กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 374.2 เดินทางไกลไปตะวันออกเฉียงใต้
ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเหนื่อยล้า นั่งสูบยาอยู่ในลานบ้าน
เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าตกลงทำการค้ากับราชวงศ์ต้าหลีและตระกูลฝู ตระกูลฟ่านเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่กีบเท้ากองทัพม้าเหล็กของตระกูลซ่งเหยียบลงบนชายหาดทะเลทักษิณของนครมังกรเฒ่า ฟ่านจวิ้นเม่าผู้นั้นสามารถกลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาองค์ที่สองของราชวงศ์ต้าหลีต่อจากองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือเว่ยป้อ
และค่าตอบแทนที่ผู้เฒ่าต้องจ่ายก็มีแค่ตบะของเขตเก้าของเจิ้งต้าเฟิงเท่านั้น
เจิ้งต้าเฟิงรู้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ถือว่ายุติลงแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว
ฝูฉีถอนหายใจโล่งอก เตรียมจะพาฝูตงไห่กลับจวน ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เอ้อร์ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวใจของฝูตงไห่
สะพานแห่งความเป็นอมตะไม่เพียงขาดไป อีกทั้งยังแหลกสลายจนแม้แต่เทพเซียนก็ช่วยไม่ได้
หลี่เอ้อร์ไม่มองฝูตงไห่ผู้นั้น แต่จ้องมองฝูฉีด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้ารู้สึกว่าในฐานะของบิดา ควรช่วยออกหน้าให้บุตรชาย”
ฝูฉีประคองฝูตงไห่บุตรชายคนโตที่ล้มแล้วลุกไม่ได้อีกขึ้นมา สีหน้าไม่มีความแค้นเคืองแม้แต่นิดเดียว ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในที่สุดก็ทำให้ท่านหลี่เอ้อร์ได้ระบายความแค้นเคืองครั้งนี้ออกมา มาครั้งนี้ไม่ถือว่าเสียเที่ยว ก็เหมือนกับที่ท่านเจิ้งพูด วันเวลายังอีกยาวไกล ดุจธารน้ำสายเล็กที่ไหลยาว”
“อ้อ?”
หลี่เอ้อร์ถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ถือโอกาสนำทางข้าไปที่ศาลบรรพชนตระกูลฝูสักรอบดีไหม?”
ฝูฉีที่ถือว่าเก็บอารมณ์ได้ดีสีหน้าเขียวคล้ำในชั่วพริบตา
เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “หลี่เอ้อร์ พอได้แล้ว”
หลังจากที่ฝูฉีพาฝูตงไห่จากไป เพียงไม่นานหลี่เอ้อร์ก็ออกไปจากนครมังกรเฒ่า
วันนี้ใต้ต้นไหว เจิ้งต้าเฟิงนั่งอาบแดดที่อบอุ่นของต้นฤดูใบไม้ผลิเพียงลำพัง สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมที่สบายตัวซึ่งเผยเฉียนช่วยซื้อมาให้พวกเขา
แม้นางที่ไม่ได้เห็นหน้ามานานผู้นั้น คงเป็นเพราะกินอาหารช่วงปีใหม่มาอย่างสมบูรณ์พร้อมจึงดูเหมือนใบหน้าและหุ่นของนางจะ ‘อวบอิ่ม’ ขึ้นมาอีกนิด ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่เดินส่ายไปส่ายมาอยู่ด้านหน้าเจิ้งต้าเฟิง คราวนี้นางกลับปลุกความกล้าเดินมาใกล้เจิ้งต้าเฟิง ถามอย่างเขินอาย “เถ้าแก่เจิ้ง ที่ร้านรับคนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มส่ายหน้า “ไม่รับแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านเกิด หากินอยู่ในนครมังกรเฒ่าของพวกเจ้ายากเกินไป”
แม้ว่าแม่นางคนนี้จะอ้วนจนเกินจริงไปมาก แต่กลับมีน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มเสนาะหูมากเป็นพิเศษ บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความผิดหวัง “ยังจะกลับมาอีกไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า “ไม่กลับมาแล้วล่ะ”
นางกล่าวอย่างแปลกใจ “ไม่ได้บอกว่าที่นี่คือบ้านเดิมของบรรพบุรุษเจ้าหรอกหรือ แล้วร้านจะทำอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ก็ปล่อยว่างไว้นั่นแหละ ร้านยาฮุยเฉิน (ฝุ่นเกาะ) นี่นะ จะกินฝุ่นก็เป็นเรื่องปกติ”
นางหน้าแดงเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้นมอบกุญแจให้ข้าดีไหม ข้าจะช่วยทำความสะอาดให้เจ้า หากในบ้านไม่มีกลิ่นอายของคนอยู่เลยก็ง่ายที่จะโทรมเร็ว น่าเสียดายนัก”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “ไม่ต้องๆ ไม่ต้องจริงๆ ขอบคุณแม่นางมาก”
เจิ้งต้าเฟิงมองสีท้องฟ้า ดวงอาทิตย์กลมโตยังส่องแสง แต่ว่ายามนี้ถือว่าไม่เช้าแล้ว ยังต้องกลับไปเก็บสัมภาระ แม่นางคนนั้นกัดริมฝีปาก มองชายฉกรรจ์หลังค่อมที่หิ้วม้านั่งเผ่นหนีไปอย่างลนลานก็พลันถามว่า “เถ้าแก่เจิ้ง ไม่อยากจะถามบ้างหรือว่าข้าแซ่อะไร?”
ถึงอย่างไรเจิ้งต้าเฟิงก็ไม่หน้าหนาพอจะทำเป็นไม่ได้ยิน จึงได้แต่หยุดเดิน หันหน้ากลับมา “ไม่ทราบว่าแม่นางแซ่อะไร?”
นางคลี่ยิ้มหวาน “ข้าชอบกินขิง ดังนั้นแซ่เจียง!” (姜 เป็นได้ทั้งแซ่ และแปลว่าขิงก็ได้)
เจิ้งต้าเฟิงอึ้งตะลึง
พูดมาอย่างนี้ เขาจะต่อบทสนทนาอย่างไร?
แค่ดูจากแต่ละครั้งก่อนหน้านี้ที่แค่เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่เอ่ยอะไร ก็รู้แล้วว่าแม่นางคนนี้รู้จักมารยาท มีนิสัยอ่อนโยนไม่ชอบตอแยใคร วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นางเบี่ยงตัวยอบกายคารวะ “หวังว่าเถ้าแก่เจิ้งจะเดินทางราบรื่นปลอดภัย”
เจิ้งต้าเฟิงจึงยิ้มและโบกมือเป็นการบอกลานาง
เป็นแม่นางที่ดี
ในม่านรัตติกาลของค่ำคืนนี้ ทางชานเมืองทิศเหนือนอกนครมังกรเฒ่า
หลุมศพขนาดเล็กใหม่เอี่ยมหลุมหนึ่ง ด้านบนยังมีกระดาษสีแดงหลายแผ่นที่ใช้หินก้อนเล็กทับเอาไว้
ชายฉกรรจ์หลังค่อมนั่งยองอยู่หน้าหลุมศพ เผาหนังสือเล่มหนึ่ง จากนั้นก็วางตะเกียงนำมันดวงเล็กสิบดวงไว้หน้าหลุม น้ำมันในตะเกียงเป็นสีดำสนิทแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นอึมครึม เพียงแต่ว่ากลับไร้ไส้ตะเกียง
แล้วแบบนี้จะจุดไฟอย่างไร?
เทพหยินตนหนึ่งเผยกายขึ้นมาจากความว่างเปล่า ดีดนิ้วใส่ตะเกียงน้ำมันเหล่านั้น ตะเกียงน้ำมันสิบดวงก็ทยอยกันสว่างไสว หากมองอย่างละเอียดจะเห็นว่าไส้ตะเกียงที่สูงชุ่นกว่ามีลักษณะแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เพราะเป็นควันเขียวกลุ่มหนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคน ใบหน้าบิดเบี้ยวคล้ายกำลังได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานสูงสุดประหนึ่งดวงวิญญาณถูกเผาไหม้ ประหนึ่งกล้ามเนื้อค่อยๆ หลอมละลายทีละหยดผสานรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของน้ำมันตะเกียง
ไส้ตะเกียงของตะเกียงทั้งสิบดวงแบ่งออกเป็นสามจิตเจ็ดวิญญาณของคนผู้หนึ่ง
เนื้อหนังมังสายังคงอยู่
ทว่าดวงวิญญาณกลับถูกเทพหยินตนนี้ใช้วิชาอำมหิตกักตัวมา
ชายฉกรรจ์ไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่นั่งยองอยู่ตรงนั้น พูดกับหลุมศพเบาๆ ว่า “กลัวว่าเจ้าเห็นภาพน่าสยดสยองนี้แล้วจะกลัว ข้าจะรอให้ไฟดับก่อนแล้วค่อยจากไป”
……
ท่ามกลางสีแห่งราตรี ทางฝั่งบ้านบรรพบุรุษของตระกูลซุน ซุนเจียซู่กำลังเดินเล่นเลียบริมลำคลองอยู่เพียงลำพัง
ต่อให้บรรพบุรุษตระกูลซุนจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิด แต่ตลอดหลายวันมานี้ก็ยังทอดถอนใจเฮือกๆ เจ็บใจอย่างถึงที่สุด
กลับกลายเป็นซุนเจียซู่ที่ต้องหันมาปลอบใจบรรพบุรุษของตน โชควาสนาเช่นนี้ หากได้มาคือความโชคดี หากสูญเสียไปก็คือชะตาฟ้าลิขิต ได้แค่คิดว่าตระกูลซุนไม่มีโชคดีแบบนี้เท่านั้น
คุณชายหนุ่มหน้าตาดุจหยกสลักผู้หนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายซุนเจียซู่อย่างเงียบเชียบ ต่อให้เป็นบรรพบุรุษสกุลซุนและผู้ถวายงานโอสถทองทั้งสามท่านก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงริ้วลมปราณสักเสี้ยว
ซุนเจียซู่เห็นยอดฝีมือที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยเขาคลายปมในใจก็รีบคารวะทันที “คารวะท่านฟ่าน”
ครั้งนั้นที่เล่นงานเฉินผิงอัน ไม่เพียงแต่จากมิตรกลายมาเป็นศัตรู ซุนเจียซู่ยังเกือบจะสูญเสียเพื่อนสนิทอย่างหลิวป้าเฉียวไปด้วย
ก็เป็นยอดฝีมือนอกโลกที่ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยกี่พันปีตรงหน้าผู้นี้ที่มาหาซุนเจียซู่ซึ่งกำลังขวัญหาย เอ่ยประโยคหนึ่งเป็นการชี้นำทางออกจากเขาวงกต ทำให้สติปัญญาของซุนเจียซู่เปิดโล่งในทันที
“เดินอยู่บนเส้นทาง ซึ่งถือว่าพอจะสร้างความดีความชอบไว้บ้าง แต่แค่สะดุดหินก้อนเดียว ล้มกระแทกลงอย่างแรงจนเจ็บตัว ก็หมายความว่าเจ้าเลือกเดินทางผิดแล้วหรือ?”
“ทางสายใหญ่ที่เฉินผิงอันเดินไปนั้นดีมาก ก็หมายความว่าทางที่เจ้าซุนเจียซู่เลือกเดินไม่ดี? ไม่ใช่อย่างนี้ก็เป็นอย่างนั้น ความคิดเด็กน้อยเช่นนี้ยังคิดจะดีดลูกคิดทำการค้าอะไรได้อีก?”
“ต่อให้มหามรรคาของคนอื่นจะดีแค่ไหนก็เป็นเส้นทางของคนอื่น ไม่สู้ก้มหน้าก้มตาทำงานไป อย่าเอาแต่คิดเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยลืมเพาะปลูก บางครั้งก็แค่เงยหน้าขึ้น เหลียวซ้ายแลขวามองทัศนียภาพของคนที่อยู่บนทางสายอื่นบ้างก็พอแล้ว”
ถ้อยคำอันล้ำค่า มีทองพันชั่งก็ยากจะหาซื้อได้
‘ยอดฝีมือ’ ที่มองใบหน้าแล้วคล้ายจะดูหนุ่มกว่าซุนเจียซู่ผู้นั้น บอกแค่ว่าตัวเองแซ่ฟ่าน แต่แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลฟ่านของนครมังกรเฒ่าเลย
อาศัยสัญชาตญาณ ซุนเจียซู่รู้สึกเชื่อมั่นในเรื่องนี้อย่างยิ่ง
คนผู้นี้ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อันที่จริงหลังจากนี้นครมังกรเฒ่าจะมีแค่สามตระกูลแล้ว ฝูฉี หรือควรจะพูดว่าตระกูลฝูของหวังจูผู้นั้น ฟ่านจวิ้นเม่า หรือจะเรียกว่าตระกูลฟ่านของเสินจวินผู้เฒ่า ตระกูลสุดท้าย ตระกูลซุนของพวกเจ้ามีสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ส่วนตระกูลติงฟางโหวที่เหลือก็รวมกันเป็นอีกครั้งหนึ่ง การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ต้องแบกรับภาระความรับผิดชอบที่หนักหน่วง จงมุมานะอุตสาหะต่อไป”
ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “ตระกูลซุนของข้าต้องไม่พลาดโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบครั้งนี้อย่างแน่นอน”
คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม “พันปียากจะพานพบ? ใช่แค่นั้นเสียที่ไหน”
ซุนเจียซู่อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย นอกจากจะขบคิดความหมายลึกซึ้งในคำพูดประโยคนี้แล้วยังคิดถึงวันนั้นที่แอบเดินทางไปส่งเฉินผิงอันด้วย
คนหนุ่มที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่เล่มยาวผู้นั้น ตอนที่เรือข้ามฟากทะยานขึ้นกลางอากาศก็ราวกับว่ามองเห็นตนจากกระแสกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง
เขาไม่เพียงแต่ไม่ทำเป็นแสร้งมองไม่เห็น กลับกันยังกุมหมัดบอกลา สุดท้ายยังชูมือขึ้นสูง ยื่นนิ้วโป้งออกมา
ซุนเจียซู่คลี่ยิ้มบางๆ
ตอนนั้นเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้ก็ยังเป็นเช่นเดียวกัน
……
ในวังหลวงของราชวงศ์แห่งใหม่ที่เพิ่งลุกผงาด
มีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งเดินอยู่บนทางแคบระหว่างกำแพงสูงใหญ่สองฝั่ง คนหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลายื่นนิ้วมือมาระไปบนกำแพงระหว่างที่เดินไป
สตรีที่อยู่ข้างกายของเขารูปร่างสูงใหญ่ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกเก้กัง เทอะทะเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ก้าวเดิน นางไม่มีลมปราณ
ไม่มีลักษณะปราณวิญญาณบริสุทธ์ที่ฟ้าและคนผสานเป็นหนึ่งของผู้ฝึกลมปราณ ไม่มีพลังอำนาจของปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถึงขั้นไม่มีลมหายใจอย่างมนุษย์ธรรมดาทั่วไป
สตรีร่างสูงใหญ่ห้อยกระบี่ไว้ตรงเอวตลอดเวลา แต่กระบี่เล่มนี้กลับไร้ฝัก เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเพิ่งจะหาฝักกระบี่ไผ่เขียวที่มองดูเหมือนธรรมดาให้กับกระบี่ที่ถูกขัดเกลาความคมในบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวเจอ
เป็นฝักกระบี่ที่ข้ารับใช้ข้างกายนางคนหนึ่งหามาจากในแจกันสมบัติทวีปด้วยความยากลำบาก
คนหนุ่มที่ไม่ว่าจะมองไกลหรือมองใกล้ก็ล้วนประหนึ่งเทพเซียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ “อาจารย์ ซื้อหรือว่าแย่งมา?”
สตรีเอ่ยเรียบๆ “ได้ยินว่าซื้อมา”
คนหนุ่มถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็คงบังคับซื้อสินะ”
สตรีคลี่ยิ้ม “หากเจ้ารู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก สามารถไปต่อยตีกับเขาสักรอบได้”
คนหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ตอนนี้ข้าเฉาสือเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้านะ จะสู้กับเขาได้อย่างไร?”
หญิงสาวหยุดเดิน “เจ้าลืมพูดสองคำว่าแข็งแกร่งที่สุดไป”
เฉาสือคิดแล้วก็ใช้ปลายเท้าปาดลงบนพื้น วาดเส้นสั้นๆ สองเส้นหนึ่งอยู่ซ้ายหนึ่งอยู่ขวา แล้วยกปลายเท้าชี้ไปยังเส้นที่อยู่ทางฝั่งซ้าย “พูดถึงแค่ขอบเขตห้า ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทั่วไปบนโลกอยู่ตรงนี้”
แล้วเขาก็ย้ายปลายเท้าไปที่ฝั่งขวา “ข้าเฉาสืออยู่ตรงนี้”
จากนั้นเขาก็ใช้เท้าจิ้มไปตรงกลางระหว่างทั้งสองเส้น “นอกจากข้าแล้ว ผู้มีพรสวรรค์ในขอบเขตห้าที่โดดเด่นที่สุดของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง น่าจะอยู่ตรงนี้”
สตรีร่างสูงใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่าลูกศิษย์ของตนคือเด็กหนุ่มที่อวดดีไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดูแคลนผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดียวกัน ในความเป็นจริงแล้วนางรู้สึกว่าเฉาสือพูดจาเช่นนี้ค่อนข้างจะเกรงใจแล้ว
เฉาซือพลันย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นนิ้วชี้ไปที่เส้นตรงกลางแล้ววาดขยับไปทางเส้นของตัวเขาเอง “ข้ารู้สึกว่าหลังจากข้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว ขอบเขตห้าของเจ้าหมอนั่นสามารถเดินมาถึงตรงนี้”
สตรีก้มหน้าลงมองตำแหน่งที่เฉาสือใช้นิ้ววาดออกไป พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “น่าจะประมาณนี้”
ในขณะที่หนึ่งอาจารย์หนึ่งลูกศิษย์ หนึ่งยืนหนึ่งนั่งพูดคุยกันถึงโชคชะตาบู๊ของใต้หล้า
ห่างออกไปไกล ขันทีอันดับหนึ่งของราชวงศ์ใหญ่แห่งนี้ ขันทีผู้กุมตราประทับซือหลี่เจียน (ผู้ตรวจและอ่านฎีกาถวายต่อฮ่องเต้) ซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินกำลังพาขันทีใหญ่สวมชุดหม่างสีแดงสดกลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ พอเห็นคนทั้งสองก็พากันหยุดเดิน ยืนกุมมืออย่างนอบน้อม ไม่มีใครกล้าหายใจแรง
……
เรือข้ามฟากมาถึงท่าเรือของชายแดนแคว้นชิงหลวน พวกเฉินผิงอันเดินอยู่บนถนนใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองของท่าเรือแห่งนี้ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ล้วนเป็นฝ่ายหลีกทางเดินห่างออกไป ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางที่ขอบเขตยิ่งสูงสายตาก็ยิ่งดี รวมไปถึงยอดฝีมือผู้ฝึกยุทธ์สามขอบเขตหลอมลมปราณที่มีประสบการณ์ในยุทธภพอย่างโชกโชนก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นขุมหนึ่ง
สตรีหน้าตางดงามสะพายกระบี่ บุรุษร่างสูงใหญ่ห้อยดาบแคบ ชายชราหลังค่อมที่อมยิ้มบางๆ บุรุษตัวเล็กเตี้ยสีหน้าทึ่มทื่อ
ล้วนไม่ธรรมดา
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่อำพรางลมปราณอยู่ในกระแสผู้คนถึงได้รู้สึกว่าพลังอำนาจของคนทั้งสี่นี้มารวมกัน ก็คล้ายว่าจะยังเทียบคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่เห็นได้ชัดว่ายังบาดเจ็บคนนั้นไม่ได้
ประหนึ่งกลุ่มดาวห้อมล้อมดวงเดือน
—–