กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 370.3 พบเจอและแยกย้าย
เช้าตรู่วันที่สามสิบของสิ้นปี การเฉลิมฉลองของชาวบ้านทั่วไปในนครมังกรเฒ่าไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศกดดันจากตระกูลใหญ่บางแห่ง
ตระกูลฝูยกเลิกคำสั่งห้ามในเมืองไปนานแล้ว ถนนใหญ่ตรอกเล็กต่างก็เต็มไปด้วยความครึกครื้นรื่นเริง
ทางฝั่งของร้านยาฮุยเฉิน วินาทีที่เท้าทั้งสองข้างของเฉินผิงอันสัมผัสกับพื้น สะพานเมฆก็หายไปแล้ว
เทพหยินแซ่จ้าวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถามว่า “หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “แค่หลอมวัตถุแก่นน้ำชิ้นหนึ่งเท่านั้น แต่คราวหน้าที่หลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โอกาสที่จะสำเร็จก็มีสูงมาก”
เทพหยินพยักหน้ารับ “ไม่เลวเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันกลับไปที่โต๊ะคิดเงินของร้านยา แผ่นหยกสีทองถูกเขาเก็บลงไปตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากห้อยไว้ตรงเอวก็หมายความว่าโชคชะตาน้ำของทะเลเมฆจะถูกกลืนกิน ฟ่านจวิ้นเม่าต้องแลกชีวิตกับเขาแน่นอน
ตอนนี้เจิ้งต้าเฟิงสามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติแล้ว วันนี้เขาบอกให้เผยเฉียนช่วยยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะจะไปหาคนบนเส้นทางเดียวกันซึ่งอยู่ใต้ต้นไหว แล้วก็จริงดังคาด เขาได้พบกับเศรษฐีผู้เฒ่าตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือ จูเหลี่ยนก็ยิ่งตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อาวุโสที่ ‘มุมานะอย่างยากลำบากกับการอ่านตำรา’ เจิ้งต้าเฟิงนั่งลงแล้วก็รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำทันที เขาบอกให้เผยเฉียนกลับไปเล่นที่ร้านยา เผยเฉียนย่อมไม่ยินยอม ยื่นมือออกมาทวงค่าตอบแทนที่ตกลงกันไว้แล้ว ซึ่งก็คือเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เสียเหงื่อไปส่วนหนึ่งก็ต้องได้รับเงินหนึ่งอีแปะ เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ต่อให้เฉินผิงอันมารู้ทีหลังก็ไม่มีทางด่านาง ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผลมากเป็นพิเศษ
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย บอกว่าเดี๋ยวจะเพิ่มเงินอีกหนึ่งอีแปะไปในเงินยาสุ้ยของนางก็แล้วกัน เผยเฉียนบอกว่านี่เป็นคนละเรื่องกัน นางไม่ชอบให้คนอื่นติดเงินนาง ไม่อย่างนั้นก็จะต้องคิดบัญชีตามหลักกำไรสามส่วนอย่างที่เว่ยเซี่ยนบอก อีกอย่างติดเงินในวันที่สามสิบของสิ้นปี เจ้าเจิ้งต้าเฟิงยังอยากจะให้ปีหน้ามีชีวิตที่ราบรื่นมั่นคงอีกหรือไม่ ผู้เฒ่าที่ยกเก้าอี้หวายมานั่งเอนหลังอยู่ด้านข้างเห็นด้วยอย่างยิ่ง บอกว่าน้องต้าเฟิง เด็กคนนี้พูดจามีเหตุผล ติดเงินเวลานี้ไม่เป็นมงคลจริงๆ อย่าได้ดูแคลนโชคชะตาของเงินเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญเชียว
เจิ้งต้าเฟิงควักล้วงอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่สามารถเอาเงินเหรียญทองแดงออกมาได้แม้แต่ครึ่งเหรียญ ขณะที่กำลังกลัดกลุ้ม ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดเสนอทางออก บอกให้ขายม้านั่งตัวเล็กให้เขา จากนั้นเขาจะให้เงินเจิ้งต้าเฟิง แล้วเจิ้งต้าเฟิงค่อยเอาเงินให้เผยเฉียนอีกที เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ แค่ม้านั่งเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น วันหน้าค่อยให้เฉินผิงอันทำตัวใหม่ให้ก็แล้วกัน หีบไม้ไผ่ เก้าอี้ไม้ไผ่ ม้านั่งอะไรพวกนั้น เฉินผิงอันมีฝีมือดีมาก แล้วก็ชอบจะเสียเวลาทำเรื่องพวกนี้ด้วย
เผยเฉียนเหลือกตามองบน ชี้ไปที่เจิ้งต้าเฟิงและผู้เฒ่าคนนั้น “พวกเจ้าน่ะ แค่เหรียญทองแดงเหรียญเดียวยังคิดเล็กคิดน้อยกันขนาดนี้ ช่างเถอะ คราวนี้ถือว่าข้ามีน้ำใจช่วยเหลือ ไม่เก็บเงินก็แล้วกัน”
เผยเฉียนเลียนแบบท่าทางของเจิ้งต้าเฟิงในตอนแรก ยื่นฝ่ามือออกมากดลงเบื้องล่างสองที “จำไว้ให้ขึ้นใจ บุญคุณอย่าเอาแต่วางไว้บนปาก”
มองเผยเฉียนที่เดินอาดๆ กลับเข้าไปในตรอก จากนั้นก็เห็นว่านางฝึกวิชาหมัดเดินนิ่งที่ร่างโยกเยกไปมา จู่ๆ ก็นึกสนุกเลยทำท่าตวัดเท้าเตะเลียนแบบหลูป๋ายเซี่ยง นางกระโดดผลุงขึ้น แล้วก็เตะเท้าหมุนเป็นวงได้จริงๆ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเองเวียนหัว ล้มหน้าทิ่มลงไปบนพื้น นางรีบลุกขึ้นยืนทันใด ข่มกลั้นความเจ็บปวดแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เดินแยกเขี้ยวเข้าตรอกไป
ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ใครเป็นผู้อบรมสั่งสอนแม่นางน้อยคนนี้ เฉลียวฉลาดมีไหวพริบยิ่งนัก”
จูเหลี่ยนตอบ “คือลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของนายน้อยข้า ซุกซนนักล่ะ”
เจิ้งต้าเฟิงกุมหมัดยิ้มพูด “ผู้อาวุโส เลื่อมใสมานานๆ”
ผู้เฒ่ากุมหมัดคารวะกลับคืน “มิได้ๆ ฉายาในยุทธภพคือทวนหนึ่งฉื่อ อีกฉายาหนึ่งคือเสี่ยวเฟยเซิง ไม่ทราบว่าน้องต้าเฟิงชื่นชมเลื่อมใสเทพธิดาบนภูเขาคนใดมากที่สุด?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “คือจอมยุทธ์หญิงเฮ้อเหลียนเป่าจูของพรรคหมัดเทพไร้เทียมทาน!”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ดูท่าสายตาของน้องต้าเฟิงจะธรรมดาอย่างยิ่ง”
มรรคาต่างมิอาจร่วมทาง พูดมากหนึ่งประโยคหรือมองนานอีกหน่อยก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ
เจิ้งต้าเฟิงแค่นเสียงเย็น ขยับม้านั่งตัวเล็กของตัวเองออกห่างไปหลายก้าว
ผู้เฒ่าเองก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน ลุกขึ้นขยับเก้าอี้หวายของตัวเองออกไป แล้วถึงได้เอนตัวลงนอนอาบแดดอีกครั้ง
จูเหลี่ยนนั่งอยู่ระหว่างม้านั่งกับเก้าอี้หวาย แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน ตั้งใจอ่านตำราเทพเซียนอย่างเดียว ตำราในมือเล่มนี้มีที่มาไม่ธรรมดา ราคาก็สูง เป็นฉบับจัดพิมพ์ที่ตระกูลเซียนบนภูเขาทำขึ้นมา คนที่อยู่ในภาพวาดสามารถขยับได้
เจิ้งต้าเฟิงทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าเทพธิดาซูเจี้ยแห่งภูเขาตะวันเที่ยงจะตกต่ำเช่นนั้น น่าเสียดายนัก”
ดวงตาผู้เฒ่าเป็นประกาย เพียงแต่นึกรังเกียจสายตาที่ธรรมดาสามัญของเจิ้งต้าเฟิงจึงยังไม่เต็มใจจะพูดด้วย แต่ทว่าในใจก็รู้สึกคันคะเยอ ถึงอย่างไรเทพธิดาซูเจี้ยก็คือหนึ่งในสองคนที่เขาและหนุ่มน้อยชื่นชอบ
เจิ้งต้าเฟิงลูบคลำปลายคาง เอ่ยเนิบช้า “ปีนั้นโชคดีได้พบหน้าเทพธิดาเฮ้อของสำนักโองการเทพหนึ่งครั้ง เทพธิดาสวมกวานเต๋าไว้บนศีรษะ ในมือจูงกวางขาว เดินนวยนาดตรงมา มาย้อนคิดดูแล้ว ตอนนั้นอยู่ห่างจากเทพธิดาแค่เจ็ดแปดก้าวเท่านั้น…”
ผู้เฒ่าอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เบี่ยงตัวหันหน้าไปมองบุรุษมอซอผู้นั้น เอ่ยอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักว่า “น้องต้าเฟิง อันที่จริงจอมยุทธ์เฮ้อเหลียนก็ดีมากเหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงหยิบม้านั่งตัวเล็กขึ้นมา เดินหลังค่อมกลับเข้าไปในตรอกเล็ก
ผู้เฒ่าอึ้งตะลึงอยู่เป็นนาน ก่อนจะกล่าวอย่างเจ็บใจ “น้องต้าเฟิงผู้นี้ ไม่เสียแรงที่เคยพบเห็นโลกกว้างมาก่อน ข้าละอายใจที่สู้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ควรทำตัวเป็นดั่งกบใต้บ่อ รีบร้อนตัดสินเขา ตอนนี้ดีแล้ว ทำให้น้องต้าเฟิงโกรธ ข้ากับเทพธิดาใหญ่เฮ้อก็ยิ่งอยู่ห่างไกลกันไปอีก ไม่อย่างนั้นวันหน้าเมื่อไปถึงพรรคหมัดเทพไร้เทียมทานข้าก็สามารถเอาเรื่องนี้มาเล่าให้คนอื่นฟังได้ ต้องทำให้หนุ่มน้อยผู้นั้นดึงหน้าไว้ไม่อยู่ ต้องยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน!”
จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่ด้านข้างพยักหน้าและตอบรับอย่างขอไปที
ผู้เฒ่าเอนตัวนอนบนม้านั่งหวาย ถอนหายใจ “ดอกท้อบานสะพรั่ง ไม่รู้ว่าบุรุษผู้มีรักคนใดจะสามารถเด็ดหนึ่งดอกมาวางลงบนหัวใจได้”
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น “ประโยคนี้ของผู้อาวุโสพูดได้อย่างมีความรู้มากเลย”
ผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างใจกว้าง “นี่คือประโยคที่หนุ่มน้อยเคยพูด คนผู้นี้มีความรู้ด้านวรรณกรรมดีเยี่ยม แม้ว่าเวลาที่ทะเลาะกับคนอื่น คำพูดคำจาจะหยาบคายไปบ้าง แต่ก็มักจะหลุดคำพูดที่น่าประทับใจเช่นนี้ออกมาโดยบังเอิญเป็นประจำ ไม่ผ่านการขัดเกลา กลมกลืนเป็นธรรมชาติ ไม่อย่างนั้นเหตุใดข้าถึงยินดีเรียกเขาว่าพี่ใหญ่กันเล่า?”
จูเหลี่ยนใช้นิ้วแตะน้ำลายพลิกเปิดหนังสือไปอีกหน้าพลางผงกศีรษะรับ “มีโอกาสต้องไปคารวะทักทายพี่ใหญ่ของผู้อาวุโสสักครั้ง”
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็เอ่ยถามขึ้นว่า “น้องเล็กจู ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ช่วงนี้วันใดที่จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง ต้องการให้พี่ชายช่วยคุ้มกันให้หรือไม่?”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “มีนายน้อยของข้าอยู่ด้วย ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสกังวลใจกับเรื่องนี้”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “นายน้อยของเจ้าเป็นคนมหัศจรรย์จริงๆ”
จูเหลี่ยนปิดหน้าหนังสือ เอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นข้าขอละลาบละล้วงถามสักคำ ผู้อาวุโสใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตหยกดิบของตระกูลเซียนแห่งใดแห่งหนึ่งหรือไม่?”
ผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ขาดอีกแค่นิดเดียว”
แล้วจูเหลี่ยนก็ไม่ถามให้มากความอีก
ถามมากไป รู้ความจริงแล้วกลับจะยิ่งทำลายความสัมพันธ์ สู้ตอนนี้ที่มีอิสระเสรีมากกว่าไม่ได้
เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน ภายใต้การขัดเกลาลับกระบี่ของชูอีกับสืออู่ แท่นสังหารมังกรบนโต๊ะก็เหลือแค่เสี้ยวเล็กๆ ส่วนสุดท้าย
เฉินผิงอันไม่คิดจะประหยัดในด้านนี้ กินแท่นสังหารมังกรชิ้นนี้หมดก็จะเอาแท่นสังหารมังกรชิ้นที่สองที่ใหญ่กว่าออกมา
เจิ้งต้าเฟิงวางม้านั่งตัวเล็กไว้นอกธรณีประตู พอเห็นความเร็วในการ ‘กลืนกิน’ แท่นสังหารมังกรของกระบี่ทั้งสองเล่มแล้ว ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็รู้สึกตื่นตะลึงได้เสมอ เขาจุ๊ปากพูด “บรรพบุรุษน้อยทั้งสองท่านนี้ กินเงินเก่งกว่าสมบัติอาคมจินหลี่บนร่างเจ้าชิ้นนั้นเสียอีก”
เฉินผิงอันถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “เหรียญทองแดงแก่นทองจะไม่ผลิตอีกแล้วหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองภาพงดงามตระการตาที่สะเก็ดไฟแลบปลาบจากสี่ทิศของแท่นสังหารมังกรชิ้นนั้นพลางพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกร่วงลงมาแล้ว ย่อมไม่มีพื้นที่สำหรับการใช้เหรียญทองแดงแก่นทองอีก จะสร้างต่อไปเพื่ออะไร? ต่อให้มอบให้ท่านผู้เฒ่าเปล่าๆ เขายังไม่รับไว้เลย”
เฉินผิงอันถาม “ข้ารู้แค่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองมีค่ามากกว่าเงินฝนธัญพืช แต่มันมีค่าถึงขนาดไหนกันแน่? เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญแลกเป็นเงินฝนธัญพืชได้กี่เหรียญ?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบไม่ตรงคำถาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหรียญทองแดงแก่นทองได้มาอย่างไร? คือการใช้เศษชิ้นส่วนร่างทองของเทพภูเขาและแม่น้ำที่ถูกทำลายมาเป็นวัสดุหลัก บวกกับสิ่งของอื่นๆ ที่ได้มาไม่ง่ายอีกหลายอย่าง ถึงจะสามารถสร้างเหรียญทองแดงแก่นทองสามชนิดอย่างเงินยาเซิ่ง เงินก้งหย่างและเงินอิ๋งชุนได้ โชคชะตาแม่น้ำและภูเขาของราชวงศ์ต้าหลีมั่นคงมาโดยตลอด น้อยนักที่จะมีศาลเถื่อน ดังนั้นการซื้อเหรียญทองแดงแก่นทองจึงมีราคาแพงมากเป็นพิเศษ ทว่าในมือของกองกำลังหรือตระกูลบางแห่งที่สามารถกว้านซื้อเอาเศษร่างทองของพื้นที่ต่างๆ มาได้กลับมีราคาถูกมาก ต้นทุนต่ำน่ะ ตระกูลเซียนบนภูเขาจึงปล้นชิงไปทั่วทิศ ศาลเถื่อนมีไม่มากพอ อย่างมากก็แค่ข่มราชวงศ์บนโลกมนุษย์บางแห่ง บังคับให้ฮ่องเต้เป็นฝ่ายปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง แอบลดระดับขั้นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการสืบทอดที่ถูกต้องให้กลายมาเป็นศาลเถื่อน แค่ใช้วิธีการเข่นฆ่าสังหารที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบเท่านั้น หากกษัตริย์ของราชวงศ์ใดไม่ยอมก้มหัวให้ก็มีวิธีจัดการ กองกำลังตระกูลเซียนจะสมัครรวบรวมพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นพวกเดนตายบางส่วนมา ยืมดาบฆ่าคน ใช้มรรคกถานอกรีตหรือสมบัติอาคมอาวุธวิเศษที่ระดับขั้นไม่สูงมาแลกเปลี่ยนเป็นเศษชิ้นส่วนของร่างทอง เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ได้มาจากคาวเลือดเช่นนี้ ต้นทุนอาจเทียบกับเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และหากฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลีคิดจะหาซื้อมาจากข้างนอก เกรงว่าเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งเหรียญก็มีค่าเท่ากับเงินฝนธัญพืชเจ็ดแปดเหรียญเลยทีเดียว”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วตอนนี้บนโลกยังมีเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่เหลือเกินมาบ้างไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงเลิกคิ้ว พูดเนิบช้า “บอกได้ยาก เวลานี้ใครจะโง่เอาเงินเหรียญทองแดงแก่นทองมาขายกันล่ะ ทุกคนต่างก็รู้ว่ามันคือสิ่งของที่จำเป็นบนเส้นทางของการฝึกตน ต่อให้เป็นคนที่ทำธุรกิจไม่เป็นมากแค่ไหนก็ยังรู้จักจะตั้งราคาสูงเทียมฟ้า ใครอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ช่าง”
เฉินผิงอันถอนหายใจ รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาก็คือคนผู้นั้นที่จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องการเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง อีกทั้งยังไม่ได้ต้องการแค่ไม่กี่เหรียญ ต่อให้เป็นหลายถุงก็ยังไม่รังเกียจว่ามากเกินไป
ชีวิตของคนทั้งสี่ในม้วนภาพวาด การซ่อมแซมและเลื่อนระดับขั้นของชุดคลุมอาคมจินหลี่ รวมไปถึงการหล่อหลอมซ่อมแซมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของธาตุทองในอนาคต มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าต้องเผาผลาญเงินเหรียญทองแดงแก่นทองจำนวนมาก ประโยชน์ของมันคล้ายคลึงกับแผ่นหยกที่ก่อตัวขึ้นจากแก่นของสายน้ำแห่งวังมังกรแผ่นนั้น
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยสั่งสอน “ช่วงปีใหม่ ถอนหายใจให้น้อยๆ ลงหน่อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
……
ต่อให้ลูกศิษย์ของสำนักใบถงจะทนมาได้จนถึงวันที่สามสิบของสิ้นปีนี้ แต่ทุกคนต่างก็ค้นพบด้วยความเศร้ารันทดว่า ไม่มีวี่แววว่าพวกเขาจะอดทนผ่านช่วงเวลายากลำบากนี้ไปได้เลย
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นยังคงใช้ปราณกระบี่ที่เฉียบคมของทั้งร่างทำลายโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำในรัศมีพันลี้ของสำนักใบถงให้แหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย
ทำลายเป็นเรื่องง่าย แต่ผู้ฝึกตนโอสถทองและก่อกำเนิดที่ตามก้นผู้ฝึกกระบี่ต้อยๆ คอยรวบรวมเอาปราณวิญญาณมาชดเชยซ่อมแซมและสร้างรากภูเขาเส้นทางสายน้ำที่ถูกทำลายไปจนสิ้นขึ้นมาใหม่ กลับเป็นเรื่องที่ยากอย่างถึงที่สุด เว้นเสียจากว่าเซียนดินเหล่านี้จะเต็มใจเผาผลาญตบะของตัวเองถึงจะพอเพิ่มความเร็ว ป้องกันไม่ให้ปราณวิญญาณแห่งแม่น้ำและภูเขาไหลออกไปข้างนอกอย่างต่อเนื่องได้ ทว่าพวกเซียนดินที่ได้รับการบันทึกชื่อไว้ในเทียบวงศ์ตระกูลของสำนัก หากตบะเกิดไม่มั่นคงขึ้นมาก็จะไปชักนำโชคชะตาของสำนักที่มองไม่เห็น
เดิมทีสำนักใบถงเป็นถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเป็นอันดับหนึ่งของทวีป แต่เมื่อต้องมาเจอกับวงจรเลวร้ายวันแล้ววันเล่า ต่อให้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกที่พรสวรรค์บางเบามากที่สุดซึ่งเข้าสำนักมาทีหลังก็ยังตระหนักได้ว่าสำนักใบถงกำลังเผชิญกับด่านยากที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์พันปี
แต่เรื่องที่ทำให้พวกเขาสงสัยไม่เข้าใจมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่า นอกจากเจ้าสำนักที่ปรากฏตัวตอนแรกสุด บ้างก็ออกมาเข่นฆ่า บ้างก็ออกมาขัดขวางห้ามปรามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแล้ว ตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งสำหรับในใจผู้ฝึกตนสำนักใบถงแล้วสูงส่งยิ่งกว่าแผ่นฟ้ากลับไม่เคยปรากฏตัวแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ให้ความสนใจการท้าทายจากผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเลย ถึงขั้นที่ว่าสำนักตกอยู่ในอันตราย รากฐานสั่นคลอน บรรพจารย์ซึ่งมีศักยภาพในการสยบผู้ฝึกลมปราณของทั้งทวีปกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหว
แต่ตอนนี้ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ของสำนักใบถงต่างก็ยังยินดีจะเชื่อว่าหากบุรพาจารย์ไม่เคลื่อนไหวก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่หากเคลื่อนไหวขึ้นมาต้องโจมตีปลิดชีพได้ในครั้งเดียว ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วคนนั้นถูกกำหนดมาแล้วว่าจะกำเริบเสิบสานได้อีกไม่กี่วัน
ภูเขาใหญ่ ราชวงศ์และชนชั้นสูงของใบถงทวีปแทบทั้งหมดล้วนกำลังจับตามองความเคลื่อนไหวของสำนักใบถง
—–