กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 376.2 ผู้ฝึกตนอิสระมีหลากหลาย
ก่อนหน้านี้จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียสองคนก็ถือเป็นคนที่ถูกอีกฝ่ายรับสมัครตัวมาเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถึงแม้จางซานเฟิงจะตบะไม่สูง แต่กลับเชี่ยวชาญด้านประวัติความเป็นมาของภูตผีแห่งภูเขาและน้ำมากมาย สำหรับรากฐานและนิสัยของวัวดินสีเหลือง เขาก็ยิ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงปฏิเสธคำเชื้อเชิญของอีกฝ่าย
ส่วนที่ยุ่งยากอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่จางซานเฟิงรู้ดีว่าหากวัวดินสีเหลืองตัวนั้นเป็นขอบเขตประตูมังกร ห่างจากการสร้างโอสถอีกแค่ก้าวเดียวจริงๆ ถ้าเช่นนั้นหากถูกล้อมสังหาร ขนาดพระโพธิสัตว์ยังมีไฟโทสะ คนซื่อก็ยังมีช่วงที่เลือดลมเดือดพล่าน แล้วนับประสาอะไรกับปีศาจตนหนึ่ง? ดังนั้นจางซานเฟิงจึงกลัวว่าก่อนที่วัวดินจะตายอาจไปชักนำเส้นทางใต้ดิน นั่นก็จะเกิดเหตุการณ์วัวดินพลิกตัวครั้งใหญ่อย่างแท้จริง ในรัศมีพันลี้รอบด้านจะเกิดแผ่นดินไหว เมืองสองแห่งที่อยู่ใกล้ที่แห่งนี้ที่สุด ไม่แน่ว่าอาจมีชาวบ้านผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนบาดเจ็บล้มตาย
สวีหย่วนเสียขึ้นเหนือล่องใต้มาจนทั่ว ประสบการณ์ค่อนข้างโชกโชน จึงไม่ได้เอ่ยคำพูดที่แสดงถึงการผดุงคุณธรรมบอกให้ผู้ตนอิสระเหล่านั้นล้มเลิกความคิดที่จะล้อมสังหารวัวดินไปโดยตรง แต่อธิบายถึงความเป็นไปได้และความอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากวัวดินพลิกตัวให้พวกเขาฟังอย่างละเอียด หวังว่าผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่ตอนนั้นเรียกตัวพวกเขาสองคนมาจะเอาคำพูดนี้ไปบอกแก่คนที่อยู่เบื้องหลัง ให้เขาจ่ายเงินอีกเล็กน้อยจ้างอาจารย์ด้านค่ายกลหลายท่านมา พยายามลดระดับผลกระทบที่เกิดจากวัวดินพลิกตัวให้เหลือต่ำที่สุด อย่างน้อยที่สุดก็อย่าให้ชาวบ้านหลายหมื่นคนต้องตายหรือพลัดพรากจากถิ่นฐาน ถือเป็นการจ่ายเงินสั่งสมบุญ ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตคนนั้นตบอกรับรองว่าจะนำความไปบอก ตอนนั้นสวีหย่วนเสียแสร้งทำเป็นแกล้งโง่เออออตามไป และยังพูดคุยปราศรัยกับผู้ฝึกตนคนนั้นไปอีกพักหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเขากับจางซานเฟิงกลับแอบสะกดรอยตามอีกฝ่ายไปอย่างลับๆ จนกระทั่งเขาค้นพบว่าในกลุ่มของเซียนดินโอสถทองมีแค่อาจารย์ค่ายกลคนเดียวที่คอยเฝ้าบัญชาการณ์ค่ายกล ก็รู้แล้วว่านี่ต้องกลายเป็นหายนะที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนแน่นอน
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียวางแผนร่วมกัน คนสองคนแยกย้ายกันไปทำงาน สวีหย่วนเสียไปตามหาสำนักบนภูเขาที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วบอกเรื่องนี้ให้อีกฝ่ายรู้อย่างชัดเจน ไม่หวังว่าเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลเหล่านั้นจะลงมือขัดขวางเซียนดินก่อกำเนิดที่ชั่วร้ายผู้นี้ แค่สร้างความกดดันให้อีกฝ่ายก็พอ หรือไม่ก็เตรียมการไว้ก่อนโดยช่วยสยบสถานการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดจากเส้นทางใต้ดินที่สั่นสะเทือนไปพันลี้ ส่วนจางซานเฟิงที่เพราะมีสถานะถูกต้อง ถือเป็นนักพรตต่างแซ่สายนอกของภูเขามังกรพยัคฆ์แผ่นดินกลางที่อยู่ในกุรุทวีป ดังนั้นจึงไปเยือนที่ว่าการ ไปหาขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจเต็มในการบริหารท้องถิ่น หวังว่าราชสำนักแคว้นชิงหลวนจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ทางที่ดีที่สุดคือฮ่องเต้สกุลถังสามารถส่งผู้ถวายงานของเชื้อพระวงศ์มา ‘คุมค่ายกล’ ของที่แห่งนี้ ต่อให้จะมาเป็นกำลังเสริมแก่เซียนดินโอสถทองคนนั้น หรือพยายามใช้วิธีผูกมัดใจของเขาก็ได้ เพียงแต่ว่าบริเวณโดยรอบที่วัวดินสีเหลืองซ่อนตัวอยู่จำเป็นต้องวางค่ายกลใหญ่แห่งภูเขาและแม่น้ำหลายแห่งไว้แต่เนิ่นๆ
ขุนนางใหญ่ผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริงผู้นั้นค่อนข้างจะพูดคุยได้ง่าย เขารับปากว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้ทางราชสำนักทราบในทันที จะไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซียนบนภูเขาที่อยู่ในเขตการปกครองเพื่อให้พวกเขาส่งกระบี่บินไปที่เมืองหลวง
แต่ขุนนางผู้มีอำนาจของแคว้นชิงหลวนคนนี้ค่อนข้างจะเฉลียวฉลาด เปิดปากก็บอกว่าต้องการให้จางซานเฟิงมอบของที่มีค่าออกมาสองชิ้น ไม่อย่างนั้นนี่อาจจะดูเป็นเรื่องที่ตื่นตูมกันไปเอง หรือไม่ก็เป็นคำพูดเหลวไหลจากนักพรตต่างถิ่นอย่างจางซานเฟิง แล้วถึงเวลานั้นเขาจะอธิบายให้เซียนซือบนภูเขาและฮ่องเต้ฟังอย่างไร?
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียต่างก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล จึงมอบกระบี่อาคม ‘เจินอู่’ และมีดสั้นที่ได้มาจากศึกในแคว้นไฉ่อีเล่มนั้นออกไป
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือสภาพการณ์ที่เห็นกันอยู่ตอนนี้
คุยกันด้วยเหตุผลไม่รู้เรื่อง
ดูเหมือนว่าการที่ผู้ฝึกตนอิสระไขว่คว้าหาผลประโยชน์จะเป็นหลักการที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ก็เหมือนกับที่ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ตัดขาดทางทำมาหากินคนอื่น นี่ก็คือการกระทำที่ทำให้ทั้งคนและเทพในกลุ่มผู้ฝึกตนอิสระต่างพากันโกรธแค้น
ส่วนผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนี้ที่ ‘หวังผลประโยชน์มาตั้งแต่ต้น’ แน่นอนว่าต้องมีคำพูดที่สนับสนุนการกระทำของตัวเองได้อยู่แล้ว ในสถานที่เงียบสงัดไร้ผู้คนซึ่งแม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ใส่แห่งนี้ แค่ล้อมสังหารปีศาจตนหนึ่ง พวกเขาไม่เคยฆ่าคนชิงทรัพย์ ยิ่งไม่เคยใช้คาถาเทพเซียนหรืออาวุธตระกูลเซียนทำร้ายชาวบ้าน ต่อให้เป็นเซียนซือในทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังเทียบไม่ได้ หาเงินมือสะอาดขนาดนี้แล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก? นักพรตหนุ่มที่ปากไร้หนวด (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรไม่น่าเชื่อถือ เพราะประสบการณ์ยังน้อย) กับผู้ฝึกยุทธ์ในยุทธภพคนหนึ่งที่มีหนวดอยู่ไม่น้อย มาเอ่ยอ้างว่าวัวดินจะชักนำเส้นทางใต้ดิน ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวไกลเป็นพันลี้ พวกเจ้าเป็นหอมต้นไหน?
หลังจากนั้นพวกจางซานเฟิงก็แอบติดตามร่องรอยมาถึงที่นี่ เห็นกับตาตัวเองว่าปีศาจวัวดินสีเหลืองร่างใหญ่โตดุจขุนเขาที่มีนิสัยอ่อนโยนได้สลัดก้อนหินและต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนบนแผ่นหลัง คุมเชิงอยู่กับผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคน ตอนแรกมันยังคิดจะหนี จึงทั้งรบทั้งถอย แต่ก็ยังถูกไล่ฆ่าจนมีสภาพชวนสังเวช นั่นถึงทำให้มันเริ่มจู่โจมกลับ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนฟ้าสะท้านดินสะเทือน
จางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียได้แต่ปกป้องอยู่ตรงหน้าวัวดินสีเหลืองตัวนั้น ในขณะที่มันบาดเจ็บสาหัสจนจำต้องเผยร่างจริงซึ่งมีขนาดไม่ต่างจากควาย และหากจู่โจมจนมันตาย สถานการณ์ก็ไม่อาจพลิกฟื้นกลับคืนมาได้แล้วจริงๆ
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ปีศาจใหญ่ที่นอนจมอยู่ในกองเลือดเห็นว่าคนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่ได้ลงมือกับมัน กลับยังพยายามช่วยเหลือมันสุดชีวิต ปีศาจพยายามดิ้นรนใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง แม้จะรู้ความคิดของพวกเขาสองคนอย่างคร่าวๆ ว่าคงจะกลัวตนชักนำให้เกิดแผ่นดินไหว เป็นเหตุให้เทือกเขาและแผ่นดินปริแตกยาวไปเป็นพันลี้ สุดท้ายมันจึงไม่ได้เลือกจะให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย กลับเพียงแค่ปล่อยให้พลังชีวิตไหลหายไป
เฉินผิงอันมองจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสีย
ผู้ฝึกลมปราณกลุ่มนั้นน่าจะคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือได้มั่นคงแล้วจึงไม่ได้ลงมือสังหารคนทั้งสองให้ตาย
นักพรตหนุ่มได้รับบาดเจ็บภายนอกเล็กน้อย เพียงแต่ว่าถูกกระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่แทงทะลุไหล่ เลือดจึงไหลไม่หยุด หลังจากโปะยาลงไปแล้วกลับไม่ได้ผลมากนัก น่าจะบาดเจ็บไปถึงกระดูกและเส้นเอ็น ถึงอย่างไรก็เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่ง ไม่ใช่แค่สองคำว่าคมกริบจะสามารถอธิบายได้
บนหนวดของชายฉกรรจ์เคราดกเต็มไปด้วยเลือดสดๆ หนวดหลายหย่อมพันกันเป็นก้อนเป็นกระจุก มองดูแล้วน่าตลกไม่น้อย
เวลานี้ผู้ฝึกตนโอสถทองผู้นั้นถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว
จางซานเฟิงกังวลว่าเฉินผิงอันจะรับปาก จึงจับแขนของเขา พูดอย่างร้อนใจว่า “ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
ผู้ฝึกตนโอสถทองยิ้มกล่าว “ตอนนี้ปีศาจตนนั้นแค่รอความตายอย่างเดียวแล้ว และไม่มีวี่แววว่ามันจะดิ้นรนก่อนตายด้วย เหตุใดผู้ผดุงธรรมทั้งสองและเซียนซือที่เพิ่งมาถึงท่านนี้ถึงต้องทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น จะต้องเข่นฆ่าคนกันเองไปไย?”
สวีหย่วนเสียประคองตัวเองไม่อยู่แล้วจึงนั่งแปะลงไปบนพื้น สีหน้าดำคล้ำ มือหนึ่งกำดาบวางไว้บนพื้น อีกมือหนึ่งเช็ดหนวด “เหตุผลเป็นเช่นนี้ก็จริง แต่กลับรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง”
ชายฉกรรจ์เคราดกหันหน้าไปมองวัวดินสีเหลืองตัวนั้น “ยังคงรู้สึกผิดต่อมัน”
จางซานเฟิงถอนหายใจ เก็บกระบี่ไม้ท้อไว้ด้านหลัง ปล่อยมือข้างที่จับแขนเฉินผิงอัน กล่าวอย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าคงจะทำได้แค่นี้แล้วกระมัง?”
แต่กลับใช้น้ำเสียงสอบถาม
อันที่จริงทุกคนซึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนโอสถทองต่างก็สังเกตเห็นผู้ติดตามสี่คนของเซียนกระบี่หนุ่มมานานแล้ว
ทุกคนต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่มีพลังอำนาจน่าตะลึง
เชื่อว่านี่ต่างหากที่เป็นสาเหตุแท้จริงที่พวกเขายังอยู่นิ่งเฉย ยอมพูดคุยกันด้วยเหตุผลดีๆ
เฉินผิงอันตบบ่าจางซานเฟิง “ข้าจะแก้ไขปัญหาให้เอง”
จางซานเฟิงอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มกว้าง “ไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไร พวกข้าสองคนก็ไม่มีความเห็นต่าง ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก จริงๆ นะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ หันหน้าไปมองเซียนดินโอสถทองที่บังคับลมยืนอยู่กลางอากาศผู้นั้นแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใด หรือว่ามาจากหน่วยบัญชาการทหารสูงสุดของแคว้นชิงหลวน?”
สวีหย่วนเสียที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นยิ้มอย่างรู้ใจ โอ้โหแหะ ตอนนี้เจ้าเด็กน้อยเฉินผิงอันมีไหวพริบและกลอุบายขึ้นไม่น้อย ประโยคเดียวก็ถามโดนทิศทางการคาดเดาในใจตนอย่างจัง
น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าขอบเขตวรยุทธ์จะไม่ขยับเคลื่อนหน้าสักเท่าไหร่ ยังเป็นขอบเขตสามอยู่เหมือนเดิม?
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ครั้งก่อนที่แยกจากกันเพิ่งจะผ่านไปแค่สองปีกว่าๆ ตอนนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง สิบเจ็ดปีกระมัง? รากฐานขอบเขตสามของเขาปูมาดีขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว อยู่ในยุทธภพก็สามารถถูกเรียกขานว่า ‘ผู้มีพรสวรรค์ด้านการเรียนวรยุทธ์’ อย่างไม่กระดากใจแล้ว
ด้านนอกคนทั้งสามคือฝูงหมาป่าหมาในที่ล้อมเป็นวง
สี่คนในภาพวาดอย่างเว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนต่างก็ไม่ได้เดินเข้าไปอยู่ข้างกายเฉินผิงอันที่อยู่ในวงล้อม แต่ยืนอยู่นอกวงล้อมห่างออกไป ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวทั้งสี่ที่ทุกคนมองความตื้นลึกอย่างละเอียดไม่ออกนี้ คิดจะ ‘โอบล้อม’ ผู้ฝึกลมปราณทั้งยี่สิบคนอย่างนั้นหรือ?
ผู้ฝึกตนโอสถทองคนนั้นคลี่ยิ้ม “ข้าเป็นใคร ไม่เกี่ยวข้องกับว่าเซียนซือน้อยจะจัดการอย่างไรกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “ในสายตาของเจ้า วัวดินสีเหลืองตัวนี้มีค่ากี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ?”
ผู้ฝึกตนโอสถทองคิดแล้วก็ตอบอย่างจริงจัง “หากเป็นราคาตลาดก็ประมาณเงินร้อนน้อยยี่สิบถึงสามสิบเหรียญ เพียงแต่ว่าเผ่าพันธุ์วัวดินนี้หาได้ยากอย่างถึงที่สุด มีแต่ราคาแต่ไม่มีตลาดให้วางขาย ดังนั้นราคาแท้จริงจึงเพิ่มไปอีกเป็นเท่าตัว หากคำนวณตามราคานี้ก็ประมาณห้าพันเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทำไม เซียนซือคิดจะคำนวณดูว่าสัดส่วนของตัวเองจะได้เป็นเงินเกล็ดหิมะกี่เหรียญอย่างนั้นหรือ? หรือรู้สึกว่าหนึ่งส่วนนั้นน้อยเกินไป ผิดต่อศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง ต้องการสองส่วน หรือไม่ก็มากกว่านั้น?”
แม้ว่าเซียนดินโอสถทองท่านนี้จะพูดกลั้วหัวเราะในประโยคหลัง แต่ความเยียบเย็นที่ซุกซ่อนอยู่ ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ฟังออก
นี่คือสัญญาณของการฉีกหน้ากันแล้ว
พลังคุกคามอันมากไพศาลซึ่งมองไม่เห็นที่เซียนดินโอสถทองท่านหนึ่งแผ่ออกมา ต่อให้เป็นผู้เฒ่าชุดดำที่นั่งอยู่บนปีศาจจิ้งจอกสี่ดำก็ยังรู้สึกหายใจหายคอไม่คล่อง
ขอแค่เป็นคนที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จก็สามารถยืมพลังมาจากฟ้าดินได้
“แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่มีเหตุผล และอันที่จริงก็เป็นสหายสองคนของข้าที่ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในตอนนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การที่สุดท้ายแล้วเรื่องราวไม่ได้ดำเนินไปถึงก้าวที่เลวร้ายที่สุด ไม่มีโศกนาฎกรรมที่วัวดินพลิกตัวแผ่นดินไหวพันลี้ก็ถือว่าหาได้ยาก ดังนั้นตอนนี้พวกเราสามารถมาปรึกษากันดีๆ ได้แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ คิดตามราคาห้าสิบเหรียญเงินร้อนน้อยที่เจ้าบอกมาก่อนหน้านี้ หักส่วนหนึ่งของข้าออกไป นี่คือเงินร้อนน้อยสี่สิบห้าเหรียญ เอาไปซะ”
ทุกคนเห็นเพียงว่าเซียนซือผู้ฝึกกระบี่ชุดขาวโยนเงินร้อนน้อยกำใหญ่ไปทางเซียนดินโอสถทองที่อยู่ห่างไปไกลมาก
เซียนดินผู้นั้นขมวดคิ้ว โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เงินร้อนน้อยสี่สิบกว่าเหรียญก็เป็นเหมือนธารน้ำไหลที่ล้อมวนอยู่รอบกายเขาห่างออกไปหนึ่งจั้ง ไม่ยอมให้พวกมันขยับเข้าใกล้ตัวเองอย่างแท้จริง จากนั้นเขาก็จ้องนิ่งไปบนเหรียญแต่ละเหรียญ ไม่เห็นว่าบนเงินเทพเซียนพวกนี้ผ่านการเล่นตุกติกมาก่อน แต่เป็นเงินร้อนน้อยของแท้แน่นอน
ลวี่หยางเจินและผู้ฝึกตนอิสระทุกคนต่างก็ตาแดงก่ำด้วยความอยากได้ ทั้งยังระแวงสงสัย
ใต้หล้านี้มีวิธีการทำการค้าแบบนี้จริงๆ หรือ?
ผู้ฝึกตนโอสถทองไม่ได้เก็บเงินร้อนน้อยซึ่งเท่ากับเงินสี่ล้านห้าแสนตำลึงเงินในราชวงศ์โลกมนุษย์ไปทันที ไม่พูดถึงแคว้นชิงหลวนซึ่งมีชื่อเสียงด้านความร่ำรวยโด่งดังไปทั่วทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป เอาแค่แคว้นชิ่งซาน ปีหนึ่งราชสำนักได้ภาษีเท่าไหร่กันเชียว? ดังนั้นนี่จึงถือว่าเป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่มากแล้ว ต่อให้เป็นเซียนดินท่านนี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าเป็นรายรับที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เซียนดินไล่ตรวจตราเงินเทพเซียนที่ไหลวนไปรอบกายต่อพลางเอ่ยถามว่า “ขอถามคุณชายท่านนี้ บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ใด?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้าถามว่าเจ้ามาจากที่ไหน เจ้าก็ไม่ตอบเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
เซียนดินโอสถทองยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นขอถามคุณชายว่าที่จ่ายเงินซื้อวัวดินสีเหลืองตัวนี้เพราะมีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือไม่?”
“เรื่องพวกนี้ผู้อาวุโสไม่ต้องสนใจหรอก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็โยนเงินร้อนน้อยอีกห้าเหรียญไปให้เซียนดินผู้นั้น “เงินห้าเหรียญนี้รบกวนผู้อาวุโสแบ่งให้เซียนซือคนอื่นๆ ถือซะว่าเป็นของขวัญชดเชยที่ข้า ‘มาทีหลังแต่กลับได้ไปก่อน’ ก็แล้วกัน”
เมื่อเป็นเช่นนี้สีหน้าของผู้ฝึกตนอิสระทั้งหลายจึงดีขึ้นไม่น้อย
ถึงอย่างไรเงินร้อนน้อยห้าเหรียญที่ได้เพิ่มมานี้ก็ถือว่าได้มาฟรีๆ พวกเขาผู้ฝึกลมปราณยี่สิบกว่าคน อันที่จริงหากแบ่งเป็นภูเขาก็มีภูเขาน้อยใหญ่สี่แห่งแล้ว พวกลวี่หยางเจินสามคนคือภูเขาที่เล็กที่สุด กลุ่มของผู้เฒ่าชุดดำขี่จิ้งจอกคือภูเขาลูกที่ใหญ่ที่สุด ไม่ว่าจำนวนคนหรือศักยภาพก็ล้วนโดดเด่นอย่างถึงที่สุด ดังนั้นเงินร้อนน้อยห้าเหรียญที่ได้มาเพิ่มอย่างไม่ทันคาดคิดนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกแบ่งไปสองเหรียญโดยตรง
เซียนดินโอสถทองยิ้มกล่าวว่า “คุณชายมีความกล้าหาญและเงินทองมากจริงๆ สามารถมอบเงินร้อนน้อยให้คนอื่นแทนเงินเกล็ดหิมะได้ขนาดนี้ ต่อให้เป็นข้าน้อยก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้”
คำพูดนี้เอ่ยออกมา
ความคิดของผู้ฝึกตนอิสระก็เกิดริ้วกระเพื่อมขึ้นมาอีก
เพราะคำพูดนี้ของเซียนซือทิ่มแทงใจเกินไป ผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเขาเอาหัวผูกไว้ที่เอวกางเกง (เปรียบเปรยถึงอาชีพที่อันตราย หากไม่ทันระวังก็อาจเสียชีวิต) ทุ่มเทชีวิตแก่ๆ สุดชีวิต ปีหนึ่งจะหาเงินร้อนน้อยได้สักกี่เหรียญกันเชียว?
“คำพูดดีๆ ก็เอ่ยไปแล้ว เรื่องดีๆ ก็ทำไปแล้ว อันดับต่อไปข้าจะพูดคุยเรื่องที่จริงจังเสียหน่อย”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน พูดอย่างเฉยเมยว่า “ใต้หล้านี้ไม่ว่าเงินของใครก็ล้วนไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า บนร่างข้ายังมีเงินร้อนน้อยอยู่อีกเล็กน้อยจริงๆ หากทุกท่านอยากได้ก็อาศัยความสามารถมาเอาไปครอง แต่หากลงมือแล้วยังเอาไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องเอาชีวิตของพวกเจ้าไว้แทน”
เซียนดินโอสถทองพลันเก็บเงินร้อนน้อยทั้งห้าสิบเหรียญไป ถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่กังวลว่าข้าจะจากไปอย่างไม่ใยดี? ตัวเองไม่มีปัญญาแบกวัวดินสีเหลืองตัวนี้ไป และต่อให้แบกไปได้ก็จะดึงดูดความสนใจของผู้คน พกเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญย่อมไปไหนมาไหนได้อิสระเสรีมากกว่าไม่ใช่หรือ?”
เซียนดินโอสถทองถามอีก “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเอาเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญที่ได้มาอยู่ในมือเรียบร้อยแล้วนี้ซื้อชีวิตของพวกเจ้ารึ? ไปๆ มาๆ ทุกคนซึ่งรวมถึงข้าต่างก็ได้กำไรมาเพิ่มสองส่วน แบบนั้นจะไม่น่ายินดีกว่าหรือไร?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “เอาไปได้ตามสบาย หรือจะซื้อขายก็ตามใจเจ้า ขอแค่เจ้าอารมณ์ดีก็พอ”
ขัดหูขัดตาเจ้ามานานแล้ว เจ้าจะหนีหรือจะลงมือจู่โจมก็ตามใจ ข้าจะได้ฆ่าเจ้าง่ายขึ้น
เซียนดินโอสถทองเงียบงันไม่เอ่ยคำใด คล้ายกับกำลังชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย
ผู้ฝึกตนอิสระทุกคนก็กำลังรอการตัดสินใจจากโอสถทองท่านนี้
และเวลานี้เอง วัวดินสีเหลืองที่บาดเจ็บสาหัสตัวนั้นพลันเอ่ยภาษาคนพร้อมกันหันมามองแผ่นหลังของคนชุดขาว “เหตุใดเซียนซือต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
เฉินผิงอันไม่ได้หันตัวกลับ มือจับประคองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว พูดเบาๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมือนคนมากกว่าคนอีกหลายคน ง่ายๆ เพียงเท่านี้ นับแต่วันนี้ไป หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฝึกตนให้ดี วันหน้าบนโลกจะได้มีผู้ฝึกตนโอสถทองที่ทำดีช่วยเหลือผู้อื่นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
—–