กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 370.4 พบเจอและแยกย้าย
เมื่อเจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยกเดินอาดๆ มาชมความครึกครื้นไปรอบหนึ่ง ยิ่งนานก็ยิ่งมีผู้ฝึกตนเซียนดินจากสถานที่ต่างๆ ที่พยายามปกปิดลมปราณของตัวเองจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มาชมเหตุการณ์อยู่ไกลๆ ร่ายวิชาเทพมองแม่น้ำและภูเขา ต่างก็พากันเอาความสามารถในการพิทักษ์ตระกูลของตัวเองออกมาตรวจสอบเบาะแสต่างๆ ซึ่งรวมถึงการโคจรของฮวงจุ้ย ความตื้นลึกของโชคชะตา ความหนาบางของโชควาสนา ฯลฯ แรกเริ่มใครก็ไม่กล้าเชื่อว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งจะสามารถส่งผลกระทบกับแนวโน้มการดำเนินไปของปราณวิญญาณสามสี่ในสิบส่วนของยักษ์ใหญ่อย่างสำนักใบถงแห่งนี้ได้
การเข่นฆ่าบนสนามรบของราชวงศ์ใต้ภูเขา สองกองทัพประจัญบานกัน หากมีฝ่ายหนึ่ง ‘บาดเจ็บและตาย’ อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็เท่ากับพ่ายแพ้ยับเยิน
ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่ได้ฆ่าคน
นอกจากฝ่าม่านอาคมและวงล้อมสังหารแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ก็แทบไม่เคยปล่อยกระบี่ออกมาอีก
แต่ต่อให้เป็นเทพเซียนพสุธาที่สายตาย่ำแย่แค่ไหนก็ยังมองออกว่าจิงเสินชี่ของลูกศิษย์สำนักใบถงเริ่มดิ่งลงเนินกันแล้ว
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ลูกศิษย์สำนักใบถงที่ไม่ว่าจะฝึกตนบนภูเขาก็ดี หรือลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ก็ช่าง ไม่ว่าจะใช้อำนาจรังแกคนอื่นหรือพุ่งเข้าหาหายนะด้วยตัวเองก็ล้วนมีพลังที่กร้าวแกร่งขุมหนึ่งประคับประคองจิตแห่งเต๋าเอาไว้ เป็นเหตุให้เมื่อเทียบกับการเดินทางขึ้นเขาของผู้ฝึกลมปราณสำนักอื่นแล้ว ลูกศิษย์สำนักใบถงสามารถบุกรุดหน้าไปได้อย่างราบรื่นมากที่สุด
เมื่อเจอกับความขัดแย้ง ผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตสูงกว่าย่อมได้เปรียบ แต่ขอแค่บอกชื่อสำนักใบถงออกไปก็จะสามารถหมิ่นเกียรติผู้ฝึกลมปราณของภูเขาลูกอื่นได้อย่างกำเริบเสิบสาน ห้าวหาญฮึกเหิม ซึ่งเรื่องพวกนี้ถูกมองเป็นเรื่องปกติ เมื่อเจอหรือได้ยินว่าลูกศิษย์สำนักเดียวกันถูกรังแก ไม่พูดไม่จาก็ขี่กระบี่หรือไม่ก็ทะยานลมพุ่งไปไกลเป็นพันลี้ เงื้อหนึ่งกระบี่ฟันศีรษะของศัตรู
ลูกศิษย์บางคนของสำนักใบถงที่นิสัยแข็งกร้าวหัวรุนแรง เวลาเจอกับช่วงเวลาแห่งความเป็นตายจะยินดีแลกชีวิตกับผู้ฝึกตนที่เป็นศัตรู ยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย คนที่ยกยิ้มกระโจนเข้าสู่ความตาย ในประศาสตร์มีมากจนนับไม่ถ้วน
หากวันแรกที่ผู้ฝึกกระบี่บุกเข้ามาในภูเขา ตู้เม่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์หรือเจ้าสำนักออกคำสั่งแค่คำเดียว ลูกศิษย์ที่ยินดีตายเพื่อสำนักใบถงอย่างกล้าหาญ ไม่กล้าพูดว่าผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาทั้งหมดในรัศมีพันลี้ แต่อย่างน้อยก็ต้องมีคนถึงครึ่งหนึ่งที่มองความตายดั่งการกลับคืนสู่มาตุภูมิ พร้อมที่จะเป็นแมงเม่าพากันบินเข้ากองไฟอย่างไม่ขาดสายโดยที่ไม่เสียดายชีวิต
หากผู้ฝึกลมปราณที่มีจิตใจอันฮึกเหิมทำเช่นนี้เมื่อไหร่ ทุกคนคงคิดว่าตนเองตายอย่างมีความหมาย คนที่ผิดก็คือผู้ฝึกกระบี่คนนั้น
แต่เมื่อมาถึงวันนี้ วันที่สามสิบซึ่งเป็นวันสิ้นปี
ส่วนลึกในใจของทุกคน นอกจากหวังว่าบรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ซึ่งมีขอบเขตบินทะยานจะปรากฎตัวออกมาสังหารศัตรูแล้ว ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความสั่นคลอนไม่มั่นคง สำนักของตนไปทำอะไรไว้ข้างนอกกันแน่ ถึงได้ไปชักนำเซียนกระบี่ที่วางอำนาจบีบคั้นผู้คน แต่กลับไม่สังหารคนพร่ำเพื่อผู้นี้มา ถึงบีบให้บรรพจารย์ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์อู๋ถงปิดประตูไม่ต้อนรับแขก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่สำนักใบถงของพวกเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้? อยู่ในถิ่นของตัวเอง จะไม่ใช้เหตุผลก็ไม่ได้งั้นหรือ? แม้แต่การใช้อำนาจข่มคนอื่นที่เชี่ยวชาญมากที่สุดก็ทำไม่ได้แล้ว?
อันที่จริงเจียงซ่างเจินไม่ได้จากไปไหนไกล เขากำลังดื่มสุราเลิศรสอยู่กับผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งห่างไปไกลพันลี้ ฝ่ายหลังส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “กระดูกสันหลังของสำนักใบถงถือว่ายุบลงมาเกินครึ่งแล้ว”
เจียงซ่างเจินราวกับว่าไม่ใช่ประมุขสกุลเจียงสำนักกุยหยก แต่เป็นผู้ถวายงานของสำนักใบถง เขาหัวเราะหึหึ “อย่าพูดอย่างนี้สิ จะดีจะชั่วตู้เม่าก็เป็นถึงขอบเขตบินทะยาน ขอแค่จัดการกับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นี้ได้ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตอีกเสี้ยวหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจได้รับโชคหลังหายนะ ชื่อเสียงไต่ทะยานขึ้นพรวดพราด…”
แล้วจู่ๆ เจียงซ่างเจินก็หัวเราะก๊าก “จัดการกะผีน่ะสิ เจ้าตะพาบเฒ่าตู้เม่าผู้นี้ถือว่าดวงซวยสิบแปดชาติแล้ว เจ้าสำนักผู้เฒ่าของข้าส่งข่าวมาบอกว่า ตู้เม่ากำลังดวงตก ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าดูเหมือนว่าเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของเขาจะถูกคนทำลายจนระเบิดแตก จิตหยางกายนอกกายก็กลายไปเป็นคราบร่างเซียนที่อยู่ในกระเป๋าของคนอื่น ตอนนี้คือขอบเขตเซียนเหรินที่ขอบเขตไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก…คราวนี้ข้าผู้อาวุโสรวยแล้ว เจ้าสำนักผู้เฒ่าดีใจมาก บอกว่าในอนาคตอีกห้าร้อยปี สำนักจะลดส่วนแบ่งในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไปอีกหนึ่งส่วน…โธ่เอ๋ย เซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่ว เซียนกระบี่น้อยเฉิน น่าเสียดายที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองไม่อยู่ที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าเจียงซ่างเจินจะคุกเข่าโขกศีรษะให้ผู้มีพระคุณใหญ่ทั้งสองท่านอย่างพวกเจ้าห้าร้อยครั้งเพื่อแสดงการขอบคุณเดี๋ยวนี้เลย นี่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ…”
เจียงซ่างเจินหัวเราะอย่างบ้าคลั่งพลางใช้หมัดทุบโต๊ะหิน มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นได้ถึงระดับเขานี่ อันที่จริงก็มีให้เห็นได้ไม่บ่อยนัก
ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่มีผมสีขาวโพลน ใบหน้าแดงปลั่งอิ่มเอิบถามเสียงเบา “ขอท่านถามเจียง สำนักใบถงควรจะรับมืออย่างไร?”
เจียงซ่างเจินยื่นมือมาเช็ดน้ำตาตรงหางตา โบกมือกล่าว “เจ้าให้ข้าหัวเราะอีกสักพัก หยุดไม่ได้จริงๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
เขากับเจียงซ่างเจินและลู่ฝ่างคือเพื่อนเก่าที่รู้จักกันด่านล่างภูเขาเมื่อนานมาแล้ว
หลังจากหยุดเสียงหัวเราะนั้นลงอย่างยากลำบาก เจียงซ่างเจินก็กล่าวว่า “ยังจะทำอะไรได้อีก ตู้เม่าได้แต่เดิมพันสุดตัวเท่านั้น เหตุผลของเขาย่อมเอาชนะเซียนกระบี่ผู้นั้นไม่ได้ ตีกัน? จะตีอย่างไร อาศัยขอบเขตหยกดิบไม่กี่คนนั่นน่ะหรือ? พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ขอแค่จั่วโย่วตัดสินใจจะเล่นงานสำนักใบถงให้ถึงที่สุด อย่าว่าแต่ปราณวิญญาณสามสี่ในสิบส่วนที่ปั่นป่วนเลย หากให้เวลาจั่วโย่วอีกสักหนึ่งปี สำนักใบถงก็รอจบเห่ได้เลย หากเปลี่ยนเป็นในอดีต ต่อให้ภูเขาลูกนี้ไม่มีขอบเขตบินทะยานอย่างตู้เม่า แต่สร้างคลื่นมรสุมใหญ่ขนาดนี้ สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อก็น่าจะปรากฏตัวแล้ว ทว่าครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาไม่มีทางออกมาช่วยทวงความยุติธรรมให้ นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าสำนักใบถงเป็นฝ่ายทำผิดก่อน และต่อให้จั่วโย่วจะบุกเข้ามาในอาณาเขตของสำนักใบถงก็ยังไม่เคยล้ำเส้น การกระทำของเขายึดหลักเหตุผล นี่ทำให้สำนักศึกษาของใบถงทวีป หรือแม้แต่สถานศึกษาในแผ่นดินกลางก็ยังไม่อาจทำอะไรเขาได้”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “คำว่ามีดที่บัณฑิตใช้ฆ่าคนไม่เปื้อนเลือดก็เป็นเช่นนี้เอง”
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองยังทิศทางของสำนักใบถงที่อยู่ทางเหนือ ต่อให้อยู่ห่างกันนับพันลี้ แต่ก็ยังพอมองเห็นถึงสัญญาณว่าโชคชะตาแม่น้ำภูเขาของพื้นที่แถบนั้นเริ่มเปลี่ยนจากใสมาเป็นขุ่นมัวได้ลางๆ นอกจากเจียงซ่างเจินจะกลัวว่าใต้หล้ายังวุ่นวายไม่พอแล้ว เขาก็ยังย้อนทบทวนตัวเองอย่างหวาดหวั่น แล้วก็อดเกิดความรู้สึกกระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกเศร้าอาลัยขึ้นมานิดๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เขากล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “นอกจากตู้เม่าจะสูบน้ำให้แห้งแล้วจับปลา กวาดเอาปราณวิญญาณทั้งหมดในถ้ำสวรรค์อู๋ถงมาหมดในรวดเดียว เพื่อช่วยให้ตัวเองบินทะยานไปได้แล้ว เขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก ขอแค่บินทะยานได้สำเร็จ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ยังได้คุณความชอบติดกาย ตามกฎข้อที่หลี่เซิ่งกำหนดเอาไว้ สำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ต้องช่วยเขาดูแลสำนักใบถงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ถึงเวลานั้นเว้นเสียแต่ว่าจั่วโย่วจะยินดีงัดข้อกับระบบสืบทอดดั้งเดิมทั้งหมดของลัทธิขงจื๊อแล้ว ก็ได้แต่หยุดเมื่อถึงเวลาสมควรเท่านั้น”
เจียงซ่างเจินประนมสิบนิ้วชูขึ้นสูงเหนือหัว หลับตาขอพร “เซียนกระบี่จั่วโย่ว นายท่านจั่ว ขอร้องท่านผู้อาวุโสช่วยมานะบากบั่นต่อไปไม่ย่อท้อ จะต้องเล่นงานเจ้าเต่าตู้เม่านั่นให้ตายให้จงได้!”
เซียนกระบี่ก่อกำเนิดผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้ม เจ้าตู้เม่ามองเซียนกระบี่ทุกคนในโลกเป็นศัตรูหมดไม่ใช่หรือ? ชอบเหยียบย่ำเซียนกระบี่ที่โชคร้ายตายด้วยน้ำมือของเจ้ามากนักไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เป็นอย่างไร แน่จริงก็ลองยื่นหัวออกมาจากกระดองเต่าของเจ้าดูสิ
ท่ามกลางแสงสนธยาในวันที่สามสิบของสิ้นปีวันนี้ แรกเริ่มถ้ำสวรรค์อู๋ถงที่สำนักใบถงควบคุมมายาวนานหลายปีแห่งนั้นได้เผยร่างจริงส่วนหนึ่งบนยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษ ประหนึ่งภาพมายาอันงดงาม จากนั้นก็ล่องลอยไม่อยู่นิ่ง สุดท้ายแตกออกดังโพล๊ะ เศษซากของถ้ำสวรรค์เป็นดั่งดาวตกที่กระจายไปตามมุมต่างๆ ของใต้หล้าไพศาล บ้างก็หายไปโดยตรง บ้างก็แหวกทะลุความว่างเปล่าออกไป ไม่รู้ว่าหายไปไหน
จากนั้นก็เป็นเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของตู้เม่าที่ค่อยๆ สลายหายไปตามลม
มีเพียงกายธรรมร่างทองที่จำแลงมาจากจิตหยินเท่านั้นที่ดึงดูดเอาปราณวิญญาณส่วนใหญ่ของถ้ำสวรรค์อู๋ถงไปจึงขยายใหญ่เท่าขุนเขา มากอำนาจบารมี กายธรรมร่างทองนี้สูงหลายพันจั้ง เท้าสองข้างเหยียบอยู่บนยอดเขาของภูเขาบรรพบุรุษ แม้ว่าจะมีขนาดอยู่ในขอบเขตของกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกลมปราณ แต่เรือนกายกลับมีประกายแสงห้าสีเปล่งแวววาว เปลี่ยนมาเป็นลึกลับเกินจะหยั่ง กายธรรมยื่นแขนสองข้างออกมา นิ้วทั้งห้าของสองฝ่ามือกางออก ชูขึ้นเหนือศีรษะ จากนั้นก็กระชากหนึ่งครั้งคล้ายกระชากม่านฟ้ามุมหนึ่งของใต้หล้าไพศาลลงมา
จุดที่ม่านฟ้าถูกฉีกเกิดเสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น สายฟ้าสีม่วงแลบแปลบปลาบ เรือนกายใหญ่โตดุจขุนเขารูปแบบต่างๆ พุ่งวูบวาบ ประหนึ่งโครงกระดูกของเจียวหลงที่ส่ายสะบัดหางว่องไวดุจสายฟ้าแลบ แล้วก็มีโครงกระดูกขนาดใหญ่ยักษ์สีทองที่นั่งขัดสมาธิอยู่ มีกรงเล็บมหึมาสีชาดข้างหนึ่งพยายามจะกระชากรอยแยกของม่านฟ้าให้ยิ่งขยายใหญ่…ทุกภาพล้วนเหมือนกันโดยไม่มีข้อยกเว้น คือเป็นปรากฎการณ์น่าหวาดกลัวที่ไม่เคยมีปรากฎในใต้หล้าไพศาลมาก่อน
เซียนกระบี่จั่วโย่ว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือกระบี่วางขวางไว้เบื้องหน้า ทะยานขึ้นไปกลางอากาศช้าๆ
เมื่อเทียบกับกายธรรมแก้วห้าสีที่กว่าตู้เม่าจะสร้างขึ้นมาได้ก็ต้องสละกายหยาบ ใช้จิตหยินกลืนกินปราณวิญญาณของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งหนึ่งเกือบหมดแล้ว ร่างและกระบี่ของจั่วโย่วก็เล็กราวกับเมล็ดงา
จั่วโย่วกับหนึ่งกระบี่พุ่งผ่านไปในแนวขวางอย่างเชื่องช้า
เพียงแค่นี้เท่านั้น
จั่วโย่วเข้าใจมาตลอดว่า จุดสูงสุดของเวทกระบี่ในโลกมนุษย์อยู่แค่ที่สองกระบี่เท่านั้น กระบี่หนึ่งในนั้นคือหนึ่งกระบี่ที่ฟันผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอไปอย่างไม่ใส่ใจซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของบัณฑิตแห่งแผ่นดินกลาง
อีกหนึ่งกระบี่นั้นเก็บอยู่ในฝักกระบี่ของตนมาตลอดเวลา
ซึ่งก็คือครั้งนี้
ครู่หนึ่งต่อมา
กายธรรมแก้วใหญ่ยักษ์ที่บินทะยานสูงจากพื้นไปหลายพันจั้งแล้ว
‘กึ่งกลางเอว’ ของกายธรรมที่ใหญ่โตดุจขุนเขาปรากฏเส้นสีขาวหิมะที่บางมากจนสังเกตไม่เห็น บางจนเหมือนกับผมเส้นหนึ่งของหญิงสาวบนโลกมนุษย์
ในขณะที่ขยับเข้าไปใกล้ม่านฟ้ามากขึ้นทุกขณะ เอวกลับขาดกลาง ร่างกายแก้วใสห้าสีถูกฟันออกเป็นสองท่อน ร่างครึ่งบนยังคงทะยานสูงขึ้นไปอย่างเดือดดาลและเศร้าใจ ยื่นมือไปพยายามกำขอบร่องของม่านฟ้าที่ม้วนงอ คิดจะปีนป่ายขึ้นไป ส่วนกายท่อนล่างระเบิดแตกดังปัง ปราณวิญญาณกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง และยังมีวัตถุที่มีลักษณะเป็นแก้วใสอีกสิบกว่าชิ้นซึ่งคราบร่างบินทะยานทิ้งไว้สาดกระเซ็นไปสี่ด้านแปดทิศ กลายเป็นโชควาสนาบนเส้นทางการฝึกตนของคนอื่น
จั่วโย่วเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก
เทพร่างแก้วใสที่เหลือเพียงท่อนบนร่วงกลับลงมาบนพื้นดินของใต้หล้าไพศาล
ประหนึ่งดาวตกที่พร่างพราวที่สุดซึ่งลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
จั่วโย่วเงยหน้ามองม่านฟ้าที่ยังไม่ประกบปิดเข้าหากันแล้วจึงถอนสายตากลับมา ก่อนจะกลายร่างเป็นรุ้งยาวที่พุ่งไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างใบถงทวีปและแจกันสมบัติทวีป
ออกทะเลมาได้ไม่นานเท่าไหร่ จั่วโย่วก็หยุดชะงัก
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่บินทะยานจากไป?”
จั่วโย่วเงียบงันไม่ตอบ
คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่สี่ห้าก้าว
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือชี้ไปยังรอยแยกม่านฟ้าที่ตู้เม่าฝืนกระชากเอาไว้ตอนบินทะยานแล้วคำรามอย่างเดือดดาล “ทำไมไม่ฉวยโอกาสไปจากใต้หล้าแห่งนี้?! หรือเจ้าต้องการจะพิสูจน์คำพูดระยำประโยคนั้น ต้องการให้ ‘จั่วโย่วเป็นคนตาย’ ไปจริงๆ?!”
จั่วโย่วก้มหน้าลงต่ำ
คราวนี้ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้กระโดดตบหัวของเขา เพียงกล่าวอย่างห่อเหี่ยวว่า “ไปเถอะ รู้ว่าเจ้าอยากไปภูเขาห้อยหัว อยากไปกำแพงเมืองปราณกระบี่มาโดยตลอด ไปเถอะๆ ฝนจะตก สตรีจะแต่งงาน ลูกศิษย์จะทำให้อาจารย์เสียใจล้วนขัดขวางไม่อยู่”
จั่วโย่วกุมหมัดคารวะ “ลูกศิษย์จั่วโย่ว กราบลาท่านอาจารย์!”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ พูดไม่ออก
จั่วโย่วหมุนกายกลับหลังแล้วก็คล้ายจะยังตัดใจไม่ได้ จึงไม่ได้กลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป เพียงแค่ก้าวเดินไปทีละก้าว
จั่วโย่วกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็กที่อาจารย์รับมา ไม่เลวเลย”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปๆๆ ไสหัวไป”
ซิ่วไฉเฒ่าเองก็หมุนตัวกลับ อาจารย์และลูกศิษย์สองคนจึงหันหลังให้กันอย่างนี้ คนหนึ่งยืนอยู่ที่เดิม อีกคนหนึ่งเดินจากไปไกล
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเกาหัว ราวกับนึกเรื่องมากมายในอดีตขึ้นมาได้ ตอนนั้นตนยังเป็นแค่ซิ่วไฉยากจน ชื่อเสียงไม่โด่งดัง ดังนั้นชุยฉานลูกศิษย์คนแรกที่รับมาคือเด็กจากครอบครัวคนมีเงิน สองชายแขนเสื้อของซิ่วไฉยากจนมีแต่ลมเย็น เป็นเหตุให้กระเป๋าเงินฟีบแบน จากนั้นลูกศิษย์คนที่สองและลูกศิษย์คนที่สามจึงไม่ใช่คนมีเงินอะไร อันที่จริงตอนนั้นลูกศิษย์ทั้งสามคนสนิทกันมาก เขาที่เป็นอาจารย์จึงสบายใจที่สุด ภายหลัง แต่ละคนต่างก็เติบใหญ่
ซิ่วไฉเฒ่าหันหลังให้กับลูกศิษย์ที่แท้จริงแล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ทำตัวสง่างามสักเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ก็คลี่ยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ “วันหน้าไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วต้องสง่างามให้ได้นะ”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย ผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นอีกเบาๆ ว่า “จั่วโย่ว อันที่จริงเจ้าเรียนกระบี่ได้ดี แต่เรียนหนังสือได้ดียิ่งกว่า”
ผู้ฝึกกระบี่ก้าวยาวๆ จากไป เพียงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ในโลกมนุษย์อันวุ่นวายที่เขาไม่ชอบที่สุดแห่งนี้ว่า “เพราะอาจารย์สอนมาดี”
—–