินยอม
เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน รู้สึกง่วงเล็กน้อยจึงหลับไปทั้งอย่างนั้น
……
ตลอดทั้งบนและล่างของสำนักใบถง นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนไม่กี่คนที่มีจนนับนิ้วได้แล้วก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอีก ยังคงรู้สึกว่าสำนักของตัวเองคือผู้นำอย่างสมเกียรติในใบถงทวีป ต่อให้ภูเขาทั้งสามลูกอย่างสำนักกุยหยก สำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงมารวมกันก็ได้แค่พอจะงัดข้อกับสำนักใบถงของพวกเขาอย่างถูไถเท่านั้น
แม้ว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา สำนักใบถงจะไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ในสำนักป่าวประกาศแก่คนภายนอกว่า บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักใบถงผู้นั้นคือขอบเขตบินทะยาน บอกแค่ว่าเป็นขอบเขตเซียนเหริน แค่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสามเท่านั้น แต่ใครเล่าที่ไม่รู้ว่า การทำอย่างนี้เรียกว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง? การที่ผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ในทวีปไม่พูดถึงเรื่องนี้ก็แค่เพราะกังวลว่าจะทำให้สำนักใบถงไม่พอใจ แต่อันที่จริงในใจล้วนกระจ่างแจ้งราวกับส่องกระจก
สำนักใบถงนอกจากบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งมีพลังอำนาจสยบทั้งทวีปแล้ว ยังมีขอบเขตหยกดิบอีกหลายท่านที่มีชื่อเสียงเกรียงไกรไม่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นบุรพาจารย์ผู้คุมกฎที่ดูแลเทียบวงศ์ตระกูลของสำนักก็เพิ่งจะสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองกลับมาอย่างราบรื่น
และเจ้าสำนักใบถงคนปัจจุบันก็เป็นขอบเขตหยกดิบเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งด้วย!
ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าสำนักยังอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ คือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อายุแค่สามร้อยปี
รากฐานที่ลึกล้ำยิ่งใหญ่ขนาดนี้ สำนักกุยหยกที่อยู่ทางทิศใต้สุดยังจะกล้าช่วงชิงตำแหน่งผู้ครองอันดับหนึ่งกับสำนักใบถงอีกอย่างนั้นหรือ?
สำนักใบถงมีพื้นที่กินอาณาบริเวณกว่าหนึ่งพันสองร้อยลี้ หากทะยานลมไม่เป็น ขี่กระบี่ไม่เป็น คิดจะพบหน้ากันยังเป็นเรื่องยาก
นอกจากนี้ครอบครองถ้ำสวรรค์ใบถงขนาดเล็กหนึ่งแห่ง
มีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตบนและเซียนดินก่อกำเนิดเท่านั้นที่ถึงจะมีสิทธิ์เข้าไปฝึกตนข้างในได้
ทว่ามีอยู่วันหนึ่ง เกียรติยศ ความมั่นใจและชื่อเสียงอันรุ่งโรจน์ของสำนักที่ลูกศิษย์ของสำนักใบถงทุกคนได้ครอบครองมาตั้งแต่เกิดก็เริ่มเปลี่ยนไป ความคิดหลายอย่างที่คิดว่าถูกต้องตามหลักฟ้าดินกลับกลายมาเป็นความไม่แน่ใจ
ยกตัวอย่างเช่นคืนวันหนึ่ง ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางแทบทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความกดดันขุมหนึ่งที่มากมหาศาลซึ่งพุ่งจากเหนือมาใต้ ตรงดิ่งมายังชายแดนทางทิศเหนือของสำนักใบถง!
ตัวคนยังไม่ทันปรากฏ ปราณกระบี่ก็มาถึงก่อนแล้ว
หนึ่งกระบี่ฟันลงมาบนปราการสีเขียวเข้มที่กะพริบวาบออกมาจาก ‘ร่มสวรรค์ใบถง’ อันเป็นค่ายกลใหญ่ปกป้องสำนัก
ค่ายกลแหลกสลายในทันที
แม้ว่าเพียงชั่วพริบตาปราณวิญญาณแห่งภูเขาและแม่น้ำที่เกิดจากการเผาผลาญเงินเกล็ดหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนจะมารวมตัวกันกางเป็นร่มใบถงที่ปกป้องฟ้าดินคันที่สอง
ทว่าหนึ่งกระบี่ก็ยังคงผ่าสะบั้นอยู่ดี
จนกระทั่งร่มใบถงคันที่หกที่ยิ่งนานขนาดก็ยิ่งเล็กลงถูกกางออก
ผู้ฝึกกระบี่ไม่ทราบชื่อท่านนั้นถึงได้หยุดออกกระบี่ ลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างจากภูเขาบรรพบุรุษของสำนักใบถงไปสามร้อยลี้
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “ตู้เม่า ออกมา ไม่อย่างนั้นกระบี่ที่เจ็ด ข้าก็ไม่รับประกันว่าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง”
นาทีนี้ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกห้าขอบเขตล่างของสำนักใบถง หรือแม้แต่พวกนักการและคนในครอบครัวของพวกเขาที่กระจายตัวอยู่รอบนอกห่างไปทางทิศใต้ก็ยังพากันแหงนหน้ามองจุดแสงบาดตาจุดนั้น
ขยับใกล้ไปทางทิศเหนือ ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าเซียนดินโอสถทอง แค่มองผู้ฝึกกระบี่คนนั้นมากสักหน่อยก็ยังรู้สึกว่ามีปราณกระบี่เป็นเส้นๆ แทงทะลุเข้ามาในดวงตาอย่างแรง จำต้องรีบก้มหน้าลง
และเวลานี้เอง ปราการธรรมชาติอย่างใหม่ซึ่งมีภูเขาบรรพบุรุษเป็นจุดศูนย์กลาง มีปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ใบถงเป็นต้นกำเนิดก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่น่าจะเป็นใจกลางที่สุดของร่มสวรรค์คันนี้ปกป้องแค่ภูเขาและแม่น้ำในรัศมีสามร้อยลี้รอบภูเขาบรรพบุรุษเท่านั้น
ผลักไสผู้ฝึกกระบี่คนนั้นให้อยู่นอกประตูได้อย่างพอดิบพอดี
แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นนอกประตูอะไร คนเขาบุกเข้ามาสังหารถึงในบ้านแล้ว แค่ไม่ได้บุกเข้าไปในห้องโถงใหญ่ก็เท่านั้น
เจ้าสำนักใบถงที่ตรงเอวห้อยแผ่นหยกศาลบรรพชนสามารถลอดผ่านปราการค่ายกลออกมาได้ เขาสวมชุดคลุมสีม่วง สะพายกระบี่มาลอยตัวอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ใช่เซียนกระบี่จั่วโย่วหรือไม่?”
“ตู้เม่า?”
เซียนกระบี่ชำเลืองตามองผู้ฝึกกระบี่ชุดม่วงแล้วส่ายหน้า “ไม่เหมือน”
ดังนั้นเขาจึงออกกระบี่อีกครั้ง
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนสองคน
ประหนึ่งสายรุ้งสองเส้นที่แหวกผ่านภากาศยามค่ำคืน
ไม่มีศึกยาวนานอย่างที่ลูกศิษย์สำนักใบถงคาดการณ์เอาไว้
เดิมทีการเข่นฆ่าของเซียนกระบี่ที่ถูกขนานนามว่าสามารถ ‘กินเงิน’ ได้มากที่สุดในโลกก็สามารถตัดสินเป็นตายได้รวดเร็วยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณแบบอื่นๆ อยู่แล้ว
สองคือศักยภาพแตกต่างกันมากเกินไป
สุดท้ายเพียงไม่นานเจ้าสำนักใบถงก็ถูกกระบี่ฟันจนกระเด็นทะลุม่านปราการเข้ามา ร่างทั้งร่างกระแทกลงบนยอดเขาที่มีปราณวิญญาณเบาบาง และภูเขาลูกนั้นก็ระเบิดแตกออกโดยตรง
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นปล่อยกระบี่ออกมาในแนวตั้ง จากบนจรดล่าง พริบตาเดียวก็กรีดปราการให้กลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ส่วนตัวเขาเองเดินเข้ามาช้าๆ คล้ายแขกคนหนึ่งที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ แถมยังพังประตูบุกเข้าบ้านคนอื่น ไม่สนมารยาทเลยแม้แต่น้อย
เสียงสบถด่าดังขโมงโฉงเฉง รวมไปถึงสมบัติอาคมตระกูลเซียนหลากสีสันงดงามพร่างตาที่พร้อมใจกันกระแทกเข้าใส่คนผู้นี้
ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ไม่กักเก็บปราณกระบี่ที่เก็บซ่อนไม่เปิดเผยมาเป็นร้อยปีไว้อีกต่อไป เขาปล่อยมันออกมาข้างนอกในเสี้ยววินาที ปานประหนึ่งน้ำตกสีเงินที่ไหลทะลักเข้าสู่โลกมนุษย์
ไม่มีสมบัติอาคมชิ้นไหนสามารถเข้าใกล้เขาในรัศมีร้อยจั้งได้เลย
ผู้ฝึกกระบี่มีสีหน้าเฉยชา พูดกับภูเขาบรรพบุรุษด้วยน้ำเสียงจริงจังราวกับกำลังขอความรู้จากคนอื่น “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า ต้องการให้ข้าเล่นมารดาเจ้า หากให้ข้าเรียนหนังสือนั้นค่อนข้างยาก แต่เรื่องนี้กลับไม่ยาก ถ้าอย่างนั้นปัญหาก็มาแล้ว ตู้เม่า มารดาเจ้ายังอยู่บนโลกหรือไม่ นางหน้าตาเป็นอย่างไร?”
ฟ้าดินเงียบสงัด
เงียบสงัดมากเป็นพิเศษ
—–