กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 381.2 หลังจากแยกย้ายก็จะได้กลับมาพบกันใหม่
สวีหย่วนเสียมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง “เหล้าดองระดับนี้ ดื่มแล้วช่วยให้ตบะรุดหน้า อีกทั้งยังไม่เหลือโรคร้ายทิ้งไว้ภายหลัง แน่นอนว่าเป็นของดีอันดับหนึ่ง ทว่าสำหรับการขัดเกลาสภาพจิตใจของผู้ฝึกยุทธ์ที่ต้องการฝ่าทะลุขอบเขตแล้วกลับไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป มีเหล้าดองยาก็อาจจะทำให้ในใจอดคาดหวังว่าตัวเองจะโชคดีไม่ได้ วันหน้าเมื่อฝึกวิชาหมัด มืออาจจะไม่มีความเกียจคร้าน แต่สภาพจิตใจกลับหละหลวมแล้ว สัจธรรมแห่งหมัดก็ต้องหย่อนคล้อยตามไปด้วย เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ใต้หล้านี้ เมื่อตบะและขอบเขตอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือคว้า แค่ดื่มเหล้าอึกเดียวตบะและขอบเขตก็เพิ่มขึ้นอีกนิด จะสามารถข่มใจไม่แตะต้องได้ไหวหรือ?”
สวีหย่วนเสียมองไปยังทิศไกล พูดอย่างสะท้อนใจ “ต่อให้รู้ดีว่าสุดท้ายจะเป็นอุปสรรคต่อโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขต แต่ข้าสวีหย่วนเสียรู้ดีว่าเวลาปกติย่อมต้องทนไม่ไหว อีกอย่างผีขี้เหล้านี่นะ พอติดเหล้าแล้วยังจะสนคอขวดไม่คอขวดอะไรอีก ดื่มไปแล้วก็ค่อยว่ากันอีกที”
เกี่ยวกับสภาพจิตใจที่แน่วแน่มั่นคงบนเส้นทางของการฝึกตน สวีหย่วนเสียคิดว่าตัวเองสู้จางซานเฟิงไม่ได้ ยิ่งเทียบเฉินผิงอันไม่ติด
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้พี่ใหญ่สวีเลื่อนสู่ขอบเขตหก ข้าค่อยมอบเหล้าให้ท่าน ถือเป็นเหล้าที่ดื่มเพื่อการเฉลิมฉลอง”
สวีหย่วนเสียพลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ หากมีโอกาสผ่านแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย อย่าลืมแวะไปหาอริยะกระบี่ผู้เฒ่าเซิ่ง เด็กคู่นั้นของเมืองแยนจือ แน่นอนว่ายังมีคู่สามีภรรยาเรือนผีแห่งนั้นด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ข้ายังต้องเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งมื้อหนึ่ง แล้วค่อยไปดูว่าเด็กคู่นั้นฝึกตนได้ราบรื่นหรือไม่ สุดท้ายยังต้องไปเยือนเรือนเก่าแก่หลังนั้น ลองชิมเนื้อตุ๋นหน่อไม้แห้งฝีมือท่านยาย”
สวีหย่วนเสียหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ถูกแล้ว เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอันในปีนั้น ตอนที่ตบไหล่เจ้าหมอนี่อีกครั้ง ชายฉกรรจ์เคราดกเพิ่มแรงบนฝ่ามือค่อนข้างมาก พูดอย่างฮึกเหิมว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากับจางซานเฟิงล้วนต้องมีชีวิตที่ดี วันหน้าหากได้ดิบได้ดีและมีชื่อเสียงจนข้าที่อยู่บ้านเกิดยังได้ยิน ถึงเวลานั้นข้าจะได้เอาไปโอ้อวดกับคนอื่น ทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนร่ำร้องว่าจะเลี้ยงเหล้าข้าสวีหย่วนเสีย ขอให้ข้าเล่าเรื่องของพวกเจ้าสองคนให้พวกเขาฟัง”
เฉินผิงอันกุมหมัดพูดสัพยอก “พี่ใหญ่สวี ขอให้สมพรปากของท่าน”
สวีหย่วนเสียลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ก่อนหน้านี้ยังดี เดินทางเตร็ดเตร่ไปเรื่อยยังไม่รู้สึกว่ามีอะไร แต่พอนึกถึงบ้านเกิดขึ้นมาก็ราวกับว่าหนอนขี้เหล้าในท้องก่อกบฏ ไม่ดื่มเหล้าอึกหนึ่งก็รู้สึกเหมือนจะเป็นจะตาย ฮ่าๆ บ้านเกิดก็มีแต่เหล้าเก่าแก่ไหนั้นแล้ว ต้องกลับไปดื่มสักหน่อย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเก็บสัมภาระเป็นเพื่อนท่านในที่พัก เดินไปด้วยกันอีกสักระยะทางหนึ่ง”
สวีหย่วนเสียถลึงตาใส่ “จู้จี้เป็นหญิงแก่ ข้อนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากจางซานเฟิงซะบ้าง คิดจะไปก็ไป เด็ดขาดฉับไว”
เฉินผิงอันกลอกตามองบน “เขาเนี่ยนะ? ตอนนี้ไม่ร้องไห้ก็ถือว่าจางซานเฟิงเอาถ่านแล้ว ไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันดูไหมล่ะ?”
สวีหย่วนเสียลูบปลายคาง “ถ้าอย่างนั้นข้าเดิมพันว่าจางซานเฟิงต้องแอบอาจารย์เขาไปร้องไห้น้ำตานองอยู่คนเดียว”
เฉินผิงอันก็ลูบปลายคางเช่นกัน “อย่างพวกเราสองคนนี่เรียกว่าวีรบุรุษมีความเห็นสอดคล้องตรงกันหรือไม่?”
สวีหย่วนเสียหัวเราะพลางก้าวเดินยาวๆ จากไปโดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันไปส่ง แล้วจอมยุทธ์เคราดกก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ดึกแล้ว ไม่แน่ว่าเด็กสตรีและคนชราในหมู่บ้านอาจจะนอนหลับกันไปนานแล้วจึงเงียบเสียงลง หันหลังให้เฉินผิงอัน ยกมือขึ้นโบกลาอย่างไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกระทมทุกข์จากการพรากจากเล็กน้อย
ประมาณสองก้านธูปต่อมา เผยเฉียนก็วิ่งมาอย่างมึนงง นางวิ่งไปตามตรอกเล็กตรอกใหญ่ยามค่ำคืนเช่นนี้ค่อนข้างน่าตกใจ บนหน้าผากของนางแปะยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นเอาไว้ พอหาตัวเฉินผิงอันเจอก็ถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมท่านอาเคราดกถึงจากไปล่ะ? หรือเป็นเพราะเขาติดเงินอาจารย์ หามาคืนไม่ได้ ไม่มีหน้ามาพบคนอื่นถึงได้ดอดหนีไปดึกๆ ดื่นๆ”
นี่ทำให้เผยเฉียนหงุดหงิดใจเล็กน้อย นางกระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ใช้หมัดทุบฝ่ามือ พูดอย่างขุ่นเคือง “ผียากจนเคราดกผู้นี้ไม่มีคุณธรรมเลยจริงๆ ไม่มีเงินใช้หนี้ก็มาขอยืมข้าเป็นการส่วนตัวสิ ข้าไม่คิดจะเปิดเผยเรื่องน่าอายนี้ของเขาต่ออาจารย์เสียหน่อย”
แม้เผยเฉียนจะไม่รู้สาเหตุ แต่มักจะรู้สึกว่าพอเฉินผิงอันได้พบกับนักพรตหนุ่มที่ความสามารถไม่มากและชายเคราดกที่เสียงดังมาก เขาดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษตลอดการเดินทาง ราวกับว่าดีใจยิ่งกว่าได้เงินมาเพิ่มมากมายซะอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ที่เจอวัวดินสีเหลืองตัวนั้นในหุบเขา อาจารย์ของตนก็ขาดทุนมาตลอดจนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งยกกล่องไม้สีเขียวใบหนึ่งไปให้จางซานเฟิงไม่ใช่หรือ? ดูเหมือนว่าจะเป็นตราประทับอะไรสักอย่าง อีกอย่างตั้งแต่นครมังกรเฒ่ามาถึงท่าเรือหางผึ้ง เวลาปกติอาจารย์ตัดใจเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวากับเหล้าเซียนบ่อน้ำมาดื่มทุกวันได้เสียที่ไหน?
ดูเหมือนว่ามีเพื่อนในยุทธภพจะไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบก็มีแต่เรื่องเสียเงินทั้งนั้น
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ท่านอาเคราดกของเจ้าก็แค่คิดถึงบ้านเท่านั้น วันหน้าพวกเราไปหาเขาได้ วันใดที่เจ้าออกมาท่องยุทธภพเพียงลำพังก็สามารถไปหาเขาได้เช่นกัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็น่าจะดื่มเหล้าได้แล้ว จำไว้ว่าต้องพกเหล้าดีๆ ไปด้วย”
เผยเฉียนส่ายหน้า “ยุทธภพอันตราย เหล้าแพงเกินไป ข้าตัดสินใจว่าจะไม่ท่องยุทธภพอีกแล้ว”
เฉินผิงอันบิดหูนาง “อายุน้อยๆ ก็พูดกับข้าแล้วหรือว่ายุทธภพอันตราย?”
เผยเฉียนเขย่งปลายเท้า พูดวิงวอน “เหล่าเว่ยกับท่านอาเคราดกล้วนพูดแบบนี้ ข้าก็เลยรู้สึกว่าพูดแบบนี้เหมือนวีรบุรุษในยุทธภพอย่างมาก ก็เลยพูดไปอย่างนั้นเอง”
เฉินผิงอันปล่อยมือ ยิ้มกล่าว “เดินนิ่งหกก้าว กลับไปนอน”
ตอนนี้การเดินนิ่งของเผยเฉียนเริ่มเข้าท่าเข้าทีแล้ว เพียงแต่ว่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูยังเข้าไม่ถึงแก่น ส่วนท่าฟ้าดินนั่น เผยเฉียนรู้สึกอยากเรียนมาก เพียงแต่เรียนไม่ได้ เพราะตอนนี้แม้แต่ตั้งท่าก็ยังทำไม่ได้
หนึ่งค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ
ไก่ในหมู่บ้านโก่งคอขันแต่เช้า หลังจากเฉินผิงอันตื่นนอนแล้วก็ไม่ได้ออกมาเดินเล่น เพราะอีกสองเค่อคนที่ฝึกวรยุทธ์ของหมู่บ้านแห่งนี้ก็จะมารวมตัวกันที่ลานแสดงวรยุทธ์แล้ว เช้าเย็นสองครั้ง เป็นอย่างนี้ตลอดทั้งปี แม้ฟ้าผ่าก็ไม่อาจสั่นคลอน ขอแค่เป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นชายฉกรรจ์หรือเด็กหนุ่มก็ล้วนต้องทำเช่นนี้ ต่อให้สตรีอยากจะเข้าร่วมด้วยก็ยังไม่มีข้อห้ามใดๆ
ถึงอย่างไรหากคิดจะเป็นผู้คุ้มกัน หากไม่มีฝีมือการต่อสู้อย่างแท้จริงก็ไม่อาจช่วงชิงความน่าเชื่อถือมาให้ตัวเองได้ และตามคำบอกของอาจารย์ในโรงเรียน ลูกหลานสกุลเฉินที่เป็นทำอาชีพเป็นผู้คุ้มกันอยู่ในยุทธภพล้วนอาศัยฉายา ‘เฉินซุ้มประตู’ ของประมุขตระกูล ถือว่ามีชื่อเสียงและบารมีอย่างมากในแคว้นชิงหลวนแห่งนี้
เมื่อวานตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านลานแสดงวรยุทธ์ของตระกูลเฉิน เขาไม่ได้หยุดยืนดูเหมือนที่ทำกับศูนย์ฝึกวรยุทธ์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แต่ก้าวเร็วๆ จากไปโดยตรง
ไม่เพียงเท่านี้ ยังบอกกับคนทั้งสี่ในภาพวาด โดยเฉพาะหลูป๋ายเซี่ยงกับสุยโย่วเปียนว่า ทางที่ดีที่สุดไม่ควรพกอาวุธเดินอยู่ในหมู่บ้าน
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
เช้าวันนี้คนทั้งกลุ่มกินอาหารเช้าร่วมกัน กินอาหารเสร็จแล้วก็ต้องไปจากหมู่บ้าน เฉินผิงอันวางแผนว่าจะไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนสักครั้ง ไปร่วมงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ฮ่องเต้สกุลถังทุ่มเทแรงกายแรงใจจัดขึ้นแล้วค่อยจากไป แคว้นชิงหลวนนอกจากท่าเรือหางผึ้งที่อยู่ติดกับแคว้นทั้งสามแล้ว ทางทิศตะวันออกภายในอาณาบริเวณของแคว้นยังมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ว่ากันว่ามีขนาดใหญ่กว่าท่าเรือหางผึ้งเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ท่าเรือหางผึ้งแล้วรู้ถึงความโกลาหลวุ่นวายในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ทั้งบนและล่างภูเขาต่างอยู่กันไม่เป็นสุข เรือข้ามฟากหลายลำที่มุ่งหน้าไปที่นั่นล้วนหยุดการเดินทางไว้ชั่วคราว อีกทั้งทะเลสาบเจี่ยนซูก็ไม่มีท่าเรือ และท่าเรือสองแห่งที่อยู่ใกล้ทะเลสาบเจี่ยนซูมากที่สุดที่ซึ่งอยู่ในพื้นที่สำคัญอย่างเมืองหลวงแคว้นหนึ่งและอยู่ในสำนักบนภูเขาแห่งหนึ่ง ตอนนี้ต่างก็ประสบหายนะ ถูกกองทัพม้าเหล็กของต้าหลีเหยียบย่ำจนเลือดสดกระเซ็นไปสี่ทิศ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอยากจะไปลองเสี่ยงดวงที่ท่าเรือทางทิศตะวันออกดู ไม่อย่างนั้นหากคิดจะเดินทางไปทะเลสาบเจี่ยนซู เส้นทางก็ยาวไกลเกินไปมากจริงๆ
ตอนที่ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะกินโจ๊กกัน แต่ละคนต่างทยอยกันหันไปมองลานบ้านเบื้องล่างเพดานเปิดอ้านอกห้อง เงาร่างสีขาวหิมะร่างหนึ่งลอยออกมาจากมุมมืดของระเบียงจึงค่อนข้างสะดุดตา หลังจากยืนนิ่งแล้ว คนผู้นั้นก็คลี่ยิ้มเจิดจ้า
คือเทพเซียนเด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่ง
เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันแล้วมีกลิ่นอายความเป็นเซียนมากกว่าเสียอีก
เผยเฉียนเหม่อมองแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้ ไม่รู้ว่าผีดลใจหรือเพราะเหตุใดถึงรีบหยิบยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจมาแปะลงบนหน้าผากตัวเอง
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง ถอนหายใจหนึ่งที
คนทั้งสี่ในม้วนภาพต่างก็มีสีหน้าสงสัย
คนผู้นี้นอกจากเสื้อผ้าและหน้าตาที่โดดเด่นแล้วก็มองไม่ออกว่าตบะลึกหรือตื้น แม้แต่ข้อที่ว่าเป็นเทพเซียนบนภูเขาหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ยังบอกได้ยาก
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ในใจคนทั้งสี่ก็ยิ่งไม่มีความมั่นใจ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ใกล้กับธรณีประตู เอ่ยถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นน้ำตาเอ่อคลอดวงตา ริมฝีปากสั่นระริก ท่าทางซาบซึ้งใจอยู่มาก เขาร้องไห้พลางโผเข้าหาเฉินผิงอันเหมือนจะกอดเฉินผิงอันเอาไว้ ปากก็ระบายความทุกข์หลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกัน “ศิษย์มาช่วยท่านช้าไป ทำให้อาจารย์ต้องเจอกับความทุกข์ยากมากถึงเพียงนี้ ต่อให้ศิษย์ชุยตงซานตายเป็นร้อยรอบก็ยากจะไถ่โทษ…อ๊า…”
เฉินผิงอันถีบ ‘ลูกศิษย์’ ที่ทำตัวน่ารังเกียจผู้นั้นกระเด็นออกไปทันที
เผยเฉียนเบิกตากว้าง เจ้าหมอนี่โผล่มาจากไหนกัน บังอาจจะมาแย่งอาจารย์กับตนอย่างนั้นรึ?
เด็กหนุ่มชุดขาวหมุนตัวอยู่กลางอากาศหลายตลบจนนับครั้งไม่ได้ ชายแขนเสื้อสองข้างพลิ้วสะบัด งดงามราวกับก้อนเมฆสีขาวที่ถูกเซียนยื่นมือผลักออกไป
—–