กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 378.2 กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ
เผยเฉียนที่กำลังหงุดหงิดว่าเหตุใดปลาทั้งหลายถึงไม่เห็นแก่หน้ากันขนาดนี้จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแก้มนิดๆ แล้วก็เห็นว่าสุยโย่วเปียนกำลังขยิบตามาให้นาง เผยเฉียนมองตามสายตาของสุยโย่วเปียนไปจึงเห็นว่าเฉินผิงอันที่อยู่ห่างไปไม่ไกลขมวดคิ้วแน่น สีหน้าแตกต่างไปจากยามปกติ
สุยโย่วเปียนเก็บนิ้วที่ดีดหยดน้ำไปกระทบแก้มเผยเฉียนกลับมาแล้วทอดสายตามองไปไกลต่ออีกครั้ง
เผยเฉียนวางคันเบ็ดตกปลาลงเบาๆ เดินย่องไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นั่งยองอยู่ตรงนั้นจ้องมองคิ้วของอาจารย์ตัวเอง
หรืออาจารย์เพิ่งจะรู้สึกตัว เวลานี้จึงเริ่มเสียดายเงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญที่เสียไปเปล่าๆ พวกนั้นแล้ว?
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น มองใบหน้าดำปี๋ที่ถูกลมพัดถูกแดดเผาตลอดเวลาจึงยังไม่ขาวขึ้น ถามด้วยรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป?”
เผยเฉียนคิดแล้วก็ถามว่า “อาจารย์ มีเรื่องในใจหรือ? เล่าให้ข้าฟังก็ได้นะ”
เฉินผิงอันออกแรงตรงข้อมือเล็กน้อย ร่างก็พลิกกลับมาเปลี่ยนเป็นท่ายืนปกติ จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ รู้สึกลังเลตัดสินใจไม่ได้
เรื่องราวอยู่ไกลเกินไป เหตุผลยิ่งใหญ่เกินไป
ตอนนี้เผยเฉียนยังอายุน้อยเกินไปหรือเปล่า? คำพูดและอารมณ์ของตนจะเป็นดั่งก้อนหินยักษ์หนักอึ้งที่กดทับอยู่บนบ่าของนางหรือไม่?
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กหนึ่งอึก ลมเย็นที่พัดโชยมาระใบหน้าเบาๆ ทำให้อารมณ์ของเฉินผิงอันผ่อนคลายได้เล็กน้อย
ชีวิตคนไม่ยืนยาวถึงร้อยปี ไยต้องมัวแต่พะวงกับเรื่องในอนาคตที่อยู่ไกลเป็นพันเป็นหมื่นปี
เฉินผิงอันดื่มเหล้าไปแล้วก็ยิ้มตาหยี เอ่ยเยาะหยันตัวเองอยู่ในใจว่าตอนนี้เริ่มมีท่าทีเหมือนบัณฑิตบ้างแล้วอย่างนั้นหรือ?
เขาหันหน้ามา ยิ้มกล่าวว่า “เกี่ยวข้องกับเจ้า อยากฟังหรือไม่?”
เผยเฉียนกลืนน้ำลาย รีบย้อนทบทวนว่าตลอดทางที่ผ่านมาตัวเองทำเรื่องเกเรซุกซนอะไรไปบ้าง แล้วก็พอจะรู้ว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่แค่โดนเขกมะเหงกหนึ่งหรือสองที ดังนั้นจึงพูดหน้าม่อยว่า “ไม่ฟังได้ไหม? รอให้ข้าอายุมากกว่านี้อีกหน่อย จำเรื่องได้มากขึ้นอีกนิด อาจารย์ค่อยพูดให้ข้าฟังดีกว่ากระมัง?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเล็กๆ ของนาง “ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี ก็แค่ความในใจบางอย่างของข้า ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขกหัวหรือถูกบิดหู”
เผยเฉียนที่ไม่เหลือความกังวลใจรีบนั่งตัวตรงทันที หันหน้าเข้าหาเฉินผิงอันที่นั่งหันข้างให้นาง ดวงตาของนางแฝงรอยยิ้ม มือจับประคองเตาเจี้ยนชั่วสองเล่มที่ทำจากไม้ไผ่ตรงเอว แสร้งทำเป็นกล่าวว่า “อาจารย์โปรดพูด! ศิษย์ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม แล้วก็เบี่ยงตัวกลับมาเล็กน้อย คนทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน เขาถามว่า “หากมีวันหนึ่ง วิชาดาบวิชากระบี่ รวมถึงวิชาหมัดของเจ้าล้วนเก่งกาจกว่าอาจารย์ จากนั้นก็เจอเรื่องหนึ่ง อาจารย์บอกว่าถูก เจ้ารู้สึกว่าผิด จะทำอย่างไร?”
เผยเฉียนตอบอย่างไม่ลังเล “ก็ต้องเชื่อฟังอาจารย์น่ะสิ ยังจะทำอย่างไรได้อีก”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลองตั้งใจคิดดูอีกหน่อย”
เผยเฉียนเริ่มเกาหัว พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “แต่ข้ารู้สึกว่าถ้าอาจารย์บอกว่าถูกก็คือถูก บอกว่าผิดก็คือผิดนี่นา”
เฉินผิงอันเงียบงันไป
เผยเฉียนจึงได้แต่คิดเหลวไหลไปส่งเดช ความคิดล่องลอยไปไกลนับหมื่นลี้ ถึงอย่างไรก็ดูเหมือนว่าอาจารย์จะไม่รีบอยู่แล้วนี่นา
แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็ถามว่า “หากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ข้าเก่งกาจกว่าอาจารย์ นั่นต้องเก่งกาจแค่ไหน?”
เฉินผิงอันตอบ “ยกตัวอย่างเช่นโจรเฒ่าตู้ที่หวงถิงเรียก ตู้เม่าแห่งสำนักใบถง มีตบะขอบเขตบินทะยาน”
เฉินผิงอันยิ้มแล้วพูดเสริมอีกว่า “ตอนนี้พวกเราพูดถึงแค่ตบะ ไม่พูดถึงนิสัยใจคอ”
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “โอ้โห ถ้าร้ายกาจขนาดนั้น ในบ้านก็ต้องมีภูเขาเงินภูเขาทองเลยกระมัง จะนับเงินได้หวาดไหวหรือ? นับเงินเหนื่อยเกินไป แต่ถ้าไม่นับให้ชัดเจนก็กลัวว่าจะถูกคนขโมยไป เฮ้อ ความกังวลใจของคนมีเงิน เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีได้บ้างนะ…”
เฉินผิงอันมองเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นกังวลใจแล้วพลันหลุดหัวเราะพรืด โน้มตัวไปข้างหน้า ตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ
“ที่บ้านเกิดข้ามีอริยะสำนักการทหารอยู่คนหนึ่ง ช่างหร่วนที่ตีเหล็กหลอมกระบี่ ตอนนี้มาย้อนนึกดูมีอยู่ข้อหนึ่งที่เขาทำได้ดีมาก ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการรับลูกศิษย์ ช่างหร่วนจะไม่ดูแค่พรสวรรค์ แต่จะดูว่าใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรือไม่ สามารถเดินไปบนมหามรรคาร่วมกันได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าหาลูกศิษย์ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยม แต่นิสัยกลับเข้ากันไม่ได้ หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ขอแค่อาจารย์มีข้อขัดแย้งกับคนอื่นก็หยัดยืนขึ้นอย่างฮึกเหิม คิดแต่จะตีรันฟันแทงกับคนอื่นท่าเดียว”
เผยเฉียนทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันพูดต่อว่า “กลับมาคำถามข้อแรกสุด หากเจ้าทะเลาะกับอาจารย์ ควรจะทำอย่างไร? ไม่ใช่รู้สึกว่าอาจารย์ทำถูกทุกเรื่อง อาจารย์ไม่ใช่อริยะ ย่อมต้องทำผิดพลาดได้ พวกเราควรจะทำเหมือนวันนี้ เจ้ากับข้านั่งเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็พูดถูกผิดและเหตุผลของแต่ละคนออกมาอย่างชัดเจน รับฟังคนที่มีเหตุผล ข้าเฉินผิงอันจะไม่ใช้สถานะอาจารย์ของเจ้าเผยเฉียนมากดข่มเหตุผลของเจ้า หากถึงเวลานั้นเจ้าเผยเฉียนร้ายกาจมากแล้ว สามารถต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่สามารถใช้ความสูงส่งของตบะมาทำทุกอย่างตามใจปรารถนาโดยไม่สนใจเหตุผลที่ข้าเฉินผิงอันพูดกับเจ้า”
น้ำตาพลันเอ่อคลอดวงตาของเผยเฉียน
อันที่จริงนางฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่กลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อเผยเฉียนได้ยินเฉินผิงอันพูดประโยคที่ว่า ‘ต่อยข้าให้ตายได้ด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายดาย’ เผยเฉียนก็เสียใจจนแทบจะใจสลายอยู่แล้ว
เผยเฉียนหันตัวกลับไป แอบหลั่งน้ำตา ไม่มองเฉินผิงอันที่พูดจาเหลวไหลคนนี้อีก
เฉินผิงอันก็หันตัวกลับมานั่งตำแหน่งเดิม หันหน้ามองทะเลสาบ ลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาพาให้ผิวน้ำเกิดคลื่นเป็นริ้วๆ เขายื่นฝ่ามือออกไปแล้วขยับขึ้นสูงเรื่อยๆ “อันที่จริงเหตุผลก็มีแบ่งสูงต่ำ ก็เหมือนวงกลมที่ข้าวาดบนยอดเขาก่อนหน้านี้ที่ก็มีแบ่งเล็กใหญ่เช่นกัน อาจารย์เคยไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าแคว้นไฉ่อี เจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งในวัดร้าง มันชอบอ่านนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญ แล้วก็ชอบหลอกผู้คนส่งเดช แต่ไม่เคยทำร้ายคนอย่างแท้จริง กลับกันยังช่วยพวกเขาบังลมบังฝน ครั้งนี้พวกเราได้มาเจอวัวดินสีเหลืองที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมพลิกตัวตัวนั้นอีก ถ้าอย่างนั้นนี่ก็หมายความว่าเผ่าปีศาจโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ พวกเราสามารถกระโดดข้ามการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเซียนกระบี่ที่หันปลายกระบี่ไปทางใต้นับพันนับหมื่นปีเพื่อไปให้ความสงสาร ไปซักถามเหล่าเซียนกระบี่ว่าเหตุใดถึงได้อำมหิตโหดเหี้ยม หรือในเผ่าปีศาจจะไม่มีพวกคนที่เคยทำความดีอยู่เลย?”
เผยเฉียนยังคงหันหลังให้เฉินผิงอัน สูดน้ำมูกพูดเสียงสะอื้น “ข้อนี้ข้ารู้ คนเหล่านี้ไม่แบ่งแยกถูกผิดก่อนหลัง ไม่แบ่งแยกหลักการเหตุผลว่าเล็กหรือใหญ่”
เฉินผิงอันใช้มือวาดวงกลมที่ใหญ่ที่สุดวงหนึ่ง อีกมือหนึ่งชูขึ้นเหนือศีรษะ “แต่ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง และยังมีท่านผู้เฒ่าป๋ายที่เล่าลือกันว่าช่วยสร้างกระถางใหญ่และวาดภาพค้นภูเขาให้แก่เผ่ามนุษย์ ข้ารู้สึกว่าเป็นพวกเขาต่างหากที่ถึงจะมีคุณสมบัติพูดถึงหลักการที่ ‘ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน’ พวกเรายังห่างชั้นไกลนัก แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องขังตัวเองอยู่ในกงเต๋อหลิน ถูกกักขังอยู่ในหอพิทักษ์เมือง? เพราะแบบนี้ พวกเราก็ควรจะรู้สึกว่าพูดเหตุผลไปก็ไร้ประโยชน์แล้วหรือเปล่า? ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้ไม่มีการตอบแทนด้วยความดีและความชั่วอีกแล้ว?”
เผยเฉียนหันกลับมานั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก้มหน้าพูดว่า “แต่คนเลวบางคนก็มีชีวิตที่ดีกว่าคนดีอีกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดังนั้นภิกษุเฒ่าที่วัดซินเซียงของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนจึงพูดแล้วว่า โลกใบนี้มักจะติดค้างคนดีอยู่เสมอ”
เผยเฉียนถามเบาๆ “แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แต่เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ พอเปิดออกแล้วก็จิบคำเล็กๆ หนึ่งคำ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในตำราคงจะกำลังรอให้พวกเราไปค้นหากระมัง?”
ในป่าที่ห่างออกไป วัวดินสีเหลืองนอนหมอบอยู่กับพื้นกำลังครุ่นคิด
แม้ว่าสุยโย่วเปียนจะมีสีหน้าเฉยชา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเงี่ยหูคอยฟังอยู่ตลอดเวลา
เผยเฉียนเช็ดน้ำตา ยิ้มพูดว่า “อาจารย์ คราวก่อนตอนที่ออกจากท่าเรือหางผึ้งได้ไม่นานเท่าไหร่ ตอนที่หุงข้าวกัน บทเพลงพื้นบ้านของท่านร้องว่าอย่างไรแล้วนะ ทำไมถึงไม่มีเนื้อเพลงล่ะ? ท่านลองคลออีกสักครั้งสิ ข้าอยากจะหัดร้องตาม”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “เพื่อนรักของข้าเป็นคนสอนเอง แต่งเนื้ออะไรใส่เข้าไปก็ได้ ที่บ้านเกิดของข้าสามารถเอามาใช้ด่าคนหยอกคน เอามาใช้ผ่อนคลายเวลาทำงานเหนื่อย แล้วก็สามารถเอามาใช้…เวลาดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งคำ แล้วก็เริ่มคลอเพลงในลำคอเบาๆ ยิ้มแล้วชี้มาที่เผยเฉียน “เสี่ยวเอ้อร์ของร้าน ข้าซื้อตำราบางเล่ม รู้จักตัวอักษรหลายตัว สะสมความรู้ไว้เต็มท้อง ขายได้ไม่กี่อีแปะ”
โอ้โห
กำลังพูดถึงนางเผยเฉียนอยู่นะ
เผยเฉียนอารมณ์ดีสุดๆ หลุดปากพูดไปอย่างอดไม่ไหวว่า “เต้าหู้เหม็นอร่อยแต่ซื้อไม่ไหว!”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างรู้ใจ “บนภูเขามีภูตผีปีศาจมากมาย ทะเลสาบแม่น้ำมีผีพราย ตกใจจนต้องหันกลับ ที่แท้ห่างจากบ้านมาไกลหลายปีแล้ว”
เผยเฉียนเอ่ยคล้อยตาม “กินเต้าหู้เหม็นกันแถอะ!”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก ชี้นิ้วไปยังจุดอื่นอย่างไม่ใส่ใจ บังเอิญที่ไปตรงกับตำแหน่งของสุยโย่วเปียนพอดี จึงกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก “แม่นางน้อยของบ้านใด บนร่างมีกลิ่นหอมกล้วยไม้ เหตุใดร้องไห้หน้าลายพร้อย เจ้าว่าน่าสงสารหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง “ไม่ได้กินเต้าหู้เหม็น น่าสงสารจริงๆ!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ชี้นิ้วไปยังจุดสูง คลอเพลงเบาๆ “ลองถามอาจารย์ว่าทำเช่นไร บนกิ่งไม้แขวนว่าวตัวเล็กตากแดดเอาไว้”
เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก “กินเต้าหู้เหม็นกันเถอะ เต้าหู้เหม็นหอมอร่อย!”
ตรงกระท่อมไม้ไผ่ จางซานเฟิงกับสวีหย่วนเสียมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
จูเหลี่ยนหลับตายิ้ม โคลงศีรษะตามไปด้วย
หลูป๋ายเซี่ยงตบเข่าเบาๆ
สุยโย่วเปียนไม่ได้โมโหอย่างที่หาได้ยาก กลับกันยังเอามือปิดปากหัวเราะจนดวงตาหยีลง
เว่ยเซี่ยนเอามือเท้าคาง เอียงศีรษะ ไม่รู้ว่ามานั่งอยู่ตรงหน้ากระท่อมตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากำลังมองไปยังแผ่นหลังของเด็กหญิงที่มีผิวสีดำเป็นถ่าน
อาจารย์และศิษย์สองคน คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ เสียงดังกังวานอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใส
—–