กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 373.1 เจี้ยนเซียนอยู่ด้านหลัง
วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง เทศกาลหยวนเซียว
ทุกครอบครัวในนครมังกรเฒ่าแขวนโคมไฟติดกระดาษหลากสี ทั่วตรอกเล็กถนนใหญ่มีคนสัญจรไม่ขาดสาย ตามประเพณีดั้งเดิม แซ่ใหญ่ทั้งห้าต่างก็ต้องทำโคมไฟมังกรเพลิงตัวหนึ่งขึ้นมา ยกแบกเดินไปบนถนน หากมองนครที่ร่ำรวยที่สุดของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ลงมาจากทะเลเมฆก็จะพบว่ามีมังกรไฟห้าตัวเลื้อยอยู่บนเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้แน่นอน
เฉินผิงอันบอกให้คนทั้งสี่ในภาพวาดพาเผยเฉียนออกไปดูโคมไฟ เทพหยินแซ่จ้าวตามไปด้านหลังอย่างลับๆ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ส่วนเขากับเจิ้งต้าเฟิงอยู่เฝ้าร้านยา คนทั้งสองยืนอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน มีเหล้าอยู่หนึ่งกา จอกเหล้าสีขาวใบเล็กที่บางราวกับขนนกสองใบ กับแกล้มจานเล็กๆ สองสามจาน ดื่มเหล้าพลางคุยกันไป
เจิ้งต้าเฟิงมักจะมีกฎประหลาดเสมอ ก่อนจะดื่มเหล้า ไม่รู้ว่าเขาไปหากิ่งหลิวกิ่งหยางมาจากไหน เอามาปักไว้บนประตูใหญ่ของร้านยาฮุยเฉิน และยังวางตะเกียบกับชามชุดหนึ่งไว้นอกธรณีประตู
เฉินผิงอันชำเลืองมองไปทางธรณีประตู เอ่ยถามว่า “เป็นการแสดงความเคารพเทพเทวดา หรือเอามาวางไว้เซ่นไหว้พวกผีเร่ร่อนที่ผ่านทางมา?”
เจิ้งต้าเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่กฎที่ผู้เฒ่าถ่ายทอดมาให้เท่านั้น รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านผู้เฒ่าไม่เคยอธิบายให้ฟัง พวกเราที่เป็นลูกศิษย์แค่ปฏิบัติตามก็พอ ในนครมังกรเฒ่าแห่งนี้ไม่มีภูตผีปีศาจอะไรทั้งสิ้น มีผู้ฝึกลมปราณรวมตัวกันอยู่มากมายขนาดนี้ พลังหยางโชติช่วงเกินไป ต่อให้มีแมวเล็กหมาน้อยสองสามตัว ในร้านยามีเทพหยินอย่างเหล่าจ้าวอยู่ พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ พวกภูตผีน่ะ หากไม่รวมถึงพวกผีร้ายที่คลุ้มคลั่งเสียสติ พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจกฎระเบียบและรู้มารยาทมากกว่ามนุษย์เราเสียอีก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ จิบเหล้าหนึ่งคำ ยังคงเป็นเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านส่งมาให้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะไปหาฟ่านจวิ้นเม่าให้นางช่วย จะขึ้นไปหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นแรกบนทะเลเมฆ หากทำสำเร็จก็จะออกจากนครมังกรเฒ่า เดินทางขึ้นเหนือ แม้ว่าท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งจะบอกแล้วว่าหลังจากนี้อยากไปไหนก็ไป ไม่มีข้อห้ามอะไร แต่ข้าคิดดูแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไรที่จำเป็นต้องทำ ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามคำบอกแรกเริ่มสุดของผู้อาวุโสหยาง ยังไม่กลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก่อนชั่วคราว ข้าน่าจะไปเยือนสถานที่สามสี่แห่งของแจกันสมบัติทวีป คาดว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งปีกว่า เดินทางไปที่เหล่านี้ครบหมดก็น่าจะกลับไปได้พอดี”
เจิ้งต้าเฟิงยืนเอนพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปทางตรอกเล็กที่อยู่นอกประตู ถามชวนคุย “เคยคิดจะก่อตั้งสำนักที่เขตการปกครองหลงเฉวียนบ้างไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก่อสำนักตั้งพรรคยุ่งยากจะตายไป แค่ดูจากการกระทำแต่ละอย่างของช่างหร่วนก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้ว ยากนัก อีกอย่างข้าจะเอาคุณสมบัติที่ไหนมาตั้งสำนัก”
เจิ้งต้าเฟิงซดเหล้าดังซวบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม แค่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเกือบครึ่งจอกเท่านั้น แต่เขาทำราวกับว่าดื่มสุราเลิศรสหลายไหจนเมามายอย่างไรอย่างนั้น เขาพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “หากสามารถเก็บภูเขาใหญ่แต่ละลูกแถบตะวันตกของเขตการปกครองกลับมาได้ ได้ครอบครองภูเขาสิบกว่าลูกที่เชื่อมโยงติดกันนี้ ก็มีรากฐานมากพอให้ก่อตั้งสำนักเซียนแล้ว เพียงแต่ว่าคิดจะให้กองกำลังเหล่านั้นคายเนื้อที่อยู่ในปากออกมาย่อมไม่ง่าย ก่อนหน้านี้ต้าหลีเพียงแค่ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลเซียนบนภูเขาและชนชั้นสูงในราชสำนักเหล่านี้ถึงได้ให้ราคาต่ำขนาดนั้น หากเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กับหร่วนฉง เกรงว่าแม้แต่ภูเขาเจินจูก็คงซื้อมาไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภูเขาลั่วพั่วเลย”
เฉินผิงอันเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างยิ่ง
แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูจะไม่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งโลก ทว่าเมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่เหลืออีกสามสิบห้าแห่ง โดยทั่วไปแล้วหากพวกเซียนดินโอสถทองก่อกำเนิดคิดจะครอบครองภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง สร้างกระท่อมฝึกตน บุกเบิกพื้นที่สร้างจวน ก็ถือเป็นเรื่องงดงามใหญ่เทียมฟ้าที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันแล้ว
แม้ปากของเฉินผิงอันจะบอกว่าการตั้งสำนักเป็นเรื่องยาก แต่ส่วนลึกในหัวใจกลับหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีวันนั้น ก็เหมือนกับตอนนั้นที่เขาพูดคุยกับลู่ไถในป้อมอินทรีบิน เขาถึงขั้นคิดมาไว้นานแล้วว่าบนภูเขาของตนควรจะมีใครและเรื่องราวแบบใดอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเหตุใดเฉินผิงอันถึงต้องถามเทียนจวินผู้เฒ่าของภูเขาไท่ผิงล่ะว่า ค่ายกลปกป้องภูเขาชุดหนึ่งต้องใช้เงินเทพเซียนเท่าไหร่? ได้ยินจงขุยเล่าให้ฟังว่าเทียนจวินผู้เฒ่าพิทักษ์ภูเขาไท่ผิง เผยกายธรรมร่างทอง ในมือถือกระจกจันทร์กระจ่าง ควบคุมสามกระบี่ให้ไล่ฆ่าวานรขาวสะพายกระบี่ไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ เฉินผิงอันหรือจะไม่ปรารถนาให้ตัวเองเป็นอย่างนั้นได้บ้าง?
ผู้เฒ่าต่างถิ่นที่กลายเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของร้านยาฮุยเฉินพลันปรากฎตัว เขาเดินยิ้มตาหยีข้ามธรณีประตูเข้ามา มาถึงก็เอ่ยเข้าประเด็นว่า “เฉินผิงอัน ดูจากท่าทางเจ้าคงจะใกล้ไปจากนครมังกรเฒ่าแล้วสินะ? ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับเจ้าหน่อย”
เฉินผิงอันยืนตัวตรง วางจอกเหล้าและตะเกียบลง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสเชิญพูด”
ผู้เฒ่าทำท่าบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันดื่มเหล้ากินกับแกล้มต่อได้ตามสบาย เขาเดินไปข้างโต๊ะคิดเงิน ใช้นิ้วเอื้อมไปหยิบถั่วลิสงคั่วน้ำมันส่งเข้าปาก เงียบงันอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “อาจจะทำให้คนลำบากใจสักหน่อย แล้วก็อาจจะละลาบละล้วงอยู่บ้าง แต่เรื่องของโชควาสนา การพบเจอการแยกจากไม่มีอะไรแน่นอนเหมือนจอกแหนลอยไปตามกระแสน้ำ วันนี้พลาดไปก็อาจจะพลาดไปตลอดชีวิต จะหดหัวยื่นหัวล้วนเจอหนึ่งดาบ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอพูดตามตรงดีกว่า พูดจบแล้วน้องเล็กเฉินและน้องต้าเฟิง พวกเจ้าอย่าทำให้วันหน้าตาแก่อย่างข้าไม่ได้กินถั่วลิสง ไม่ได้กินรากบัว กลับกลายเป็นได้กินน้ำแกงประตูปิดทุกวันแทนเสียล่ะ…”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “พวกเราสามคนต่างก็เป็นคนตรงไปตรงมา เจ้ารีบๆ พูดหน่อยได้ไหม?”
ผู้เฒ่าแหงนหน้าขึ้น โยนรากบัวฝานแผ่นบางใส่ปากเคี้ยวหมุบหมับ “แม้ว่าสุยโย่วเปียนที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวจะเป็นปรมาจารย์น้อย เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตโอสถทองแล้ว แต่เส้นทางเบื้องหน้าของนางไม่ง่ายเลย ตามความเห็นของข้า คอขวดใหญ่เกินไป ยากมากที่จะเดินขึ้นสู่ยอดเขา อย่างมากก็เป็นได้แค่ขอบเขตเดินทางไกล หากโชคดีก็เป็นได้แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงพูดขัดคอทันที “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเท่านั้น? ตาเฒ่า เจ้าแน่จริงก็ไปตะโกนประโยคนี้บนถนนใหญ่สิ ดูสิว่าผู้ฝึกตนเซียนดินของนครมังกรเฒ่าจะรู้สึกเช่นไร? จะโมโหจนตบปากเจ้าแตกยับเลยหรือไม่?”
ผู้เฒ่าเป็นคนใจเย็น ไม่ถือสาคำโต้เถียงของเจิ้งต้าเฟิงแม้แต่น้อย เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็แค่ยกตัวอย่างไม่ใช่หรือ อันที่จริงสุยโย่วเปียนไม่ควรเดินบนทางสายขาดของวิถีวรยุทธ์นี้ตั้งแต่แรกแล้ว…”
เจิ้งต้าเฟิงตบโต๊ะ “ว่าไงนะ?!”
ผู้เฒ่ารีบค้อมเอวเอื้อมไปหยิบจอกเหล้าของเฉินผิงอันมา รินเหล้าหมักกุ้ยฮวาเสียเต็มจอก ชูจอกให้เจิ้งต้าเฟิงพลางพูดว่า “พูดผิดไปแล้ว ลงโทษตัวเองสามจอก ลงโทษตัวเองสามจอก!”
กระดกรวดเดียวหมดจอก เตรียมจะรินจอกที่สอง
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอื้อมมือมาปิดปากกาเหล้าเอาไว้ “ผู้อาวุโสดื่มลงโทษจอกเดียวก็พอแล้ว พวกเราสนิทกันขนาดนี้ ไม่ต้องทำตัวห่างเหิน”
ผู้เฒ่าวางจอกเหล้าลงอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจ เช็ดปาก พูดอย่างเสียดาย “เหล้านี่ดี น่าเสียดายที่รสชาติจืดจางไปสักหน่อย ดื่มแค่จอกสองจอก ยังไม่อาจลิ้มรสอะไรได้”
เจิ้งต้าเฟิงคีบเต้าหู้โรยหน้าด้วยต้นหอมขึ้นมาหนึ่งชิ้น “พี่สวิน มีลมก็รีบผาย!”
ผู้เฒ่าแซ่สวินพูดต่ออีกครั้ง “สุยโย่วเปียนคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่หาได้ยากยิ่ง มีพรสวรรค์ของเซียนกระบี่ นี่ยังพอทำเนา ประเด็นสำคัญคือจิตแห่งกระบี่ของนางใสกระจ่าง วันหน้าหากใช้ขอบเขตก่อกำเนิดของผู้ฝึกกระบี่ฝ่าคอขวดห้าขอบเขตบนจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ข้าสามารถเอ่ยประโยคหนึ่งบนโต๊ะเหล้าแห่งนี้ได้ ขอแค่น้องเล็กเฉินยินดีตัดใจจากของรัก อนุญาตให้สุยโย่วเปียนเข้าไปอยู่ในสำนักของพวกเรา ร้อยปี อย่างมากสุดหนึ่งร้อยยี่สิบปี ข้ารับรองว่าสุยโย่วเปียนจะต้องกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีพลังการต่อสู้สูงสุด แล้วก็ตบอกรับรองอีกครั้งได้เลยว่าภายในร้อยปีหลังจากนั้น นางต้องกลายเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแน่นอน”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร ยื่นตะเกียบส่งให้ อีกทั้งยังรินเหล้าหนึ่งจอกให้ผู้เฒ่าด้วย
เจิ้งต้าเฟิงแค่นเสียงหยัน “ตาแก่สวิน เจ้าเป็นคางคกคิดจะอ้าปากกลืนกินตะวันจันทรางั้นรึ? ไม่กลัวว่าจะท้องแตกตายหรือไร? ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว ตอนนี้สุยโย่วเปียนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตโอสถทองแล้ว ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลนั้นไม่ยาก แค่จำเป็นต้องใช้เวลาขัดเกลาร่างกายและจิตใจเท่านั้น แต่เจ้ากลับดีนัก คิดจะให้สุยโย่วเปียนละทิ้งการเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดซึ่งเป็นของในกระเป๋าทิ้งไป สลายปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ทิ้งให้หมด แล้วค่อยใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยปีสองร้อยปีไปไขว่คว้าห้าขอบเขตบนของผู้ฝึกกระบี่ซึ่งเป็นเพียงภาพมายาไม่แน่นอนอย่างนั้นรึ?”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างคนได้รับความอยุติธรรม “ข้าก็บอกแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือว่า เรื่องนี้ค่อนข้างน่าลำบากใจ ทว่าสุยโย่วเปียนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่โดดเด่นขนาดนี้ กลับไม่ตั้งใจฝึกฝนวิถีกระบี่ หากข้าไม่เห็นก็แล้วไปเถิด แต่เห็นแล้วกลับต้องเก็บกลั้นไว้ในท้อง มันก็ช่างอึดอัดจริงๆ เรื่องที่ย่ำยีวัตถุแห่งสวรรค์ให้สิ้นเปลืองแบบนี้ ข้าอดกลั้นไม่ไหว! พวกเจ้าคิดดูสิ สุยโย่วเปียนเป็นหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้ วันหน้าหากกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลก็ต้องใช้สองหมัดต่อยตีกับคนอื่น หนึ่งหมัดต่อยหนึ่งเท้าเตะ แบบนั้นจะทำลายบรรยากาศดีๆ ไปมากเท่าไหร่ ไหนเลยจะสง่างามเหมือนเซียนกระบี่หญิงที่ท่วงท่าองอาจ ชุดขาวพลิ้วปลิวไสว กระบี่บินตัดหัวศัตรูไกลพันลี้ได้?”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดหัวเราะพรืด “พูดง่ายนัก ยิ่งผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสูงเท่าไหร่ การสลายลมปราณก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น โดยเฉพาะสามขอบเขตอย่างหลอมจิตที่เกี่ยวพันไปถึงรากฐานจิตวิญญาณ หากไม่ระวังแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่สุยโย่วเปียนจะรักษาพรสวรรค์ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดได้หรือไม่เลย เกรงว่าแม้แต่ชีวิตก็คงหายไปด้วย ตาเฒ่าสวิน เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรือว่าขอบเขตเซียนเหรินกันล่ะ? แล้วนับประสาอะไรกับที่เหตุใดเฉินผิงอันต้องประคองสองมือส่งมอบสาวงามกึ่งสาวใช้ประจำกายอย่างสุยโย่วเปียนไปให้กับตาแก่บ้ากามว่างงาน วันๆ ไม่ทำอะไรอย่างเจ้าด้วย?!”
ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คนอย่างเราสง่างามมิต่ำช้า ไม่อาจให้ใครมาดูแคลนได้ น้องต้าเฟิง เจ้าสามารถหมิ่นเกียรติพี่ชายอย่างข้าได้ แต่อย่าดูแคลนตัวเองไปด้วย”
เจิ้งต้าเฟิงยกนิ้วโป้งให้ผู้เฒ่า ก่อนคีบกับแกล้มมาหนึ่งคำ “คำพูดนี้ของพี่ใหญ่พูดได้ใจกว้างยิ่ง ข้าไม่อาจหาข้อตำหนิได้เลย”
ผู้เฒ่ายกจอกเหล้าดื่มคำใหญ่ จากนั้นก็ลูบหนวดยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้ว น้องต้าเฟิง เจ้าคือคนจริงบนวิถีทางเดียวกับข้า ประเด็นสำคัญคือเวลาพูดต้องแข็งกร้าว มีเหตุผล มีคุณธรรม!”
เฉินผิงอันคีบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งเม็ด เคี้ยวช้าๆ
ผู้เฒ่าเองก็ไม่กล้าเอ่ยเร่ง
เรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่คงต้องอยู่ที่การตัดสินใจของคนหนุ่มตรงหน้านี้เท่านั้น
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าพูดได้แค่ว่าจะช่วยท่านถามความคิดเห็นของสุยโย่วเปียนให้”
คราวนี้กลับเป็นผู้เฒ่าบ้างที่ต้องตกตะลึงอย่างหนัก “เฉินผิงอัน เจ้ารับปากจริงๆ หรือนี่?”
รู้ตัวว่าพูดผิด ผู้เฒ่าจึงรีบส่งยิ้มประจบให้
ต่อให้เป็นคนที่โง่แค่ไหนในใต้หล้านี้ก็ยังรู้ถึงน้ำหนักและมูลค่าของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดเดินทางไกลคนหนึ่งเป็นอย่างดี
หากเอาไปวางไว้ในราชวงศ์ใหญ่ๆ ระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีปก็ถือเป็นบุคคลเลิศล้ำที่เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของแคว้นหนึ่งแล้ว
อันที่จริงในท้องของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความใคร่รู้และสงสัย แต่ก็ยังยั้งคำพูดเอาไว้ พูดมากไปย่อมไม่ดี หลีกเลี่ยงไม่ให้วาสนาที่ดีครั้งหนึ่งต้องพังลงเพียงเพราะตนวาดงูเติมหาง
ตอนที่ผู้เฒ่าเดินออกมาจากตรอกเล็ก เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกจึงเดินออกมาพร้อมกับผู้เฒ่าด้วย
พอมาถึงต้นไหวโบราณที่อยู่บนถนนใหญ่นอกตรอก โคมไฟในเทศกาลหยวนเซียวถูกจุดสว่างไสวทุกบ้านทุกครัวเรือนไม่แบ่งแยกยากดีมีจน แสงไฟโชติช่วงเจิดจ้าดุจเวลากลางวัน
ผู้เฒ่ายืนอยู่ใต้ต้นไม้กับเจิ้งต้าเฟิง ถามว่า “เหตุใดเฉินผิงอันไม่ถามสถานะที่แท้จริงของข้า รวมไปถึงค่าตอบแทนซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า?”
เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “คงต้องรอให้สุยโย่วเปียนพยักหน้าตอบรับก่อนกระมัง เขาถึงจะถามเรื่องพวกนี้”
ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “หากเป็นเช่นนี้ ข้าและเจ้าคงยังมีกลิ่นเหรียญทองแดงติดตัวมากเกินไป (เปรียบเปรยว่าเห็นแก่เงิน เห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญ) เฉินผิงอันต่างหากถึงจะเป็นคนที่พิถีพิถัน”
เจิ้งต้าเฟิงที่หลังค่อมมองถนนที่ผู้คนสัญจรเบียดเสียดกันดูคึกคัก เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “คนพิถีพิถันง่ายที่จะเสียเปรียบ”
ผู้เฒ่าเองก็เก็บสีหน้าทั้งหมดกลับคืน สายตาลึกล้ำ “เสียเปรียบคือโชคกับมารดามันเถอะ”
เงียบกันไปครู่ ผู้เฒ่าแซ่สวินก็ถาม “น้องต้าเฟิง จะกลับไปไหนหรือทำอะไรต่อ?”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “กลายเป็นคนไร้ค่าแล้ว ก็อยากกลับไปทำอาชีพเก่า กลับไปเป็นคนเฝ้าประตูอีกครั้ง”
ผู้เฒ่าถาม “อยากไปอยู่ที่ภูเขาของข้าไหม? ไม่กล้าพูดว่าจะมีชีวิตดั่งเทพเซียน แต่สุราอาหารและสาวงามล้วนไม่ขาด เชื่อว่าเจ้าเองก็รู้นิสัยของข้า จะต้องไปคุยเล่นกับเจ้าบ่อยๆ รับรองว่าไม่เบื่อ”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ไม่อยากติดค้างน้ำใจเจ้า แล้วก็ไม่มีอารมณ์จะไปเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่ที่ภูเขาของเจ้าด้วย”
ผู้เฒ่าตบไหล่เจิ้งต้าเฟิง “คิดให้ตก ชีวิตคนไม่มีอุปสรรคใดที่ก้าวข้ามไปไม่ได้”
เจิ้งต้าเฟิงโมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ตาแก่อย่างเจ้าเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ห้าขอบเขตบน แต่ยังมีหน้ามากินดื่มของคนอื่นไม่จ่ายเงิน แล้วยังมาพูดให้คนไร้ค่าอย่างข้าคิดให้ตกเนี่ยนะ เจ้าไม่อายตัวเองบ้างหรือไง?”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเก็บงำอย่างลึกล้ำถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังถูกน้องต้าเฟิงมองออกในปราดเดียวว่าเป็นยอดฝีมือเทพเซียนห้าขอบเขตบน ดูท่าประโยคในตำราที่กล่าวไว้ว่าสาวงามมิอาจละทิ้งความงามที่มีมาตั้งแต่กำเนิดได้นั้น ก็เอามาใช้กับข้าได้เหมือนกัน”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามามองตาเฒ่าที่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตลอดหลายปีที่เจ้าฝึกตนในสำนัก มีคนอยากจะประลองฝีมือกับเจ้าบ่อยๆ ใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่เคยมี ตอนที่เป็นหนุ่ม ข้าหล่อเหลาสง่างามอย่างมาก ได้รับความนิยมจากในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงเป็นที่สุด พอมีปัญหา พวกนางก็แย่งกันช่วยคลี่คลายปัญหาให้ข้า พอถึงช่วงวัยกลางคนก็พลันกระจ่างแจ้งว่าเอาแต่หมกมุ่นอยู่ในพุ่มบุปผาทุกวันก็คงไม่ดี เลยหันหน้ามาเอาดีทางด้านการฝึกตนอีกครั้ง หนึ่งวันเดินไปบนมหามรรคาได้ไกลพันลี้ เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสในสำนักให้ความสำคัญและคอยปกป้องอย่างถึงที่สุด พอแก่ตัวก็ยิ่งมีคุณธรรมมากล้นมีชื่อเสียงสูงส่ง”
เจิ้งต้าเฟิงตบไหล่ผู้เฒ่า “โชคดีที่พี่สวินเจ้าไม่ได้เกิดและเติบโตมาในบ้านเกิดของข้า ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนมากมายมาช่วยสอนเจ้าว่าเป็นคนควรทำเช่นไร”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “คนอื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพกลับหนึ่งจั้ง หากสุยโย่วเปียนยินดีเข้ามาอยู่ในสำนักของพวกเราจริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องใคร่ครวญดีๆ ว่าควรจะมอบของขวัญเข้าศาลบรรพจารย์อะไรให้นาง ควรจะตอบแทนเฉินผิงอันที่ปล่อยมือให้นางจากมาอย่างง่ายดายอย่างไร”
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยหยอกล้อ “แน่จริงก็มอบอาวุธเซียนให้สุยโย่วเปียนชิ้นหนึ่งสิ”
ผู้เฒ่าหัวเราะเหอๆ “นั่นไม่ได้หรอก อย่างน้อยก่อนที่สุยโย่วเปียนจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ข้าไม่มีทางเอาเงินทุนค่าโลงศพของตัวเองมามอบให้นางเด็ดขาด อีกอย่างเมื่อถึงเวลานั้นนางยังต้องรับปากว่าจะปกป้องสำนัก อย่างน้อยก็ต้องสามร้อยปีถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็ตัดใจไม่ลงหรอก”
เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามา ผู้เฒ่ามองสบตากับเขา พูดอย่างมีเหตุผลว่า “ทำไม แค่คุยโม้ก็ผิดกฎหมายด้วยหรือ?”
—–