กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 375.1 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน
หลายครั้งก่อนหน้านี้ที่เดินทางผ่านท่าเรือตระกูลเซียน นอกจากการซื้อขายที่หอชิงฝูของท่าเรือที่เชื่อมต่อระหว่างแคว้นซูสุ่ยกับแคว้นซงซีครั้งนั้นแล้ว ครั้งอื่นๆ หากเฉินผิงอันไม่เดินทางอย่างรีบร้อนก็แค่เดินดู ไม่ได้ซื้อ วันนี้เขาจึงถือโอกาสพาพวกเผยเฉียนเดินเล่นที่ท่าเรือแห่งนี้ให้ดีสักครั้ง เฉินผิงอันมอบเงินให้สี่คนในภาพวาดคนละหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ให้พวกเขาได้ซื้อของที่ตัวเองต้องการ เงินเทพเซียนบนภูเขามีคำกล่าวว่า ‘พันร้อยสิบ’ เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญมีมูลค่าสองพันเงินตำลึงขาวของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็เท่ากับเงินขาวหนึ่งแสนตำลึง คิดจะซื้ออาวุธวิเศษหรือสมบัติอาคมนั้นไม่ต้องคาดหวัง แต่หากจะซื้อของใช้บางอย่างบนภูเขาที่ฝีมือประณีตหายาก เวลาปกติเอาออกมาชื่นชมให้เพลิดเพลินก็สามารถซื้อมาเก็บไว้ได้หลายชิ้น ไม่ใช่เรื่องยาก
นัดหมายกับคนทั้งสี่ในภาพวาดไว้เรียบร้อยแล้วว่าอีกหนึ่งชั่วยามไปเจอกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าเรือ เฉินผิงอันจะพาเผยเฉียนไปเดินเล่นเอง ซื้อของที่ท่าเรือ สถานที่ที่มียอดฝีมือเฝ้าพิทักษ์อย่างหอชิงฝูนั้น ความเป็นไปได้ที่จะเก็บได้ของดีนั้นมีน้อยมาก อีกทั้งราคายังแพงลิบลิ่ว พวกคนที่สะพายผ้าห่อบุญเอาของมาขายไม่มีร้านเป็นหลักเป็นแหล่งเสียอีกที่ทำให้คนได้เสี่ยงโชค ทดสอบสายตาในการดูของได้ดีที่สุด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่มีสี่สมุทรเป็นบ้าน ชอบซื้อของราคาต่ำมาจากลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงที่ตกต่ำ หรือไม่ก็บอกว่าบรรพบุรุษหรือบรรพาจารย์ในสำนักของตนเคยมีเซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดมาก่อน แนวทางการขายของของพวกเขาก็จะเป็นทำนองนี้ คนซื้อไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมาก ปีนั้นเฉินผิงอันเดินทางพร้อมกับสวีหย่วนเสียจอมยุทธ์ที่ขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว จึงได้เรียนรู้เคล็ดลับมาไม่น้อย ภายหลังการอธิบายคำว่า ‘จับคู่ในกรง’ ของเหยาจิ้นจือ อันที่จริงก็หมายถึงอาชีพนี้
เผยเฉียนมีประสบการณ์น้อยนิด สำหรับภาพวาดตัวอักษรเทพเซียน อาวุธวิเศษ ภูตประหลาดที่ไม่ว่าจะพิสดารแค่ไหนก็มีอยู่ทั่วทุกร้าน นางล้วนจับจ้องมองตาไม่กะพริบ เผยเฉียนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นางถูกจูเหลี่ยนเหน็บแนมว่าเป็นเถาเถี่ย (หมายถึงตัวตะกละ) น้อย ชอบรับของเอาไว้ ไม่ว่าใครให้อะไรก็ไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ชอบจ่ายเงิน แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่หลุดไปจากมือของนาง ดังนั้นต่อให้จะเป็นของที่อยากได้แค่ไหน นางก็แค่เหลือบมองบ่อยครั้งหน่อย ไม่มีทางเปิดถุงหอมใบเล็กที่กุ้ยฮูหยินมอบให้ แต่นางกลับเอามาใช้เป็นถุงเงินใบนั้นอย่างแน่นอน หากชอบมากจริงๆ ก็จ้องเป๋งตาไม่กระพริบ มองแล้วก็จะคิดว่าเป็นของของตัวเอง แค่นางฝากเก็บไว้ในร้านชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนมือเติบมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเดินเล่นกับเผยเฉียนอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม แวะเวียนเข้าไปสิบกว่าร้านแล้ว แต่กลับไม่ควักเงินเหรียญทองแดงจ่ายออกไปแม้แต่เหรียญเดียว
ระหว่างทางเจอคนสะพายผ้าห่อบุญคนหนึ่ง เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนขาพิการที่ท่าทางดูซื่อๆ บอกว่าตัวเองแซ่หลิว สามารถเรียกเขาว่าหลิวกานจื่อ เขาเห็นเฉินผิงอันที่สวมชุดขาว สะพายกระบี่ยาวฝักสีขาวก็เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หน้าตาเป็นคนซื่อ ทว่าปากกลับไม่ทึ่มทื่อ บอกว่าปู่ของเขาคือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเหวินจิ่ง หลังจากที่แคว้นเหวินจิ่งล่มสลาย ฮ่องเต้ก็ตายระหว่างที่หลบหนี ตราลัญจกรชือหู่หนึ่งในสมบัติสิบเจ็ดชิ้นของตำหนักเจียวไท่ที่หายสาบสูญไปถูกท่านปู่ของเขานำเข้าไปในอยู่ในหมู่ชาวบ้าน ตอนนี้เซียนซือใหญ่ท่านหนึ่งของแคว้นชิงหลวนสามารถรวบรวมสมบัติสิบหกชิ้นครบแล้ว ขาดแค่ ‘สมบัติวิเศษรวบรวมโชคชะตา’ ชิ้นนี้เท่านั้น ในวงการเก็บสะสมของเก่า ‘สมบูรณ์แบบและครบถ้วน’ คือภารกิจที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้นสมบัติสำคัญที่ ‘ไม่แน่ว่าอาจจะซุกซ่อนลมปราณมังกรแห่งชะตาแคว้นเอาไว้’ ชิ้นนี้จึงมีมูลค่าควรเมือง
การที่ชายฉกรรจ์เดินตามมาเจ็ดแปดร้อยก้าว หนึ่งเป็นเพราะคนหนุ่มที่แค่มองก็รู้ว่ามีเงินผู้นี้นิสัยดี ไม่ไล่เขา กลับกันยังตั้งใจฟังอย่างมาก อีกอย่างหากชายฉกรรจ์ยังขายของไม่ออกก็ต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวงแล้ว บัญชีปลายปีของเมื่อปีก่อนที่กว่าเขาจะตบตาผ่านมาได้ไม่ใช่ง่ายๆ นั้นเกี่ยวพันกับเงินร้อนน้อยสามเหรียญ สามารถซื้อชีวิตเขาได้หลายชีวิตแล้ว ผ่านปีลำบากยากแค้นที่น่าอกสั่นขวัญผวานี้มาได้ ตามหลักแล้วเมื่อเดือนหนึ่งของปีนี้ผ่านไป หากยังไม่มีคนมือเติบมาติดเบ็ด เขาก็อาจจะต้องเจอกับหายนะจริงๆ แคว้นมีกฎของแคว้น อาชีพมีกฎของอาชีพ คราวนี้เขาคงต้องตายจริงๆ
เพื่อขายของเหล่านี้มาประทังชีวิตก็เรียกได้ว่าชายฉกรรจ์พยายามทุกวิถีทางที่มีแล้ว ในฐานะผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ไม่เพียงแต่ทำหน้าหนาเดินตามมาตลอดทาง ยังเป็นฝ่ายแนะนำทัศนียภาพของท่าเรือแห่งนี้ให้คุณชายท่านนี้ฟัง
ท่าเรือตระกูลเซียนที่อยู่บนชายแดนแคว้นชิงหลวนแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือหางผึ้ง ตอนแรกที่ท่าเรือถูกสร้างขึ้นเคยเป็นเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ที่แห่งนี้เคยมีเทพเซียนขอบเขตหยกดิบซึ่งมีต้นกำเนิดต่ำต้อย มีสถานะเป็นผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งอาศัยความมานะบากบั่นและโชควาสนาใหญ่จนได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบน ปาฏิหาริย์หลากหลายเรื่องที่เกี่ยวกับเขาล้วนแพร่ไปเกือบครึ่งทวีป ในบรรดาผู้ฝึกตนอิสระทั้งหมดของแจกันสมบัติทวีป เขาเป็นคนมีชื่อเสียงมาก บ้านบรรพบุรุษของคนผู้นี้ตั้งอยู่ในตรอกเล็กที่มีชื่อว่าเจียเฟิง (หนีบผึ้ง) แล้วก็ตั้งอยู่ตำแหน่งสุดตรอกพอดี ภายหลังท่าเรือแห่งนี้จึงมีชื่อว่าหางผึ้ง
เนื่องจากท่าเรือตั้งอยู่ตรงบริเวณที่สามแคว้นเชื่อมต่อกัน และเพื่อช่วงชิงว่าตรอกเส้นนี้และบ้านบรรพบุรุษหลังนี้จะเป็นของใคร หลายร้อยปีที่ผ่านมา สกุลถังแคว้นชิงหลวนและสองแคว้นใหญ่ที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็ใช้พู่กันและมีดทำสงครามกันบนกระดาษและบนสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าทั้งสามฝ่ายรับรู้ร่วมกันโดยปริยายว่า สงครามที่เกิดขึ้นนี้จะไม่ลุกลามมาถึงท่าเรือเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้สำนักศึกษากวานหูยังตั้งใจส่งวิญญูชนและนักปราชญ์ให้มาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยอยู่หลายครั้ง
ภายใต้การพยายามแนะนำอย่างสุดความสามารถของบุรุษ เขาบอกว่าท่าเรือมีเหล้าเซียนบ่อน้ำที่มีเฉพาะแค่ที่แห่งนี้ที่เดียวในโลก เงินเหรียญเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญสามารถซื้อได้หนึ่งกาเล็ก ขุนนางและชนชั้นสูงของแคว้นชิงหลวนชอบใช้สิ่งนี้มาโอ้อวดความร่ำรวยมากที่สุด และคุณชายท่านนั้นก็ซื่อเหล้าบ่อน้ำกาหนึ่งที่ร้านตรงหัวมุมจริงๆ เขาขอถ้วยขาวสองใบมาจากเถ้าแก่ พอนั่งลงแล้วกลับคลี่ยิ้มยื่นมือมาบอกเป็นนัยให้ชายฉกรรจ์นั่งลงดื่มเหล้าด้วยกัน เดิมทีชายฉกรรจ์คิดจะยืนทำท่าน่าสงสารอยู่ข้างๆ ไม่แน่ว่าคุณชายคนนี้อาจเกิดความเห็นอกเห็นใจซื้อสมบัติผุๆ เหล่านั้นของเขาไปจริงๆ แต่เป็นเพราะหนอนขี้เหล้าในท้องออกฤทธิ์ทำให้เขาทนไม่ไหวนั่งลงดื่มเหล้าตามคำเชื้อเชิญ ดื่มแล้วก็บ่นตัวเองที่ควบคุมปากไม่อยู่ไปด้วย ในใจคิดว่าตนดื่มเหล้านี้ไปแล้วคงมีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่การค้าครั้งนี้จะล้มเหลว ทันใดนั้นความคิดนับร้อยก็ประดังประเดเข้ามา คิดเสียว่านี่เป็นเหล้าหัวขาดถ้วยหนึ่งก็แล้วกัน
เฉินผิงอันชนถ้วยกับชายฉกรรจ์ ถามด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อหยกชิ้นนี้มีค่า อีกทั้งยังมีเซียนซือที่รอให้มันกลับไปรวมกับสมบัติอีกสิบหกชิ้นของแคว้นเหวินจิ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่ขึ้นเขาเอาไปขายเขาโดยตรงเลยล่ะ?”
ชายฉกรรจ์เตรียมคำตอบสำหรับคำถามประเภทนี้ของคนซื้อมานานแล้ว จึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “เซียนดินก่อกำเนิดผู้เฒ่าท่านนั้น มีตบะเลิศล้ำค้ำฟ้า เพียงแต่ว่านิสัย…ข้ากลัวว่าได้เงินมาแล้วจะไม่มีชีวิตให้ใช้เงิน”
ชายฉกรรจ์กดเสียงลงต่ำ พูดประโยคสุดท้ายอย่างคลุมเครือ
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ คำอธิบายนี้นับว่าฟังขึ้น เทพเซียนบนภูเขาชอบพูดกันว่าฝึกบำเพ็ญตนบนมรรคา ทว่ามรรคาที่ว่านี้มีนอกรีตแปดร้อย มีนอกรอยสามพัน ดังนั้นบนภูเขาก็ยังมีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานอย่างตู้เม่าอยู่ไม่ใช่หรือ? ก็ยังมีหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินของทะเลสาบเจี่ยนหูไม่ใช่หรือไร? ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นที่เกิดใจคิดร้ายกับพวกเฉินผิงอันบนถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจี หากไม่เป็นเพราะฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ สุดท้ายมีจุดจบที่ต้องส่งหัวคนไกลพันลี้ หากล้อมสังหารเขาและลู่ไถได้สำเร็จขึ้นมา วันนี้ก็ต้องร่ำรวยรุ่งเรืองแล้วจริงๆ มีทรัพย์สินในส่วนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีเซียนดินโอสถทองเพิ่มขึ้นมาอีกคนสองคนก็เป็นได้
ชายฉกรรจ์คงรู้สึกว่าหากยังไม่เพิ่มยาแรงก็อาจจะต้องพลาดคุณชายต่างถิ่นที่ไม่ขาดเงินคนนี้ไป เขาจึงวางถ้วยเหล้าลง พูดเสียงเบาว่า “อันที่จริงที่ข้าบอกว่าบรรพบุรุษคือแม่ทัพใหญ่แคว้นเหวินจิ่งคือการเลี่ยงเอ่ยถึงผู้สูงศักดิ์ที่ข้าเอามาใช้หลอกคนอื่น แท้จริงแล้วปู่ของข้าคือคนงานในอันเล่อฟางของเมืองหลวงอดีตแคว้นเหวินจิ่ง ช่วงแรกเริ่มสุดอันเล่อฟางคือสถานที่ที่เชื้อพระวงศ์ใช้เลี้ยงสัตว์หายาก ภายหลังเงินทองมีไม่มากพอจึงถูกทิ้งร้าง เอามาไว้เก็บตัวพวกขันที นางกำนัลที่ทำผิดแล้วถูกขับไล่ออกจากวัง กษัตริย์แคว้นเหวินจิ่งที่ล่มสลายเคยเติบโตขึ้นมาในอันเล่อฟางที่ซุกซ่อนสิ่งสกปรกโสมม ตอนเด็กได้รับการดูแลจากท่านปู่ของข้าเป็นประจำ ภายหลังก้าวหน้ารุ่งเรือง จากบุตรนอกสมรสที่ถูกซ่อนไว้ข้างนอก ไม่รู้ว่ากลายมาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าเหตุใดแคว้นถึงล่มสลาย แต่ก็ยังถือว่าเป็นกษัตริย์ที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ภายหลังจึงปฏิบัติต่อท่านปู่ของข้าอย่างมีมารยาท สรุปก็คือสุดท้ายเขาได้มอบตราลัญจกรหยกไว้ให้กับท่านปู่ของข้า ก่อนที่ท่านปู่จะจากไป ยังกำชับข้าว่าต้องมอบหยกชิ้นนี้ให้แก่มือของคนรุ่นหลังแคว้นเหวินจิ่ง ไม่อาจมองเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของตัวเองได้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ชายฉกรรจ์ก็ดื่มเหล้าหนึ่งอึก สีหน้าฉายแววเลื่อนลอย “หลานที่ไม่ได้เรื่องอย่างข้า ผิดต่อคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับท่านปู่ แล้วก็ผิดต่อรัชทายาทแคว้นเหวินจิ่งที่เล่าลือกันว่าเปลี่ยนชื่อแซ่ไปฝึกตนอยู่บนภูเขาผู้นั้นด้วย”
ริมฝีปากชายฉกรรจ์สั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอดวงตา “คุณชาย ท่านช่วยข้าซื้อตราลัญจกรหยกที่เป็นสมบัติสำคัญของแคว้นชิ้นนี้ทีเถอะ วันหน้าข้าจะได้เอาเงินไปซื้อเหล้ามาดื่มให้ตัวเองเลอะเลือน จะได้ไม่ต้องเห็นมันทุกวันแล้วละอายใจไปจนตาย”
เฉินผิงอันรินเหล้าเซียนบ่อน้ำสีอำพันให้ชายฉกรรจ์อีกหนึ่งถ้วย ส่ายหน้ากล่าวว่า “เหล้า ข้าเลี้ยงเจ้าได้ แต่ของของเจ้า ข้าไม่ซื้อแน่”
ชายฉกรรจ์ยังคงไม่ยอมแพ้ “คุณชายจะไม่ลองดูสักหน่อยหรือ ของนี้เป็นของจริงหรือของปลอม ดีหรือไม่ดี เชื่อว่าแค่คุณชายมองปราดเดียวก็แยกแยะได้ทันที ถึงเวลานั้นต่อให้คุณชายกดราคาอย่างหนัก ข้าก็ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “ข้าคนนี้ไม่มีโชคด้านทรัพย์สมบัติ…เพราะฉะนั้นอย่าเลยดีกว่า เจ้าหาคนซื้อที่ดูของเป็นและมีวาสนากับเจ้าเถอะ อย่ามาเสียเวลากับข้าเลย”
เผยเฉียนกำลังจะอ้าปากพูด แต่เห็นว่าเฉินผิงอันชำเลืองมองมาก็หุบปากทันที
ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าถ้วยที่สองไปแล้วก็บอกลาหนึ่งคำและขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไปอย่างหม่นหมอง
เผยเฉียนถึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ “น่าสงสารมากเลย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า กล่าวว่า “น่าสงสารก็จริง แต่ของใช่ว่าจะเป็นของจริงเสมอไป”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ไม่เคยเห็นแล้วจะรู้ได้อย่างไร หากมันเป็นของจริงล่ะ? ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่รีบเดินทางอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างอดทน “หากเจ้าของสิ่งนี้หล่นลงมาบนหัวของพวกเราจริงๆ แน่นอนว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองมาพูดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดกันบ้าง”
เผยเฉียนฉงนสนเท่ห์ “ก็แค่เป็นของปลอม ดูผิดไป เจ้าหมอนั่นจึงหลอกเอาเงินเทพเซียนของพวกเราไปได้?”
เผยเฉียนพลันใช้สองมือตบโต๊ะ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เรื่องนี้ทนไม่ได้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้ม “นี่ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเสียที่ไหน สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือถูกคนเขาใช้แผนเซียนกระโดด (หมายถึงการต้มตุ๋นอย่างหนึ่งโดยที่มีนกต่อมาหลอกล่อ) ไม่เพียงแต่ถูกบังคับซื้อบังคับขาย ไม่แน่ว่าหากพวกเราควักเงินเทพเซียนมาจ่ายได้ ฝ่ายตรงข้ามอาจจะได้คืบแล้วเอาศอก ถือโอกาสฆ่าคนชิงทรัพย์ หากพูดถึงแค่เรื่องของคนปฏิบัติต่อคน ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่สนิทกัน ต่อให้นิสัยเดิมอาจจะไม่ได้เลวร้าย แต่หากเจอกับอุปสรรคที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นติดหนี้บานเบอะ นิสัยของคนที่ติดหนี้อ่อนแอ นิสัยของคนที่เป็นเจ้าหนี้อำมหิต ทั้งสองฝ่ายมาเจอกัน นั่นก็ต้องเรียกว่าคนที่น่าสงสารย่อมมีจุดที่น่ารังเกียจ ตอนนี้พวกเราสงสารเขา แล้วถึงเวลานั้นใครจะมาสงสารพวกเราล่ะ?”
เผยเฉียนตั้งใจคิด ก่อนจะตอบ “คนของพวกเราก็มีไม่น้อยนี่นา ถึงอย่างไรเราก็เป็นฝ่ายที่มีเหตุผล ก็ใช้สองหมัดสามหมัดต่อยพวกเขาให้ตายไปสิ?”
เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่นาง “ออกจากบ้านไปอยู่ข้างนอก หากอาศัยแค่หมัดมาเป็นเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็มีแต่คนอย่างตู้เม่าที่มาพบเจอพวกเราได้ แต่พวกเรากลับพบเจอคนอื่นไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “แต่พวกเราเป็นคนดีนี่นา? โจรเฒ่าตู้นั่นไม่ใช่สักหน่อย คนเลวถูกฟ้าผ่า ตายไปแล้วก็ลงกระทะทองแดง ถูกดึงลิ้น ควักหัวใจ กรอกน้ำเหล็กร้อนๆ ใส่ปาก…”
เฉินผิงอันตัดบทคำพูดเหลวไหลของเผยเฉียน “เจ้าไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างหวั่นกลัวไม่หาย “ครั้งก่อนตอนที่ไปชมโคมไฟเทศกาลหยวนเซียวในนครมังกรเฒ่า มีงานเลี้ยงโคมไฟบุปผาที่เสี่ยวป๋ายบอกว่าเป็นการ ‘ตักเตือนสั่งสอนแก่คนบนโลก ทำดีได้รับการชื่นชม ทำชั่วต้องถูกลงโทษ’ ตอนนั้นข้าเบิกตากว้างมองอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างไรในตำราก็บอกไว้ว่า มีข้อผิดพลาดก็แก้เสีย ไม่มีก็ถือเป็นข้อเตือนใจนี่นะ”
ตอนนี้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันบรรจุเหล้าดองหลอมระดับเล็กเอาไว้ ไม่อาจบรรจุเหล้าเซียนบ่อน้ำของขึ้นชื่อของท่าเรือแห่งนี้ลงไปได้อีก อีกทั้งยังมีเหล้าหมักกุ้ยฮวาอีกหลายไหที่ตระกูลฟ่านมอบให้เก็บไว้ในแผ่นหยกวัตถุจื่อชื่อ อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้ล้วนไม่ขาดสุราดีให้ดื่มคลายอยาก จึงซื้อเหล้าจากที่ร้านมาแค่สองไห คิดว่ากลับไปจะเอาไปเก็บไว้กับเหล้าหมักกุ้ยฮวา พอไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็เอาไปฝังไว้ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ด้วยกัน ทุกสิบปีเอาออกมาหนึ่งไห ก็ถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติอันมากมายของเขาเฉินผิงอันแล้ว
จากนั้นก็ไปเจอกับพวกเว่ยเซี่ยนสี่คนที่ทยอยกันมาถึงปากตรอกหางผึ้ง
การเดินทางในท่าเรือหางผึ้งครั้งนี้ ตัวเฉินผิงอันเองไม่เจอสิ่งของใดที่ถูกใจเป็นพิเศษ แค่ซื้อตำราอริยะปราชญ์ที่มีทั้งภาพและตัวอักษรครบครันให้เผยเฉียนเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม ทุกตัวอักษรเขียนเป็นระเบียบสบายตา
และในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะออกไปจากท่าเรือ ในตรอกก็มีคนหนุ่มผู้หนึ่งหิ้วกาเหล้าเดินออกมา เรือนกายของเขากำยำล่ำสัน ตรงเอวรัดสายรัดเอวเส้นหนึ่งลักษณะคล้ายโซ่เหล็ก
—–