กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 375.4 พบเจอคนคุ้นเคยในต่างแดน
คนสี่คนในภาพวาดที่ได้รับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญซึ่งมีมูลค่าเท่ากับเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญไป ต่างคนต่างก็ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา จูเหลี่ยนที่เดิมทีตัวเปล่า ตอนออกจากนครมังกรเฒ่า บนไหล่กลับมีห่อสัมภาระเพิ่มมาหนึ่งห่อ ครั้งนี้ออกจากท่าเรือหางผึ้ง ห่อสัมภาระก็หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม
ตอนนี้จูเหลี่ยนภาคภูมิใจในการเป็นคนอ่านหนังสือของตัวเองมาก ดังนั้นนี่จึงเป็นการแบกหีบหนังสือทัศนาจรสำหรับเขา
คนทั้งสี่ยังคงเดินเท้าไปที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน สามแคว้นโดยรอบท่าเรือหางผึ้ง เมื่อปีก่อนแคว้นชิงหลวนได้จัดงานสัมมนามหายานอันเป็นพิธีทางศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ไปครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้สกุลถังเป็นคนจัดขึ้นด้วยตัวเอง ปีที่สองแคว้นอวิ๋นเซียวและแคว้นชิ่งซานที่ราวกับรับคำท้าต่างก็พากันจัดพิธีหลัวเทียน (พิธีขนาดใหญ่ที่นักพรตเต๋าจัดขึ้นเพื่อขจัดพิบัติภัย) ขึ้นมาแทบจะเวลาเดียวกัน แบ่งเทพเซียนลัทธิเต๋าของฝ่ายต่างๆ ไปจนหมดสิ้น ทำเอาแคว้นชิงหลวนตั้งตัวไม่ทัน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ยอมแพ้ ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกันนั้นเขาก็จัดงานโต้วาทีระหว่างพุทธและเต๋าขึ้นมา ต้องการเลือกระหว่างลัทธิเต๋าและลัทธิพุทธให้มาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน สถานะสูงกว่าลัทธิขงจื๊อเสียอีก แน่นอนว่าฝ่ายที่แพ้ย่อมกลายมาเป็นฐานให้อีกฝ่ายเหยียบยืน
ดังนั้นเฉินผิงอันเชื่อว่าอย่างน้อยปีนี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียจะต้องยังอยู่ในเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน
คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับท่าเรือหางผึ้ง รวมไปถึงในเขตปกครองมีวัดวาอารามและทัศนียภาพงดงามมากมาย สามแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นชิงหลวนเองต่างก็ไม่ถือว่าเป็น ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ปราณวิญญาณบางเบาจนขาดแคลน เทียบกับแคว้นซูสุ่ยที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านในปีนั้นแล้ว ปราณวิญญาณมีแต่จะมากกว่า ตอนนั้นเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก แค่เป็นความรู้สึกคร่าวๆ เท่านั้น ตอนนี้ได้หลอมตราประทับอักษรน้ำเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตแล้ว สามารถดูดซับเอาปราณวิญญาณมาได้ช้าๆ เมื่อเปรียบเทียบกันจึงค้นพบความมหัศจรรย์ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ดีกว่าเดิม
ในแคว้นต่างๆ ทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่เฉินผิงอันเคยเดินทางผ่าน ยังคงเป็นแคว้นไฉ่อีที่ปราณวิญญาณมากกว่าที่อื่นเล็กน้อย
เกี่ยวกับแคว้นไฉ่อี ตอนนี้ในยันต์ที่เก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่นของเฉินผิงอันยังมีผีงามโครงกระดูกที่ลงนามทำสัญญากับเขาอยู่ตนหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่ชอบนาง หลังออกมาจากเกาะกุ้ยฮวาก็ไม่เคยให้นางออกจากยันต์ประหลาดอันเป็นที่พักพิงของนางมาก่อน
แต่วันหน้าเมื่อไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ค่อยปล่อยนางออกมา มีเทพภูเขาเฝ้าบัญชาการณ์คอยหลุบตามองภูเขาโดยรอบ เชื่อว่าสำหรับผีสาวตนนั้นแล้วนี่ต้องเป็นการข่มขวัญอย่างหนึ่ง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำระบบสืบทอดที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหลีไม่ใช่สิ่งที่ราชวงศ์ใดๆ ในแจกันสมบัติทวีปจะทัดเทียมได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีจะมีระดับสูงกว่าหนึ่งขั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนนี้เป็นเช่นนี้ วันหน้า…พื้นที่ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นของในกระเป๋าของสกุลซ่งต้าหลีแล้ว ขาดแค่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาบางแห่งของลัทธิขงจื๊อในแผ่นดินกลางเท่านั้น ดังนั้นในอนาคตเกรงว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของแจกันสมบัติทวีปก็คงไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่
ตอนที่ออกจากพื้นที่ชายแดนท่าเรือหางผึ้ง พบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางจากข้างนอกเข้าไปข้างใน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือผู้ฝึกลมปราณก็ล้วนจำเป็นต้องถือยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่งที่ซื้อจากประตูทางเข้าท่าเรือ พอเข้าประตูมาแล้วก็จะปรากฎประตูใหญ่ที่เป็นริ้วกระเพื่อมบานหนึ่ง เมื่อคนผ่านเข้าไป ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นจึงคล้ายคลึงกับเอกสารผ่านทางของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ นี่เป็นเรื่องแปลกใหม่ที่เฉินผิงอันเพิ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ท่าเรือแห่งอื่นๆ ล้วนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเช่นนี้ แต่หากจะออกจากท่าเรือหางผึ้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์ผ่านทางแผ่นนั้นแล้ว หลังเดินออกจากประตูใหญ่ เฉินผิงอันก็ไปถามคนเฝ้าประตูที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้าคนหนึ่งเพื่อขอความรู้จากใจจริง คนผู้นั้นเห็นว่าบุคลิกท่าทางของเฉินผิงอันล้วนไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเดินออกมาจากท่าเรือหางผึ้งจึงยิ้มพลางไขข้อสงสัยให้กับเฉินผิงอัน ที่แท้ท่าเรือหางผึ้งมีค่ายกลภูเขาแม่น้ำแห่งหนึ่งที่สำนักหยินหยางและอาจารย์ด้านกลไกร่วมมือกันสร้างขึ้น เซียนดินโอสถทองสามารถเดินผ่านเข้าไปได้โดยตรง ต่ำกว่าโอสถทองลงมาก็จำเป็นต้องซื้อยันต์ผ่านด่านมูลค่าห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะหนึ่งแผ่น หากฝ่าฝืนบุกเข้าไป พวกคนที่ลาดตระเวนอยู่บนท่าเรือหางผึ้งก็จะพากันกรูเข้ามา ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็คือสาขาแยกของยันต์ทำลายค่ายกล ซึ่งท่าเรือหางผึ้งก็ขอร้องให้เซียนซือพรรคมหายันต์สร้างขึ้นมาโดยวัดประเมินจากค่ายกลแห่งนี้
เมื่อเฉินผิงอันถามว่าเหตุใดท่าเรือแห่งอื่นถึงไม่จำเป็นต้องใช้ยันต์เปิดทาง ผู้ฝึกลมปราณก็คลี่ยิ้มคลุมเครือ ใช้เท้าเหยียบลงบนพื้นเบาๆ ถามว่าที่นี่คือถิ่นของใคร
ตำแหน่งที่ตั้งของประตูใหญ่แห่งนี้มุ่งหน้าไปในอาณาเขตของแคว้นชิงหลวน เฉินผิงอันย่อมต้องตอบว่าสกุลถังชิงหลวน ไม่รอให้ผู้ฝึกลมปราณอธิบายอย่างละเอียด เฉินผิงอันก็พลันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน แล้วก็ต้องทอดถอนใจให้กับความฉลาดในการหาเงินของฮ่องเต้สกุลถังผู้นั้น
เมืองหลวงแคว้นชิงหลวนห่างจากท่าเรือหางผึ้งไปหนึ่งพันหกร้อยลี้ และอยู่ห่างจากงานโต้วาทีพุทธเต๋าซึ่งจะเริ่มขึ้นในช่วงฝนธัญชาติ (คือฝนที่ตกมาทำให้ธัญชาติที่ปลูกเจริญเติบโตงอกงาม ตรงกับวันที่ 19, 20 หรือ 21 เมษายน) อีกประมาณสองเดือนกว่า ดังนั้นเดินเท้าไปที่นั่นจึงไม่เป็นปัญหาใดๆ
การเดินทางหลังจากนั้นพวกเขาก็เจอวัดวาอารามน้อยใหญ่ไปตลอดทาง คนทั้งกลุ่มต่างก็ไม่ได้ศรัทธาในศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋าสักเท่าไหร่ หากเข้าไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมาก่อน เฉินผิงอันกับเผยเฉียนก็แค่จุดธูปสามดอกเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างนอบน้อมเท่านั้น เว่ยเซี่ยนไม่เชื่อเรื่องนี้จึงไม่เข้าไป จะรออยู่ตรงหน้าประตู จูเหลี่ยนก็ไม่เชื่อ แต่ก็เดินเข้าไปเป็นเพื่อนเฉินผิงอันกับเผยเฉียน หลูป๋ายเซี่ยงจะเข้าแค่วัดเพื่อไปจุดธูปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ด้วยความจริงใจเท่านั้น ส่วนสุยโย่วเปียนจะเข้าแค่อารามเต๋าซึ่งก็มีความจริงใจมากเช่นกัน
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนเผยเฉียนว่า จุดธูปกราบไหว้นั้นได้ แต่ไม่ควรขอพรส่งเดช ยิ่งไม่ควรเห็นเหล่าเทพเซียนเหล่าพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ตามในวัดวาอารามแล้วไล่โขกหัวขอพรไปเสียทั้งหมด
แต่ก็บอกเผยเฉียนว่า หากวันใดเกิดความรู้สึกอยากจะขอพรจริงๆ ก็ต้องทำอย่างตั้งใจ ต้องจำเนื้อหาของพรที่ขอให้ได้ รวมถึงจำว่าไปจุดธูปขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใดที่วัดหรืออารามแห่งใด หากความปรารถนาเป็นจริงแล้ว วันหน้าไม่ว่าหนทางจะไกลแค่ไหนก็ต้องกลับมาทำตามที่สัญญาเอาไว้ให้ได้
เห็นว่าเฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนไม่กล้าขอพรใดๆ แค่จุดธูปกราบไหว้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นพอคิดว่าหากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วยังต้องกลับมาทำตามสัญญาที่แคว้นชิงหลวน นางก็รู้สึกว่าหากตนไม่เหนื่อยตายก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว ร้องไห้จะเป็นจะตายระหว่างที่เดินทางมาแน่นอน
อีกทั้งตอนที่เข้าไปจุดธูปกราบไหว้ เฉินผิงอันยังมีกฎอีกข้อหนึ่ง บอกว่าเงิน ‘เชิญธูป’ จะขอยืมจากคนอื่นไม่ได้ จำเป็นต้องให้นางเผยเฉียนออกเอง
ยังดีที่ตลอดทางมานี้ เฉินผิงอันใช้งานเผยเฉียนอยู่หลายครั้ง เด็กหญิงผอมแห้งจึงเก็บเงินได้หลายตำลึง พอเอามาแลกเป็นเหรียญทองแดงแล้ว คิดจะเชิญธูปในวัดและอารามก็ถือว่าเพียงพอ
เผยเฉียนไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันขี้งกเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนี้
ยิ่งนานวันนางก็ยิ่งรู้สึกว่า เฉินผิงอันใจกว้างกับนางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขามากกว่าพวกเหล่าเว่ยสี่คนมากนัก
นี่ทำให้เผยเฉียนดีใจอย่างมาก
ช่วงแมลงตื่นจากการจำศีล ในผืนป่ารกร้างของอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งแคว้นชิงหลวน ต่อให้อยู่ห่างจากที่นี่ไปร้อยกว่าลี้ พวกเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ว่าแผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน ห่างออกไปไกลมีฝุ่นตลบมืดฟ้ามัวดิน มีปีศาจใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งที่เห็นเพียงเค้าโครงรูปร่างอย่างพร่าเลือนคล้ายจะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน มันแหงนหน้าร้องคำราม ทำเอานกจำนวนนับไม่ถ้วนในผืนป่ากระพือปีกบินแตกฮือ
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกให้เว่ยเซี่ยนกับสุยโย่วเปียนไปสืบดูว่าเกิดอะไรขึ้น ดูว่ามีผู้บริสุทธิ์ที่ต้องเดือดร้อนหรือไม่
ตอนนี้บาดแผลของตัวเขาเองยังไม่หายดี อีกทั้งยังต้องปรับสมดุลระหว่างทะเลสาบช่องโพรงที่กักเก็บปราณวิญญาณกับปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ซึ่งเป็นดั่งน้ำกับไฟ แม้จะบอกว่าคอขวดขอบเขตห้าของวิถีวรยุทธ์ยังคงอยู่ แต่ศักยภาพที่แท้จริงกลับเป็นแค่มาตรฐานของขอบเขตสี่เท่านั้น
ในมือเว่ยเซี่ยนกุมเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ สุยโย่วเปียนสะพายกระบี่ชือซินไว้ด้านหลัง คนทั้งคู่มีทั้งความสามารถในการโจมตีและการตั้งรับ ต่อให้พบเจออันตรายระหว่างทาง แต่หากร่วมมือกัน คิดจะถอยกลับมาอย่างเต็มตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเร่งเดินทางให้เร็วขึ้น รอจนสุยโย่วเปียนกับเว่ยเซี่ยนกลับมาก็บอกว่าทางฝั่งนั้นเกิดวัวดินพลิกตัว คือผู้ฝึกตนอิสระกลุ่มใหญ่ที่ไม่รู้ว่าไปเจอวัวดินซึ่งจำศีลอยู่ใต้ดินแห่งนี้มาหลายร้อยปีได้อย่างไร พวกเขาคิดจะล้อมสังหารมัน หวังเอาวัตถุวิเศษที่มีอยู่ทั่วเรือนกายของวัวดินมาครอง แต่ถูกคนสองคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นขัดขวาง คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่มที่ใช้กระบี่ไม้ท้อ อีกคนหนึ่งคือชายฉกรรจ์เคราดกพกดาบ ทั้งสองฝ่ายไม่ทันได้พูดคุยกันก็ลงไม้ลงมือกันแล้ว ศักยภาพของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ฝ่ายที่ล้อมสังหารย่อมได้เปรียบ เพราะในกลุ่มของพวกเขามีคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองซึ่งเป็นคนควบคุมสถานการณ์ จุดจบไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้
เฉินผิงอันตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที ทะยานตัวขึ้นสูง กระบี่บินชูอีสืออู่พากันพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเฉินผิงอันก็เดินไปทีละก้าวบนกระบี่บินที่พุ่งมารองรับ ประหนึ่งเซียนทะยานลมจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
คนในภาพวาดทั้งสี่หันมามองหน้ากันเอง
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ มองซ้ายมองขวา เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
สุยโย่วเปียนพุ่งวูบหายตัวไป
จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็ทะยานตัววูบตามไปติดๆ “จะได้ตีกันอีกแล้ว สะใจ!”
เว่ยเซี่ยนแบกเผยเฉียนขึ้นหลัง
หลูป๋ายเซี่ยงติดตามไปเงียบๆ
ค่อนข้างแปลกใจว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเสียกิริยาขนาดนี้?
หรือว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นั่น?
แต่เฉินผิงอันที่มาจากตรอกหนีผิงถ้ำสวรรค์หลีจู ต่อให้เป็นคนรู้จักก็ไม่ควรเป็นพวกคนอย่างเจิ้งต้าเฟิงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้า หลี่เอ้อร์ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตสิบ เฉาซีเซียนกระบี่ หรือเทียนจวินเซี่ยสือหรอกหรือ?
บ้านเกิดของเฉินผิงอันเป็นสถานที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบจนแทบจะไร้เหตุผลเลยนี่นา
ต่อให้วันใดมีผู้เฒ่าประหลาดขอบเขตบินทะยานโผล่มากะทันหัน ตอนนี้พวกคนทั้งสี่ในภาพวาดอย่างหลูป๋ายเซี่ยงก็ไม่ตกใจมากจนเกินไปแล้ว แต่หากจู่ๆ มี ‘คนบทบาทเล็กๆ’ อย่างพวกห้าขอบเขตกลางอะไรโผล่มาบอกว่าตัวเองคือเพื่อนของเฉินผิงอัน พวกเขาสี่คนกลับรู้สึกไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่
ต่อให้จะมีกระบี่บินสองเล่มคอยช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบาดแผลติดตัว อีกทั้งปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นก็เหมือนจะถูกขัดขวางเล็กน้อย ดังนั้นความเร็วจึงยังคงพอๆ กับพวกสุยโย่วเปียนที่อยู่บนพื้น
ในเทือกเขาขนาดใหญ่ยักษ์ซึ่งมีเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วน วัวดินสีเหลืองที่บาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงนอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด ด้านหน้าของมันคือนักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกที่สภาพสะบักสะบอม คนทั้งสองหันหลังชนกัน ผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคนที่อยู่รอบด้านประหนึ่งฝูงหมาป่าที่รุมล้อมพวกเขา
ภายใต้สายตาที่จับจ้องมองมาของทุกคน เรือนกายล่องลอยของคนหนุ่มชุดขาวที่ไม่รู้ว่าทะยานลมหรือขี่กระบี่ปรากฎขึ้นประดุจเทพเซียนแท้จริงซึ่งอยู่เหนือโลกีย์ทั้งมวล
เห็นเพียงว่าเซียนซือชุดขาวผู้นั้นลดตัวลงต่ำอย่างเร่งร้อน พอพลิ้วกายลงบนพื้นก็เดินก้าวมาเบาๆ ข้างหน้าห้าหกก้าว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง คลี่ยิ้มพลางชูฝ่ามือสองข้างให้กับพวกเขา
นักพรตหนุ่มและมือดาบเคราดกอึ้งตะลึงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นักพรตหนุ่มถึงกับขยี้ตา จากนั้นรอยยิ้มก็แผ่กระเพื่อมอยู่เต็มดวงตาคู่ที่ใสกระจ่างของนักพรต
นักพรตหนุ่มกับจอมยุทธ์เคราดกต่างก็ยื่นฝ่ามือกันออกมาคนละข้าง ตีมือกับเซียนซือหนุ่มผู้นั้นหนักๆ ไม่เหลือสีหน้าห่อเหี่ยวอีกต่อไป คนทั้งสองพลันเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาสดใส อารมณ์เบิกบานสุดขีด
เฉินผิงอันมองคนทั้งสอง สายตาของเขาในเวลานี้สว่างไสวยิ่งกว่าดวงตาของเผยเฉียนที่มีดวงตะวันและจันทราเสียอีก เขาจับมือของสหายทั้งสอง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้วเชียว! ใต้หล้านี้มีเพียงสหายสองคนนั้นของข้าอย่างจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียเท่านั้นที่ถึงจะยินดีทำเรื่องเปลืองแรงแต่ไม่ได้รับผลตอบแทนเช่นนี้!”
—–