กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 380.3 ลางบอกเหตุ
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันเข้าพักยังที่พักของตัวเองแล้ว
ในเรือนที่เงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งอยู่ลึกเข้าไปยิ่งกว่าต้นกุ้ยที่อยู่ด้านหลังของอารามจินกุ้ย สวี่ป๋อรุ่ยยืนอยู่กลางลานบ้านอย่างนอบน้อม
ระเบียงใต้ชายคากว้างขวางมากทั้งยังสะอาดเอี่ยม ด้านล่างบันไดมีรองเท้าไม้เกี๊ยะสามคู่ถอดวางอยู่ นักพรตเฒ่าที่มีกลิ่นอายของเซียนก็คือเจ้าอารามจางกั่ว ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร
และยังมีแขกอีกสองท่านที่ออกหน้า ‘ช่วยเหลืออย่างมีคุณธรรม’ กำราบเหล่าคนชั่วที่คิดร้าย และอันที่จริงพวกเขาทั้งสองต่างก็มีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอัน
เจียงอวิ้นชายหนุ่มร่างกำยำ เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการใหญ่ของแคว้นชิงหลวน
เวลานี้คนทั้งสามนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง ต่างคนต่างกำลังกินบะหมี่เจใส่หน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิ เห็ดภูเขา บวกกับผักป่าอีกสองสามชนิดที่ขึ้นบนภูเขาช่วงฤดูใบไม้ผลิ หมี่กึงคั่วน้ำมันกับน้ำแกงตุ๋นด้วยไฟอ่อนหนึ่งถ้วย กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวลไปทั่ว
สวี่ป๋อรุ่ยเล่าความรู้สึกที่ตนเองมีต่อคนกลุ่มของเฉินผิงอันให้ฟังคร่าวๆ แล้ว เจ้าอารามจางกั่วก็ยิ้มแล้วบอกให้ลูกศิษย์ผู้นี้กลับไปพักผ่อน
นักพรตเฒ่าเอ่ยถาม “เป็นความบังเอิญ หรือว่าพวกเขาสืบสาวเบาะแสจนตามมาพบที่นี่?”
เหวยเลี่ยงคิดแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง หากไม่เป็นเพราะสวี่ป๋อรุ่ยหน้าใหญ่ ป่านนี้คนกลุ่มนี้คงไปดักอยู่ที่หน้าประตูจวนข้าแล้ว”
เหวยเลี่ยงหันหน้าไปมองเจียงอวิ้น “ดูจากสีหน้าของเจ้าที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ หรือว่ารู้จักคนผู้นี้?”
เจียงอวิ้นพยักหน้ารับ “เขาเป็นคนของถ้ำสวรรค์หลีจู ครั้งแรกที่พบหน้ากันยังเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินจนข้าแทบจำเขาไม่ได้ นิสัยเขาไม่เลว แต่ข้าคาดเดาเอาว่าคนผู้นี้น่าจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่อง ก่อนหน้านี้ได้เจอกันที่ท่าเรือหางผึ้งแล้ว แต่ข้าก็ยังไม่กล้าพูดคุยกับเขามากนัก”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “ในเมื่อเป็นคนที่เกิดและเติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก”
สำหรับเรื่องนี้เจียงอวิ้นไม่มีความเห็นต่าง
คนต่างถิ่นที่หิ้วเงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปหาโชควาสนาอย่างพวกเขา อันที่จริงยังเทียบไม่ได้กับคนในพื้นที่ที่นั่งรอให้โชควาสนาหล่นลงมาใส่หัวเลยด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ถือว่าเป็นคนต่างถิ่นที่ค่อนข้างโชคดี สามารถนำโซ่ตรวนมังกรเส้นนั้นกลับมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ นี่คือความน่ายินดีที่ใหญ่เทียมฟ้า ด้วยตบะของอาจารย์เขาก็ยังรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัว ดีใจเป็นล้นพ้น ยิ้มพูดว่าไม่แน่ว่าตนอาจช่วงชิงโชคชะตาของสกุลเจียงอวิ๋นหลินไปไม่น้อยถึงได้เจอกับโชควาสนาที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ตอนนั้นเขาหมายตาโซ่เหล็กที่ห้อยย้อยอยู่เหนือปากบ่อของถ้ำสวรรค์ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พอได้มาอยู่ในมือ อาจารย์ก็ไปหาสหายมาให้ช่วยวิเคราะห์ตรวจสอบ ผลสรุปที่ได้ก็คือ อย่างน้อยก็ต้องเป็นของตกทอดที่ล้ำค่าของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหริน หลังจากคลายตราผนึกเวทลับทั้งหมดแล้วก็จะถือว่าเป็นอาวุธกึ่งเซียนของจริงชิ้นหนึ่ง
เล่าลือกันว่าระดับขั้นที่สูงที่สุดของโซ่พันธนาการมังกรเส้นนี้เรียกว่าโซ่สังหารมังกร พลานุภาพเหนือกว่าข้องราชามังกรที่สามารถกักขังเจียวหลงเซียนดินในยุคบรรพกาลเสียอีก ขอแค่ผู้ฝึกตนใหญ่โยนมันออกไปก็สามารถรัดพันเจียวหลงได้อย่างง่ายดาย สะบัดข้อมือหนึ่งครั้งก็สามารถถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจียวหลงได้คาที่ จนกระทั่งเหลือเพียงโครงกระดูกและไข่มุกหนึ่งเม็ดเท่านั้น
ทว่าโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูยังคงไม่ใช่พวก ‘วัตถุไร้ชีวิต’ เหล่านี้
แต่เจ้าตัวน้อยทั้งห้านั้นไม่ใช่ว่าใครที่ขุดดินลึกลงไปสามฉื่อแล้วจะหาเจอได้ ได้แต่อาศัยโชคชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น
แม้แต่หน้าของพวกมัน เจียงอวิ้นยังไม่ได้เห็นสักครั้ง
นักพรตผู้เฒ่าจางกั่ววางตะเกียบลง ตบท้อง “เลี่ยงกินธัญพืชมานานหลายปี เพื่อรับรองแขกผู้มีเกียรติอย่างเจ้าทั้งสองจึงยอมแหกกฎหนึ่งครั้ง รู้สึกไม่เลวเลยทีเดียว”
จางกั่วยิ้มตาหยีถามว่า “ผู้บัญชาการใหญ่เหวย ครั้งนี้อารามจินกุ้ยออกแรงไปตั้งมาก ทั้งเปิดภูเขารับลูกศิษย์ ทั้งจงใจเปิดเผยความลับที่ว่าต้นกุ้ยบรรพบุรุษของสำนักข้าสามารถนำมาหลอมเป็นอาวุธกึ่งเซียน เพื่อล่อให้พวกคิดร้ายปะปนเข้ามา ถึงได้ปิดประตูตีสนัข ช่วยแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าสังหารผู้ฝึกตนจากต่างถิ่นไปได้หลายสิบคน ฮ่องเต้สกุลถังไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรบ้างหรือ?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “แสดงความคิดเห็น? มีสิ นี่ข้าก็นั่งกินบะหมี่เจอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
จางกั่วยื่นนิ้วมาชี้หน้าเหวยเลี่ยง “ปีนั้นบุรพาจารย์ของอารามว่าไว้ไม่ผิดเลย เจ้าคนขี้เหนียว! มิน่าเล่าถึงได้บอกไว้ว่าให้อารามจินกุ้ยคบค้าสมาคมกับจวนผู้บัญชาการให้น้อยๆ หน่อย ”
เหวยเลี่ยงยังกินบะหมี่เจเหลืออีกครึ่งชาม แต่เขากลับวางตะเกียบลงแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าถูกชายร่างกำยำแย่งเอาชามไป เหวยเลี่ยงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พูดกับเจ้าอารามจางกั่วว่า “เจ้ารู้จักพอซะเถอะ เมื่อแรกเริ่มที่อารามจินกุ้ยถูกสร้างขึ้นก็ไม่มีควันธูปอะไร ใครเป็นคนเชิญให้หลี่ถวนจิ่งมากินบะหมี่เจที่นี่? และยังมีครั้งนี้อีก คุณชายใหญ่ของสกุลเจียงอวิ๋นหลินก็มาด้วย เจ้าจางกั่วเป็นคนเชิญมาเองงั้นรึ? แค่บะหมี่เจชืดๆ ถ้วยหนึ่ง ต่อให้เจ้ายกมาวางไว้ตรงหน้าคนเขา เจียงอวิ้นจะยังเต็มใจจับตะเกียบขึ้นหรือไร?”
เจียงอวิ้นก้มหน้าก้มตากินบะหมี่ พูดอย่างไม่ไว้หน้าเหวยเลี่ยง “แค่ตะเกียบคู่เดียวก็พอ แต่เอาบะหมี่มาหลายๆ ชามหน่อย”
จางกั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง อารมณ์ดีอย่างยิ่ง
ในความทรงจำของเขา ลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินแต่ละคนเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใคร ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าเจียงอวิ้นผู้นี้กลับต่างออกไป ในเมื่อเดินทางมาพร้อมกับเหวยเลี่ยง อีกทั้งยังสนิทสนมกันมาก ก็น่าจะไม่ได้มีชาติกำเนิดมาจากสกุลเจียงสายรอง แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว
เหวยเลี่ยงลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนกล่าวว่า “จางกั่ว นังหนูจากเรือนแยนจือผู้นั้น วันหน้าคงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยดูแลให้มาก”
จางกั่วยิ้มมีเลศนัย “มีดตัดกระดาษ ‘จุ้ยเอ่อร์’ ที่ห้อยอยู่ตรงเอวของนังหนู น่าจะเป็นของที่ปีนั้นเจ้ามอบให้บุรพาจารย์หญิงบางคนของเรือนแยนจือกระมัง?”
เหวยเลี่ยงถอนหายใจหนึ่งที
จางกั่วไม่คิดได้คืบจะเอาศอก เรื่องราวความรักความแค้นระหว่างชายหญิงเหล่านี้ อันที่จริงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทุกคนล้วนต้องมีกันมาบ้างไม่มากก็น้อย ย้อนกลับมาดูก็เป็นเพียงแค่หมอกควันที่ลอยผ่านตาไปเท่านั้น
แค่ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกตนคนนั้นจะเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนหรือไม่
บุญคุณความแค้นล่างภูเขาในอดีต เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้กลายเป็นตระกูลเซียนแล้ว สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกตนจดจำความแค้น ผ่านไปร้อยปีก็ยังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ มักจะมีตระกูลชนชั้นสูงของบางพื้นที่ที่อยู่ดีๆ ก็มีหายนะพุ่งมาเยือน อยู่ดีๆ ก็เจอกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน และส่วนใหญ่ก็มักจะถูกตัดรากถอนโคนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
ผู้ฝึกตนเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ถ้าอย่างนั้นลูกหลานรุ่นหลังหลายสิบรุ่นของคนล่างภูเขาบางคน ไม่แน่ว่าอาจได้รับการปกป้องจากร่มเงาของบรรพบุรุษ ได้เสพสุขจากความเมตตากรุณาอยู่ตลอดเวลา ทว่าแม้แต่ตัวพวกเขาเองก็อาจไม่รู้ว่า เหตุใดถึงสามารถหลบพ้นหายนะครั้งแล้วครั้งเล่ามาได้ ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งคอยบังลมบังฝนให้พวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
จางกั่วกล่าว “คนที่มีพรสวรรค์ดีที่สุดคือคุณหนูน้อยของพรรคต้าเจ๋อ หลานสาวของจู๋เฟิ่งเซียน ตอนนี้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามแล้ว นางน่าจะเป็นคนเดียวที่มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดิน คนที่เหลืออีกเจ็ดคนสิบคน คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็มีแค่แม่นางน้อยจากเรือนแยนจือที่เป็นขอบเขตถ้ำสถิต อย่างมากก็แค่มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร ถ้าอย่างนั้นหากไม่นับจู๋จื่อหยางและหลิวชิงเฉิง อีกเจ็ดคนที่เหลือ ข้าว่าไม่มีสักคนที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง”
เหวยเลี่ยงกับเจียงอวิ้นพูดขึ้นพร้อมกัน “ไม่แน่เสมอไปหรอก”
จางกั่วดวงตาเป็นประกาย “คือคนไหน?!”
เหวยเลี่ยงเพียงคลี่ยิ้มเฉย
เจียงอวิ้นเงยหน้าขึ้น ไม่ได้ให้คำตอบเช่นกัน แต่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นโดยถามว่า “จะไม่จัดการปีศาจเผ่าพันธุ์วัวดินตัวนั้นหน่อยหรือ? เจ้าอยากรับมันมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ จะได้ให้มันรับหน้าที่เป็นพาหนะขององค์เทพขุนเขาเหนือแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้า?”
เหวยเลี่ยงส่ายหน้า “ช่างเถิด เรื่องบุญวาสนาได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน อันที่จริงทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือได้พูดกับข้ามานานแล้วว่า วัวดินตัวนี้มองดูเหมือนอ่อนโยนว่าง่าย ทว่าแท้จริงแล้วนิสัยกลับดุร้าย ปีศาจขอบเขตประตูมังกร ใครเล่าจะยินดีถูกพันธนาการอยู่ในภูเขาลูกหนึ่ง เป็นได้แค่พาหนะให้องค์เทพขุนเขาเหนือท่านหนึ่งขี่อยู่บนร่างไปชั่วชีวิต นี่คือจุดจบที่ไม่อาจพลิกเปลี่ยนได้ตลอดกาล หากไปกระตุ้นนิสัยดุร้ายของมัน คาดว่าสำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของขุนเขาเหนือแล้วจะเป็นภัยมากกว่าโชค”
จางกั่วจุ๊ปากพูด “หากปีศาจตนนี้สามารถนั่งบัญชาการณ์ภูเขาชิงเย่าของข้าผู้เป็นนักพรตกลับจะเป็นเรื่องดีที่ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์ อย่างมากก็แค่สองฝ่ายเสมอภาคกัน อารามจินกุ้ยจะบูชามันดุจผู้พิทักษ์ขุนเขา ผู้บัญชาการใหญ่เหวย เจ้าคิดว่าได้หรือไม่?”
เหวยเลี่ยงยังคงส่ายหน้า สายตาฉายประกายลึกล้ำ ยิ้มบางๆ เอ่ยเตือนว่า “ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าไปมีเรื่องกับเฉินผิงอันผู้นั้นจะดีกว่า หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีความเป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้จะกลายเป็นลูกศิษย์ของยอดฝีมือสำนักนิติธรรมบางคน เจ้าควรจะรู้วิธีการจัดการเรื่องราวของลูกศิษย์สำนักนิติธรรมพวกเราดี บนภูเขาและล่างภูเขา ล้วนปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม”
จางกั่วมีสีหน้าจนใจ “ทราบแล้ว ก็สี่ผีใหญ่บนภูเขาที่รับมือได้ยากนี่นะ ผู้ฝึกกระบี่ผายลมสุนัข คนเชื่อดาบสำนักโม่ นักพรตเรือนซือเตา สุดท้ายก็คือลูกศิษย์สำนักนิติธรรมที่ไร้เหตุผลที่สุดอย่างพวกเจ้า”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “พวกเราไร้เหตุผล?”
จางกั่วรู้สึกร้อนตัว รีบยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้บัญชาการใหญ่เหวยอย่างเจ้าถึงไม่ไปพูดคุยกับปีศาจวัวสีเหลืองด้วยเหตุผลล่ะ?”
เหวยเลี่ยงตอบอย่างเฉยเมย “กฎหมายในโลก มีคนเป็นรากฐาน”
……
ในห้องหนังสือของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษร
จางซานเฟิงที่อยู่ในห้องด้านข้างกำลังตั้งใจฝึกบำเพ็ญตน
นักพรตหนุ่มจากอุตรกุรุทวีปผู้นี้บอกว่าพรสวรรค์ของตัวเองธรรมดา ปีนั้นอาจารย์ก็แค่สงสารที่เขาไม่มีที่ไปถึงได้ฝืนใจรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย อีกทั้งบนเส้นทางการฝึกตนหลังจากนั้นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสายตาของอาจารย์เขาไม่แย่เลยสักนิด จางซานเฟิงมีพัฒนาการเชื่องช้าอย่างแท้จริง ตอนนี้ก็ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางสักที เพียงแต่ว่าสภาพจิตใจของจางซานเฟิงเข้มแข็งแน่วแน่ ไม่เคยย่อท้อมาก่อน มีบางครั้งที่ผิดหวังบ้าง แต่ก็แค่ผิดหวังกับเรื่องที่ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของตนไม่มากพอ ในเรื่องนี้เขามีท่าทีเหมือนกับเฉินผิงอันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ก็แค่เดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ขอแค่ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าพรสวรรค์ดีหรือแย่แล้ว ถึงอย่างไรก็สามารถเดินไปได้อย่างหนักแน่นและมั่นคง
ฐานกระดูกพรสวรรค์ของผู้ฝึกลมปราณมีความพิถีพิถันอย่างมาก ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่สองคำว่า ‘ก่อนกำเนิด’ ถ้ำสถิตที่แต่ละคนบุกเบิกก่อสร้างมีแบ่งเล็กใหญ่ เป็นตัวตัดสินว่าจะบรรจุปราณวิญญาณได้มากหรือน้อย นอกจากนี้ความเร็วในการดึงดูดปราณวิญญาณก็มีแบ่งช้าเร็ว ในด้านความช้าเร็วนี้ยังมีความต่างด้านระดับความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณที่ถูกหล่อหลอมด้วย จะเป็นธารน้ำไหลเอื่อยๆ ที่น่าสงสาร หรือเป็นแม่น้ำลำคลองที่ไหลซัดบ่าอย่างน่าตกตะลึง จากนั้นถึงจะมีคุณสมบัติให้ไปพิถีพิถันในเรื่องความสูงต่ำของภาพบรรยากาศในห้องโอสถ รวมไปถึงระดับขั้นของทารกที่ก่อกำเนิดในอนาคต
ทุกวันนี้เฉินผิงอันมักจะฝึกกระบวนท่าฟ้าดินที่ต้องทำท่าทางประหลาดใช้นิ้วยันพื้นอยู่บ่อยๆ แต่ฝึกมานานขนาดนี้ เฉินผิงอันก็พอจะใคร่ครวญจนได้เคล็ดลับบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นฝึกสามท่าของหมัดเขย่าขุนเขาในเวลาเดียวกัน ใช้ท่าฟ้าดินเดินนิ่งหกก้าว จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งทำมุทรากระบี่ ระหว่างนี้ยังโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดไปด้วย
นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
เพียงแต่ว่าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง เวลาที่เดินอยู่บนเส้นทางเล็กๆ ของป่าเขาที่รอบด้านไร้ผู้คน เฉินผิงอันมักจะ ‘เดินไปเดินมา’ ก็พลัดหลงไปทางอื่น เดินออกจากเส้นทางที่ทุกคนกำลังเดินกันอยู่ บ้างก็ตกลงไปในธารน้ำ หรือไม่ก็สะดุดลงเนิน
ภายหลังยังคงเป็นเผยเฉียนที่คิดวิธีโง่ๆ ออก นางผูกเชือกไว้ที่ปลายด้านหนึ่งของไม้เท้าเดินป่า แล้วก็ผูกปลายอีกข้างหนึ่งไว้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน เผยเฉียนเดินอยู่ด้านหน้านำทางเฉินผิงอัน แน่นอนว่าทุกวันนี้นางก็ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวเช่นกัน
หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินตามกันไปอย่างนี้ สมกับคำว่าคนบนเส้นทางเดียวกันอย่างแท้จริง
เวลานี้เฉินผิงอันกำลัง ‘เดิน’ กลับหัววนรอบโต๊ะ
เผยเฉียนคัดตัวอักษรเสร็จแล้ว นางมองดูเฉินผิงอันฝึกท่าฟ้าดินมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ดี
เฉินผิงอันพลิกตัวกลับ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ตั้งแต่นครมังกรเฒ่ามาจนถึงท่าเรือหางผึ้ง แล้วก็มาถึงอารามจินกุ้ยของแคว้นชิงหลวนแห่งนี้ หลังจากที่โดน ‘หนึ่งกระบี่’ จากเรือกลืนกระบี่ของตู้เม่าแทงทะลุหน้าท้องมา ศักยภาพขอบเขตสามของเขาก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาที่ขอบเขตสี่อย่างในปัจจุบัน แต่หากจะให้ขยับเข้าใกล้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดยังจำเป็นต้องอาศัยการเดินนิ่งและเหล้าดองหลอมเล็ก ต้องใช้เวลาฝึกตนอีกไม่น้อย
แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียแน่นอนว่าจะถ่วงความเร็วในการเลื่อนสู่ขอบเขตหกไปอีกนาน ข้อดีก็คือรากฐานของขอบเขตห้าจะยิ่งถูกกระชับให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น
จูเหลี่ยนเคยเอ่ยสัพยอกว่า ต่อให้ไม่ต้องอาศัยวัตถุนอกกาย ทั้งสองฝ่ายใช้สถานะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ยังสามารถใช้ขอบเขตห้าขั้นสูงสุดของเขาเอาชนะขอบเขตหกขั้นสูงสุดอย่างพวกเขาสี่คนได้อย่างมั่นคง
สำหรับเรื่องนี้สุยโย่วเปียนพ่นลมออกทางจมูก หลูป๋ายเซี่ยงกลับค่อนข้างเห็นด้วย
ส่วนน้ำเต้าตันอย่างเว่ยเซี่ยนนั้น เวลานั้นมัวแต่พูดพล่ามไร้สาระอยู่กับเผยเฉียน
—–