กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 370.2 พบเจอและแยกย้าย
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้าใช้วัตถุชิ้นนี้มาเป็นแก่นน้ำในการหลอมตราประทับอักษรน้ำแห่งชะตาชีวิต คงจะได้กระมัง?”
ฟ่านจวิ้นเม่าพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ได้! ได้อย่างมาก! เจ้าคนนี้ วันๆ เหยียบแต่ขี้หมานำโชคจริงๆ วัตถุหายากที่พันปีจะพานพบสักครั้งเช่นนี้ เจ้าก็ยังไปเจอแล้วเอามาเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเองได้! รู้หรือไม่ว่าสมบัติวิเศษก่อนกำเนิดที่ได้แต่ปรารถนามิอาจครอบครองชิ้นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลไม่ทราบชื่อที่ยังไม่มีพวกอริยะไปนั่งในส้วมแต่ไม่ยอมขี้ พวกเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดก็ยังต้องแย่งกันหัวร้างข้างแตก ไม่แน่ว่าอาจมีคนตายอยู่ในนั้น และมีความเป็นไปได้สูงว่ายังต้องช่วงชิงวาสนาเสี้ยวหนึ่งบนมหามรรคากับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ…”
เฉินผิงอันตัดบท ‘คำบ่น’ ของฟ่านจวิ้นเม่าด้วยการยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แต่ละคนมีโชควาสนาแตกต่างกันไป หากข้าเกิดและเติบโตมาในนครมังกรเฒ่า อยู่นานเป็นพันปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีโอกาสมายืนอยู่บนทะเลเมฆผืนนี้ ส่วนเจ้าฟ่านจวิ้นเม่าที่ต่อให้ไปเดินเล่นอยู่ในศาลเทพวารีนานเป็นหมื่นปีก็ยังไม่อาจได้หยกชิ้นนี้มาครอง”
ฟ่านจวิ้นเม่าพยักหน้ารับ “พูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย แต่อย่ามัวพูดพล่ามไร้สาระอยู่เลย รีบหลอมวัตถุเข้าเถอะ!”
นางสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เริ่มก้าวเดินไปกลางอากาศ สองมือทำมุทรา รอบด้านก็มีลมพัดกระพือฮือโหม ทะเลเมฆผืนใหญ่ยักษ์ที่ปกป้องตลอดทั้งนครมังกรเฒ่าเอาไว้ แถบพื้นที่วงนอกสุดเริ่มม้วนตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วคล้ายดอกบัวดอกหนึ่งที่เดิมทีผลิบานได้หุบกลีบกลับมาเป็นดอกบัวตูมสีขาวหิมะอีกครั้ง ห่อหุ้มนางกับเฉินผิงอันและโต๊ะเมฆตัวนั้นไว้ภายใน เส้นแสงสีขาวหิมะจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือศีรษะเป็นเหมือนน้ำพุที่ผุดออกมาจากตาน้ำ ไหลลงสู่เบื้องล่าง ปราณวิญญาณลอยขึ้น เฉินผิงอันรู้สึกหายใจยากลำบากขึ้นมาในทันที พอเห็นสายตาฉายแววเร่งรัดของฟ่านจวิ้นเม่าก็หยิบเอาแผ่นหยกสีทองแผ่นนั้นออกมาแขวนไว้ตรงเอวอย่างไม่กระโตกกระตาก
ตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นหยกคือ ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’
ปราณวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนของทะเลเมฆไหลกรูเข้าหาแผ่นหยกชิ้นนั้น
ฟ่านจวิ้นเม่ารีบสะบัดชายแขนเสื้อขับไล่แก่นน้ำทะเลเมฆที่จงใจทำให้เฉินผิงอันรู้สึกกดดันออกไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแผ่นหยกชิ้นนั้นดูดซับไปจนหมดสิ้น ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นว่านางเอาซาลาเปาเนื้อขว้างสุนัข ขว้างไปแล้วไม่ได้กลับคืนจริงๆ
ฟ่านจวิ้นเม่ายังถือว่าพอจะมีคุณธรรมอยู่บ้าง นางถอยกรูดออกไปจากดอกบัวทะเลเมฆ เพียงแต่ใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจเอ่ยเตือนว่า “หากมีปัญหาใหญ่ให้หยุดการหล่อหลอมไว้ทันที ได้รับบาดเจ็บแล้วต้องจ่ายเงินชดใช้ อย่างไรก็ดีว่าเอาชีวิตไปทิ้ง ระดับความสูงต่ำของโต๊ะเมฆที่อยู่ด้านหน้านั้น เจ้าสามารถใช้จิตสั่งให้สูงขึ้นหรือต่ำลงได้”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ โต๊ะเมฆก็ลดระดับต่ำตามมา สุดท้ายกลายมาเป็นเหมือนเสื่อหญ้าสีขาวที่ปูวางอยู่บนพื้น
ตราประทับตัวอักษรน้ำที่ต้องนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต เตาตู้ทองห้าสี แผ่นหยกแก่นน้ำที่มาจากวังมังกรของแม่น้ำใหญ่บางสาย ตอนนี้จึงยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณชิ้นนั้น
วัตถุดิบวิเศษสี่สิบกว่าชิ้น หนึ่งในนั้นคือชาดที่ ‘นอกเหนือจากห้าธาตุเผาผลาญไม่หมด ยิ่งหลอมนานยิ่งมหัศจรรย์’ ซึ่งมีสิบกว่าชิ้นและมีสีสันหลากหลาย มีทั้งชาดน้ำลึกที่คุณภาพต่ำ มีคุณสมบัติคือความหนักและทื่อ แล้วก็ยังมีชาดเป่ยโต่วที่ส่องประกายแสงระยิบระยับดุจแสงดาว ชาดชนิดต่างๆ ที่มีมูลค่ามากควรเมืองล้วนแบ่งแยกใส่ไว้ในขวดแก้วโปร่งใสเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่เหนือทะเลเมฆ กวาดตามองไปรอบด้าน แม้ว่าร่างจะอยู่ท่ามกลางค่ายกลใหญ่ดอกบัวตูมของทะเลเมฆ ทว่าการมองเห็นกลับเปิดกว้างไร้อุปสรรค สามารถมองเห็นน้ำของทะเลสามทิศได้
การหลอมครั้งนี้หัวใจหลักอยู่ที่แผ่นหยก ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะสามารถหลอมตราประทับอักษรน้ำให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ในรวดเดียว
ต่อให้หลอมไม่สำเร็จ แล้วแก่นน้ำที่ถูกฟูมฟักมาจากวังมังกรแม่น้ำสายใหญ่ซึ่งอยู่ในภาพลักษณ์ของแผ่นหยกนี้จะแหลกสลายหายไป แต่จะดีจะชั่วก็สามารถกักเก็บปราณวิญญาณไว้ในป้ายหยกสีทองตรงเอวแผ่นนั้นได้ ต่อให้จะไหลกระจายไปบ้าง แต่ก็ต้องผสานรวมเข้ากับทะเลเมฆแห่งนี้ ถือซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดวางค่ายกลให้
ถอยไปเลือกลำดับรอง หยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณแผ่นนั้นก็สามารถใช้กักเก็บแก่นน้ำมาช่วยประคับประคองการหลอมตราประทับอักษรน้ำได้แช่นกัน
เฉินผิงอันใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้จิตใจสงบ ในสมองจินตนาการเป็นภาพตอนที่ขึ้นรูปเครื่องปั้นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม
หลังจากโยนเงินร้อนน้อยกำใหญ่เข้าไปแล้ว เตาตู้ทองห้าสีที่วางไว้บนโต๊ะเมฆด้านหน้าก็มีเมฆมงคลห้าสีผุดลอยออกมาจากปากของสัตว์ห้าตัวที่อยู่ริมขอบกระถางโอสถ
เฉินผิงอันดึงปราณแท้จริงที่บริสุทธ์ในร่างกายเฮือกนั้นขึ้นมาแล้วพ่นใส่เตาตู้ทองห้าสีเบาๆ เพื่อ ‘จุดไฟ’
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งไหลทอดยาวไม่ขาดสายขุมนี้เป็นดั่งมังกรเพลิงที่ว่ายวนอยู่ด้านในผนังของเตาหลอมโอสถ เกิดประกายไฟแลบแปลบปลาบไปสี่ทิศ
ไฟแท้จริงในการหลอมวัตถุมีน้ำหนักเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถจุดไฟให้กับเตาหลอมโอสถได้สำเร็จหรือไม่ และระดับความบริสุทธิ์ที่สำคัญยิ่งกว่าก็จะเป็นตัวตัดสินว่าสุดท้ายแล้วระดับขั้นของวัตถุที่ถูกหลอมจะสูงเท่าไหร่
การหลอมแผ่นหยกของตำหนักปี้โหยวชิ้นนี้ไม่เกี่ยวพันกับรากฐานของชีวิต แผ่นหยกไม่ได้หยั่งรากลงในช่องโพรงลมปราณ เมื่อเทียบกับตราประทับตัวอักษรน้ำแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบวิเศษและชาดสีต่างๆ มากมายนัก
เฉินผิงอันศึกษาตำราการหลอมโอสถของลู่ยงก่อกำเนิดผู้เฒ่าเล่มนั้นมานาน และศึกษาเนื้อหาคาถาเซียนที่ ‘ชี้ตรงไปยังมหามรรคา’ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน คาถาทั้งสองบทนี้เรียกได้ว่าบอกทุกหมดที่รู้อย่างไม่มีกักเก็บเอาไว้ ต่างก็เป็นแก่นความรู้ที่ยอดเยี่ยมของทั้งเจ้าตำหนักพยัคฆ์เขียวและเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ โดยเฉพาะอย่างหลังที่เป็นเลือดเนื้อและจิตใจทั้งชีวิตของเจ้าแม่เทพวารี เฉินผิงอันแค่ต้องทำตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ก็พอ ควรจะเพิ่มปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์คำใหม่ซึ่งเป็นดั่งฟืนอีกครั้งเมื่อไหร่ ควรจะโปรยชาดในขวดแก้วใบไหนกี่ตำลึงเมื่อไหร่ ควรจะท่องคาถาขอฝนซึ่งซุกซ่อนสัจธรรมแห่งมหามรรคายามใด ชักนำปรากฎการณ์แห่งเตาหลอม เพิ่มไฟ โปรยน้ำค้างหวานลงไปเหนือเตาหลอมโอสถ ให้น้ำและเปลวไฟที่ส่ายสะบัดอยู่ในเตาหลอมผสมผสานกัน ล้วนแล้วแต่มีกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น
ดังนั้นนอกจากเฉินผิงอันจะเหนื่อยเล็กน้อยแล้ว โดยภาพรวมก็ถือว่ายังมีสมาธิจิตใจที่แน่วแน่เป็นอย่างดี
ฟ่านจวิ้นเม่านั่งอยู่นอกค่ายกลใหญ่ของทะเลเมฆ พึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเองว่าเพิ่มชาดไปอีกสองตำลึง รีบๆ ลืมหลอมหินลาวาภูเขาไฟก้อนนั้น พ่นปราณแท้จริงบริสุทธิ์ที่ไม่เพียงพอใส่เตาหลอมให้ช้าหน่อย…
น่าเสียดายก็แต่ทุกการกระทำของเฉินผิงอันเป็นระบบระเบียบ ถึงขั้นตอนที่รอเปลวไฟยังหลับตาทำสมาธิหายใจเข้าออกอย่างมีกฎเกณฑ์ ไม่มีช่องโหว่ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิตในขั้นตอนใดๆ เลย แน่นอนว่าตำหนิน้อยใหญ่ย่อมมีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ทว่าการเผาผลาญในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ นี้ การที่แก่นน้ำของสมบัติพิทักษ์วังมังกรแม่น้ำใหญ่จะไหลล้นออกมาจากเตาหลอม กลายมาเป็นสารบำรุงของทะเลเมฆ เป็นแค่ขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัวเท่านั้น ฟ่านจวิ้นเม่าผิดหวังอย่างยิ่ง
หลอมสมบัติวิเศษก่อกำเนิดที่ระดับขั้นสูงขนาดนี้เป็นครั้งแรก เจ้าเฉินผิงอันจะไม่ใจสั่นสักหน่อย มือสั่นสักสองสามครั้งบ้างเลยหรือ?
ถือซะว่ามอบแก่นน้ำเป็นของบรรณาการเล็กๆ น้อยๆ ให้แก่ทะเลเมฆ เป็นการชดเชยและค่าตอบแทนให้กับการเฝ้าด่านของนางฟ่านจวิ้นเม่าก็ไม่เกินไปไม่ใช่หรือ?
ถึงท้ายที่สุด ฟ่านจวิ้นเม่าที่รู้สึกสิ้นหวังก็ล้มตัวลงนอนหลับ ไม่มองเตาหลอมใบนั้นอีก ถึงอย่างไรก็ราบรื่นอยู่แล้ว นางไม่มีหวังว่าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเลยจริงๆ
ไม่ผิดไปจากฟ่านจวิ้นเม่าคาดการณ์ไว้ นับตั้งแต่ช่วงตีฆ้องยามแรกของโลกมนุษย์จนถึงยามฟ้าสางของวันที่สอง
เฉินผิงอันก็สามารถหลอมแผ่นหยกชิ้นนั้นได้ถึงแปดเก้าส่วนแล้ว เพียงแต่ความพิเศษของมันนั้นอยู่ที่ว่ายังคงเก็บตัวอักษรบนแผ่นหยกเอาไว้ได้
น่าจะเป็นเพราะเจ้าของเดิมของแผ่นหยกใช้วิธีหลอมวัตถุแบบเดียวกันนี้มาหลอมแผ่นหยก อีกทั้งเดิมทีตัวอักษรก็มีสัจธรรมแห่งมหามรรคาแฝงอยู่ จึงสามารถเก็บไว้ได้อย่างที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อสูญเสียวัตถุที่รองรับไปแล้ว ตัวเองเกิดสติปัญญา ไม่ยินดีสลายหายไปจากฟ้าดิน หมื่นสรรพสิ่งบนโลกใบนี้เมื่อสติปัญญาเปิดกว้างเมื่อไหร่ก็ล้วนรักตัวกลัวตายทั้งสิ้น ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้มหามรรคา ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันเอง และการฝึกตนเพื่อพิสูจน์มรรคา ใจที่มุ่งมั่นคิดจะฝึกให้เกิดร่างไม่ดับสลาย ต้านทานการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลาของผู้ฝึกลมปราณก็จะกลายเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎเกณฑ์ของสวรรค์
ตัวอักษรของบทหลอมวัตถุบทนี้เพาะสติปัญญาของตัวเองออกมาได้แล้ว
นี่ก็คือเรื่องที่หาได้ยากอีกเรื่องหนึ่ง
ฟ่านจวิ้นเม่าลุกขึ้นยืนเพ่งตามองไปยังตัวอักษรสีเขียวมรกตขนาดเล็กที่คล้ายจะมีสติปัญญาเหล่านั้น ตัวอักษรหนึ่งพันกว่าตัว ล่องลอยเวียนวนขึ้นๆ ลงๆ อยู่กลางเตาตู้ทองห้าสี
ฟ่านจวิ้นเม่าลังเลเล็กน้อย “ข้าขอแนะนำว่าทางที่ดีที่สุดเจ้าควรหาวิธีเก็บตัวอักษรของคาถาบทนี้เอาไว้ บนเส้นทางการฝึกตนในวันหน้า เมื่อพบเจอกับลูกศิษย์ที่ตัวเองภาคภูมิใจค่อยนาบประทับตัวอักษรเหล่านี้ไว้ในจิตวิญญาณ ก็จะสามารถถ่ายทอดมรรคาได้โดยตรง พวกผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักในชื่อ ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นการสืบทอดควันธูปจึงค่อนข้างจะง่ายดายและผ่อนคลาย ก่อนจะถ่ายทอดมรรคา พวกมันอยู่ในช่องโพรงลมปราณของเจ้าก็สามารถช่วยหล่อหลอม บำรุงความอบอุ่นให้แก่ช่องโพรงจิตวิญญาณของเจ้าได้ด้วย นี่ก็คือวิธีการ ‘บำรุงด้วยอาหาร’ ให้กับจิตวิญญาณซึ่งหาได้ยากยิ่ง ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้เบื้องหลัง คือเรื่องดีเหมือนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว”
เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะลงมืออย่างไร
ฟ่านจวิ้นเม่ายิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ตัวอักษรที่มีจิตวิญญาณพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีสมบัติอาคมมีวิชาอภินิหาร คิดอยากจะจับก็ทำได้สมใจปรารถนา หากไม่ระวังถูกพวกมันสัมผัสได้ว่าจิตแห่งเต๋าไม่สอดคล้องกัน พวกมันก็จะแหลกสลายไปในทันที ต่อให้เป็นขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่อาจรั้งไว้ได้อยู่”
ในใจเฉินผิงอันบังเกิดความคิดหนึ่ง เขาจำเป็นต้องเก็บตัวอักษรเหล่านี้ไว้ให้ได้ ซุกซ่อนพวกมันเอาไว้อย่างดีก่อน วันหน้ายังต้องคืนให้กับเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอจวนปี้โหยว ระบบการถ่ายทอดเล็กๆ เช่นนี้ แม้ว่าเขาจะหล่อหลอมออกมาได้โดยบังเอิญ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ควรจะจุดธูปก้านนี้ไว้ในศาลเจ้าแม่เทพวารี ให้นางได้เป็นผู้สืบทอดต่อไป
เมื่อความคิดนี้บังเกิดขึ้น
ตัวอักษรมีชีวิตที่เดิมทียังลังเลตัดสินใจไม่ได้เหล่านั้นกลับแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นคนตัวจิ๋วขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารที่สวมชุดสีเขียวมรกต พวกมันพากันก้มหัวกราบคำนับเฉินผิงอันด้วยความซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด
จากนั้นพวกมันก็รวมตัวกันกลายเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งที่ไหลกรูเข้าไปในช่องโพรงลมปราณบางแห่งที่เฉินผิงอันคิดจะเก็บตราประทับตัวอักษรแม่น้ำไว้
ฟ่านจวิ้นเม่ามองค้อนปะหลับปะเหลือก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนหงาย พึมพำว่า “ไม่มีหลักธรรมชาติแห่งสวรรค์เอาซะเลย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ”
ส่วนแผ่นหยกของวังมังกรที่หล่อหลอมได้สำเร็จด้วยดีแผ่นนั้นก็ถูกคนตัวจิ๋วชุดสีเขียวมรกตที่ตัวสูงกว่าคนอื่นเล็กน้อยแบกเข้าไปไว้ในช่องโพรงลมปราณของเฉินผิงอันเช่นกัน ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อแผ่นหยกลอยอยู่ใน ‘จวน’ ที่ถูกบุกเบิกขึ้นมาใหม่แล้ว คงเป็นเพราะต้องการตอบแทนเฉินผิงอัน คนจิ๋วเหล่านี้จึงเริ่มแบ่งงานกันอยู่ใน ‘ห้องโอสถ’ คนจิ๋วชุดเขียวบางส่วนไปตรงหน้าประตูบานใหญ่ของช่องโพรงลมปราณ เริ่มวาดภาพเทพทวารบาลสองตน และยิ่งมีคนจิ๋วชุดกระโปรงเขียวจำนวนมากกว่านั้นที่วาดน้ำของแม่น้ำสายใหญ่สายหนึ่งลงบน ‘ผนังสี่ด้าน’ ของจวน จวนเล็กๆ ทว่ากลับมีบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่งดงามหลากหลาย…
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ฟ่านจวิ้นเม่าเบิกตากว้าง นางดีดตัวขึ้นมาในท่านอนหงาย ลุกขึ้นยืน พลันเพิ่มระดับน้ำเสียงชี้ไปยังคนหนุ่มที่เริ่มเก็บทรัพย์สมบัติของตัวเองไปทีละชิ้น “เฉินผิงอัน แท้จริงแล้วเจ้าคือเทพพิรุณกลับชาติมาเกิด?! ใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันเก็บวัตถุวิเศษแต่ละชิ้นกลับเข้าไปในวัตถุจื่อชื่อ แบ่งแยกประเภทอย่างเป็นระเบียบพลางเงยหน้ายิ้มพูดสัพยอก “ฟ่านจวิ้นเม่า คำประจบนี้…ฟังแล้วแปลกใหม่ไม่ซ้ำใครจริงๆ”
ฟ่านจวิ้นเม่าเก็บค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆ ย่อพื้นที่ให้หดเล็กมายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน “มองดูแล้วก็ไม่เหมือนเทพพิรุณนี่นา พูดถึงแค่ความสมารถก็ยังห่างชั้นกับเจ้าคนอ้อนแอ้นเหมือนสตรีผู้นั้นไกลโขนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทำให้คนจิ๋วผู้สืบทอดโชคชะตาน้ำสายนี้ยินยอมพร้อมใจศิโรราบแก่เจ้า?”
เฉินผิงอันไม่สนใจฟ่านจวิ้นเม่าที่พูดจ้อไม่หยุด เก็บสิ่งของทั้งหมดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะกลับไปอย่างไร?”
ฟ่านจวิ้นเม่าดีดนิ้วหนึ่งที ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันก็เริ่มไหลเคลื่อนออกไป ปรากฎบันไดเมฆแห่งหนึ่งที่ทอดตรงไปสู่ร้านยาฮุยเฉินในนครมังกรเฒ่า แต่บริเวณโดยรอบบันไดเมฆมีแสงแก้วเปล่งประกายวูบวาบเป็นระลอก เฉินผิงอันรู้ว่านี่คือแสงอันเป็นเอกลักษณ์ที่จะเปล่งออกมาเมื่อแม่น้ำกาลเวลาระหว่างฟ้าดินถูกกระตุ้น ดังนั้นหากเขาเดินลงไปตามบันไดเมฆนี้ เว้นเสียจากว่าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนแล้ว คนอื่นๆ ในนครมังกรเฒ่าก็จะมองไม่เห็นเงาร่างของเขาอีก
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณฟ่านจวิ้นเม่าแล้วเดินลงไปตามบันไดเมฆแห่งนั้นเพียงลำพัง ค่อยๆ เดินไปตามบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้า
ระหว่างทางที่ ‘ลงจากภูเขา’ ก็ถือโอกาสก้มลงมองทัศนียภาพอันงดงามของนครมังกรเฒ่าไปด้วย
เฉินผิงอันคิดว่าภาพนี้สามารถสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ วันหน้าค่อยเอาไปเล่าให้แม่นางผู้นั้นฟัง
—–