กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 383 บนกระดานหมาก
เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยมก็พบว่าไม่เพียงแต่เผยเฉียนที่ยังไม่นอน ยังเป่าแผ่นยันต์ที่แปะบนหน้าผากเล่น คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดก็ล้วนมารวมกันอยู่ในห้องครบทุกคน ต่างก็กำลังรอฟังผลจากศาลบุ๋นบู๊
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาทั้งกลุ่มเดินทางตั้งแต่ภาคกลางของใบถงทวีปมาถึงแคว้นชิงหลวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ผ่านศึกเป็นตายมาก็หลายครั้ง ตามหลักแล้วไม่ควรจะสนใจศาลบุ๋นบู๊ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ต่อให้ในสถานที่เล็กๆ จะมีลมมารฝนปีศาจ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางสร้างคลื่นลมมรสุมใหญ่อะไรได้ ทว่าไม่นานเฉินผิงอันก็เข้าใจ มีความเป็นไปได้มากว่าคืนนี้เป็นครั้งแรกที่ชุยตงซานลูกศิษย์ของตน ‘ลงมือ’ คิดดูแล้วพวกเว่ยเซี่ยนสุยโย่วเปียนจึงค่อนข้างให้ความสนใจ
หลังนั่งลงเรียบร้อย จูเหลี่ยนก็รินชาส่งมาให้ เฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “มีคนเล่นตุกติกกับศาลบุ๋นบู๊จริงๆ ชุยตงซานจะจัดการทุกอย่างให้เหมาะสมเอง จะไม่ทำให้การเดินทางวันพรุ่งนี้ล่าช้า”
สุ่ยโย่วเปียนมีนิสัยตรงไปตรงมาที่สุด นางพูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของเจ้าจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันลูบศีรษะเผยเฉียน บอกให้นางไปนอนก่อน แต่เผยเฉียนกลับบอกว่านอนไม่หลับ กลัวผี บอกว่าตัวเองนอนไม่นิ่ง ชอบเตะผ้าห่ม ถึงเวลานั้นถ้าเตะแผ่นยันต์บนหน้าผากหลุดไป ภูตผีปีศาจก็คงจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาหลอกหลอน แบบนั้นก็ไม่เท่ากับว่าปกป้องพี่หญิงสุยไม่ได้หรอกหรือ
เพราะเฉินผิงอันเคยพูดถึงข้อห้ามและกฎเกณฑ์บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องยันต์ให้เผยเฉียนฟัง ยกตัวอย่างเช่นยันต์เป็นทั้งยันต์คุ้มกันกายเวลาขึ้นเขาลงห้วย สามารถสยบกำราบสิ่งชั่วร้าย ทำให้พวกเทพภูเขาและแม่น้ำปลายแถว รวมถึงภูตผีหวาดกลัวยำเกรง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นดั่งโคมไฟสว่างจ้าดวงหนึ่งที่ชักนำให้พวกผีร้ายที่ไม่หวาดกลัวลมพายุในโลกคนเป็นเกิดความละโมบอยากครอบครอง หรือไม่ก็มองเป็นศัตรูได้อย่างง่ายดาย
เฉินผิงอันจึงไม่ได้บังคับให้เผยเฉียนกลับไปนอนที่ห้องด้านข้างในทันที แต่พูดกับสุยโย่วเปียนว่า “แม้ว่าตอนแรกชุยตงซานจะหน้าด้านหน้าทนตอแยข้า แต่ตอนนี้เขากลับถือเป็นลูกศิษย์ของข้าจริงๆ ตลอดทางมานี้พวกเจ้าก็น่าจะพอเข้าใจนิสัยของเขาคร่าวๆ แล้วว่าเป็นคนเย่อหยิ่งทระนงตน ขอแค่พวกเจ้าไม่ไปหาเรื่องเขา ชุยตงซานก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายวางแผนเล่นงานพวกเจ้า กฎเกณฑ์ต่างๆ ยามท่องอยู่ในใต้หล้าไพศาล เช่นก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยพูดกับเผยเฉียนว่าไม่เคารพภูเขาได้ แต่ไม่เคารพน้ำไม่ได้ เวลาเข้าวัดไปไหว้พระ หากคนเยอะไม่จำเป็นต้องรอ อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนเป็นชุยตงซานที่อธิบายให้ข้าฟังตอนที่ข้าเดินทางร่วมกับเขา”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดตรงเกินไปนัก ไม่ได้บอกว่าในสายตาของราชครูต้าหลีที่อยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม คนทั้งสี่ในม้วนภาพวาดที่เดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว ยังไม่มีค่าพอให้เขาต้องใช้กลอุบายด้วย
เพียงแต่ว่าคำพูดเช่นนี้ทำร้ายจิตใจคนมากเกินไป เฉินผิงอันจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดออกมา
ก็เหมือนวันที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งที่ชุยตงซานพูดถึงเรื่องคราบร่างเซียนของตู้เม่าโดยตรง แม้ปากจะขอร้องให้เฉินผิงอันใจกว้างยกคราบร่างเซียนให้เขา แต่ในใจชุยตงซานอาจไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเสมอไป
ชุยตงซานยินดีมาตอแยเขาเฉินผิงอัน สิ่งที่เขามองเห็นอย่างแท้จริงอาจไม่ได้อยู่บนร่างของเขา แต่อยู่ที่เงามืดและเบื้องหลังม่านที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล อยู่ที่อาจารย์ฉีซึ่งไม่มีร่างกายและจิตวิญญาณเพราะจากโลกนี้ไปแล้ว อยู่ที่ซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่งที่กักขังตัวเองให้อยู่ในกรอบและให้ ‘สอดคล้องกับกฎเกณฑ์’ ของใต้หล้าไพศาล อยู่ที่อาเหลียงที่บินทะยานไปยังฟ้านอกฟ้า งัดข้อกับเต๋าเหล่าเอ้อร์ อยู่ที่ลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าที่ตอนนี้นั่งบัญชาการณ์ป๋ายอวี้จิงห้าเมืองสิบสองชั้น
ต้าหลีสามารถสร้างหอกระบี่เลียนแบบป๋ายอวี้จิงแห่งนั้นขึ้นมาได้ก็มีเงาของสำนักหยินหยางและสำนักโม่ให้เห็นอยู่แล้ว ยังรวมไปถึงภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักการทหารของแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่มีความเชื่อมโยงกับต้าหลีอย่างลึกซึ้งมานานแล้ว ยังรวมถึงนครมังกรเฒ่าเมืองที่การค้าร่ำรวยซึ่งอยู่ทางทิศใต้สุด ในบรรดาเมธีร้อยสำนักที่มีศักยภาพมากที่สุดเว้นจากสามลัทธิ นอกจากสำนักนิติธรรม สำนักจ้งเหิงที่ไม่เคยเปิดเผยโฉมหน้าแล้ว อันที่จริงต้าหลีก็ถือว่าได้รับความโปรดปรานจากกองกำลังมากมายนอกเหนือจากในทวีปของตัวเองแล้ว
นี่ต่างหากถึงจะเป็นความมั่นใจที่ทำให้ต้าหลีกล้าฮุบกลืนแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปมาครอง
กองทัพม้าเหล็กต้าหลี ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองคือผู้ที่แย่งชิงแผ่นดินซึ่งแสดงออกให้เห็นภายนอก แต่จะรักษาแผ่นดินไว้อย่างไรกลับยิ่งเป็นการทดสอบรากฐานและความสามารถของราชวงศ์ต้าหลีเอง
เรื่องเหล่านี้เฉินผิงอันใคร่ครวญออกมาเองหลังจากที่ได้เห็นประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงตอนของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวในพื้นที่มงคลดอกบัว อาจจะอยู่ห่างจากความจริงอีกไม่น้อย แต่ทิศทางคร่าวๆ น่าจะไม่ผิดเป็นแน่
และหมากล้อมในการกรีฑาทัพลงใต้ของราชวงศ์ต้าหลีกระดานนี้ได้เกี่ยวพันไปถึงกองกำลังที่ซับซ้อนมากมาย คนที่วางแผนอย่างละเอียด ช่วยให้สกุลซ่งต้าหลี ‘ตระเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสรรพ’ ก็คือ ‘เด็กหนุ่มชุดขาว’ ที่อยู่ในศาลบู๊คนนั้น
ตอนนี้มาย้อนนึกดู การเดินทางในแจกันสมบัติทวีปของเฉินผิงอัน ต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือและแคว้นหวงถิงอันเป็นแคว้นใต้อาณัติ แคว้นไฉ่อี แคว้นกู่อวี๋และแคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลาง จนกระทั่งมาถึงนครมังกรเฒ่า ทุกก้าวเดินของเขา อันที่จริงล้วนอยู่ในกระดานหมากล้อมของราชครูชุยฉาน ไม่เคยเดินออกไปนอกสถานการณ์หมากบนกระดานเลย เพียงแต่ว่าชุยฉานและชุยตงซานที่วิญญาณแยกจากกัน ราชครูสองคนที่หนึ่งอยู่ในร่างเด็กหนุ่ม หนึ่งอยู่ในร่างคนแก่ต่างก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขาเฉินผิงอันเท่านั้น
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ท่านชุยผู้นี้คือผู้ฝึกตนที่มีตบะลึกล้ำจนหวนกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมใช่ไหม?”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ได้แค่พูดไปว่า “เขาเคยเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออย่างถูกต้องชอบธรรม บ้านเกิดอยู่ในแจกันสมบัติทวีป ภายหลังมาขอศึกษาต่อที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ขอบเขตของตบะก่อนหน้านี้…ค่อนข้างสูง แต่ภายหลังขอบเขตถดถอย ตอนนี้คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตที่เท่าไหร่ ข้ามองไม่ออก แล้วก็ไม่ได้ถามเขาด้วย”
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินนายน้อยพูดว่าผู้ฝึกตนใหญ่ในโลกมีเรือนกายแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวสามขอบเขตหลอมจิตเลยแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าเทพเซียนบนภูเขาที่มีหน้าตาเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มีวิชาหมัดเป็นอย่างไร? หากมีสมบัติอาคมติดกาย ไม่รู้ว่าจะสามารถทำลายเสื้อเกราะน้ำค้างหวานของเว่ยเซียนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน พวกเจ้าใครก็ตามที่ยินดีจะไปหยั่งเชิงชุยตงซาน ข้าไม่มีทางขัดขวางแน่นอน เพียงแต่ว่าต้องรับผิดชอบผลลัพธ์เอาเอง”
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ข้าไม่กล้าแย่งตำแหน่งลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขากับเขาแล้ว วันหน้าจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ก็แล้วกัน”
ชุยตงซานผลักประตูเดินเข้ามา พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นังหนูน้อย เหตุใดเจ้าถึงด่าคนอื่นลับหลัง?! ใครเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าต่างหากที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ พูดจาให้ดีๆ นะ!”
อยู่ดีๆ ชุยตงซานก็โผล่มาโวยวายซักไซ้เอาความผิด ทำเอาเผยเฉียนตกใจจนหน้าซีดขาว
เฉินผิงอันถาม “ทางศาลบู๋เป็นอย่างไรบ้าง?”
ชุยตงซานรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วกระดกดื่มจนหมด พูดด้วยรอยยิ้มว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว ทั้งศาลบุ๋นบู๊และผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง ข้าล้วนได้พบหน้าแล้ว ทั้งสองฝ่ายนับว่าปรึกษาพูดคุยกันได้ดี ก็ศิษย์ใช้เหตุผลในการจัดการเรื่องราวกับพวกเขานี่นะ หากไม่เป็นเพราะรีบร้อนอยากกลับมาแจ้งข่าวแก่อาจารย์ ไม่แน่ว่าคราวนี้นายท่านผู้เฒ่าสองศาลบุ๋นบู๊ก็อาจจะลากตัวเทพเจ้าที่ออกมา เอาสุราหมักรสชาติดีหลายไหที่ฝังไว้ใต้ดินมาดื่มพลางพูดคุยกับข้าอย่างถูกคอจนถึงวันพรุ่งนี้แล้วล่ะ”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ใครกำลังก่อกวน?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เป็นคนรวยในท้องที่ที่เสียดายชีวิต อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักยี่สิบสามสิบปี แล้วบังเอิญพอดีที่ในบ้านมีหลานชายซึ่งกำลังฝึกตนอยู่ในสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่ง เรื่องดีๆ ไม่เล่าเรียน ดันไปเรียนแต่เรื่องที่ไม่ดี เรียนพวกวิชามารนอกรีตมาอย่างงูๆ ปลาๆ จึงคิดจะเปลี่ยนแปลงอายุขัยของตัวเองโดยพลการ โดยใช้การทำลายโชคชะตาของพื้นที่แห่งหนึ่งมาเป็นค่าตอบแทน แลกเปลี่ยนมาเป็นอายุขัยที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงยกระดับฮวงจุ้ยของสุสาน แน่นอนว่าต้องเกิดข้อพิพาทกับศาลบุ๋นบู๊ในท้องถิ่น ผู้ที่ฝึกตน เล่าเรียนจนใช้วิชาเซียนได้ ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักเล็กๆ ซึ่งอายุยังน้อยทั้งหลายย่อมมีนิสัยไม่ค่อยดีนัก พอไม่ทำก็คือไม่ทำ พอทำแล้วก็ทำจนถึงที่สุดโดยไม่ฟังอีร้าคร่าอีรม นักพรตหนุ่มคนนั้นเกือบจะช่วงชิงร่างทองไปพร้อมกันด้วยแล้ว ว่ากันว่าตอนนี้องค์เทพภูเขาแม่น้ำในศาลเถื่อนที่อยู่ในแถบของแคว้นชิงหลวน แคว้นชิ่งซาน ตลอดทั้งทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีปล้วนถูกราชสำนักของแต่ละแคว้นสังหารเข่นฆ่าไปไม่น้อย แต่ผลผลิตชิ้นส่วนร่างทองก็ยังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการ หากเกิดปัญหาขึ้นกับควันธูปของศาลบุ๋นบู๊สองแห่งนี้ แล้วผู้ฝึกตนของท้องถิ่นลงมือ สภาพการฮุบกินของพวกเขาอาจจะไม่น่ามองไปบ้าง แต่จะดีจะชั่วก็ไม่ถึงขั้นที่ถูกนักปราชญ์ของสำนักศึกษาสืบสาวราวเรื่องไม่ยอมปล่อยผ่าน หากนักพรตหนุ่มและที่พึ่งเบื้องหลังเขาโชคดีพอ เรื่องนี้ไปคลี่คลายอยู่ในห้องทรงพระอักษรของแคว้นชิงหลวนโดยตรง ข่าวแพร่ไปไม่ถึงสำนักศึกษากวานหู…”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของเฉินผิงอันก็หนักอึ้ง ดื่มเหล้าดองหลอมเล็กไปหนึ่งคำ
ชุยตงซานสีหน้าเป็นปกติ ราวกับไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของอาจารย์ตัวเอง ยังคงพูดต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำต่างก็มีโชควาสนาเป็นของตัวเอง แล้วก็มีผลบุญผลกรรมของตัวเอง ก็แค่เกิดขึ้นก่อนล่วงหน้าเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อในอนาคตหากราชวงศ์ต้าหลีฮุบกลืนพื้นที่ของหนึ่งแคว้นไปได้จริงๆ ศาลเถื่อนพวกนี้อย่างไรก็ต้องถูกจัดการแน่อยู่แล้ว และมีแต่จะใช้วิธีการโหดเหี้ยมยิ่งกว่านี้ ตอนนี้ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ในภาคกลางก็มีขุนนางกรมพิธีการร่วมมือกับกองโหราศาสตร์เริ่มทำการ ‘ค้นหาเบาะแสตามลายแทง’ กันแล้ว สองปีมานี้ที่อาจารย์ไม่ได้อยู่ในแจกันสมบัติทวีป ลำพังเพียงแค่ทางใต้ของแคว้นหวงถิง ทางเหนือของแคว้นไฉ่อี เหนือทางเดินมังกรใต้ดินเส้นนั้นก็มีศาลเถื่อนในแคว้นน้อยใหญ่หกสิบสองแคว้นที่ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ละเมิดกฎของการก่อสร้างมากถึงสี่พันกว่าแห่งที่ถูกทำลายไปแล้ว นี่ยังเป็นเพราะขุนนางกรมพิธีการของต้าหลีแต่ละคนใบหน้าอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง (เปรียบเปรยถึงว่ากินอยู่สุขสบาย) รับของคนอื่นต้องมืออ่อน จึงค่อนข้างสำรวมกันแล้ว ไม่อย่างนั้นจำนวนนี้อย่างน้อยก็ต้องเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว แน่นอนว่าสำนักศึกษากวานหูย่อมยินดีที่จะได้เห็นศาลเถื่อนถูกกำจัด ต่อให้ไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมกับราชสำนักต้าหลี แต่ก็ยังส่งนักปราชญ์และวิญญูชนหลายสิบท่านที่มีรองเจ้าขุนเขาเป็นผู้นำมาช่วยต้าหลีตรวจสอบเรื่องนี้ รวมไปถึงกำหนดขอบเขตให้กับต้าหลี สำหรับเรื่องนี้ต้าหลีนับว่าให้หน้าสำนักศึกษากวานหูอย่างมากเลยล่ะ”
พร่ำพูดเรื่องพวกนี้เสร็จ ชุยตงซานก็วางถ้วยชาลง กวาดตามองไปรอบด้าน ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ทำไม นอนเร็วตื่นเร็วร่างกายแข็งแรง พวกเจ้าไม่รู้จักหลักการบำรุงร่างกายพวกนี้ แล้วยังจะมารบกวนการพักผ่อนของอาจารย์ข้าอีกงั้นหรือ?”
เผยเฉียนเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป จากนั้นคนทั้งสี่ในม้วนภาพที่มีสีหน้าต่างกันก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ทยอยกันจากไป
สุดท้ายชุยตงซานลุกขึ้นยืน กุมมือคารวะบอกลาอาจารย์
เฉินผิงอันต้องลงดาลประตูจึงเดินไปที่หน้าประตูห้องพร้อมกับชุยตงซาน คนหนึ่งยืนอยู่นอกธรณีประตู คนหนึ่งยืนอยู่ด้านในธรณีประตู เฉินผิงอันกล่าวว่า “หากเจ้าแอบเข้าไปมีส่วนร่วมกับงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวนลับหลังข้า ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรจะอธิบายกับข้าให้ชัดเจน อย่างมากข้าก็แค่อ้อมผ่านเมืองหลวงไปรอเจ้าอยู่ที่ท่าเรือตระกูลเซียนซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกสุด หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงเวลานั้นเจ้าและข้าแตกหักกัน เจ้าชุยตงซานจะได้ไม่ต้องทำเรื่องที่หลอกลวงบรรพจารย์ลบล้างบรรพชนอีกครั้ง”
ชุยตงซานทำสีหน้าน้อยใจราวกับว่ากางเกงเปื้อนเปรอะไปด้วยดินโคลน “อาจารย์มีใจกว้างเปิดเผย ประหนึ่งสายลมและแสงจันทร์ ปีนั้นอาจารย์กับศิษย์สองคนเดินทางท่องเที่ยวต้าสุยด้วยกัน ศิษย์รู้สึกเหมือนได้อาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา เหตุใดถึงใช้ใจคนถ่อยมาประเมินความคิดของวิญญูชนได้เล่า?”
ชุยตงฉานพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นเพราะผู้ติดตามสี่คนนั้นที่จิตใจไม่ซื่อตรง อาจารย์อยู่กับพวกเขานานวันเข้าจึงแปดเปื้อนกลิ่นอายของปุถุชนมาบ้าง ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ศิษย์จะ…”
เฉินผิงอันปิดประตู พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป”
ชุยตงซานที่สวมชุดขาวพลิ้วปลิวไสวดุจเทพเซียนผู้หลุดพ้นจากไปด้วยการหมุนตัวเป็นวงกลมอยู่บนระเบียง น่าจะพอสมกับคำว่าไสหัวไปแล้ว (ไสหัวไป ภาษาจีนคือคำว่ากุ่นที่แปลว่ากลิ้ง/หมุน)
ตอนที่ผ่านห้องของเผยเฉียนที่อยู่ติดกัน ชุยตงซานหยุดชะงักเล็กน้อย หมุนตัวอยู่ที่เดิมพลางเอ่ยเตือนเผยเฉียนด้วยความหวังดีไปด้วย “เผยเฉียนเอ๋ย เจ้ากับข้ามีมิตรภาพเนื่องจากมีอาจารย์คนเดียวกัน ข้าก็จะบอกข่าวดีกับเจ้าข่าวหนึ่ง ขอแค่ไม่เปิดหน้าต่างก็ไม่มีทางเห็นผีแขวนคอตายที่ห้อยหัวแลบลิ้น ขอแค่ไม่โผล่หัวออกจากผ้าห่มก็มองไม่เห็นผีสาวสวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดที่แต่งงานกับราชาผีแห่งสุสานไร้ญาติที่นอนหมอบอยู่บนหัวเตียง ขอแค่ไม่ลุกมาดื่มน้ำกลางดึกก็ไม่มีทางมองเห็นผีพรายหน้าซีดขาวที่จมน้ำตาย ท้องเลยมีสาหร่ายขึ้นยุบยับ…อ้อ ใช่แล้ว มีเด็กสาวผมยาวบางคนที่ตายไปอย่างอยุติธรรมชอบห่อตัวนอนขดอยู่ปลายเท้าเด็กหญิง ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นแค่เส้นผมกองใหญ่กองหนึ่งเท่านั้น…”
เผยเฉียนหลบอยู่ในผ้าห่ม ตัวสั่นระริก ใช้สองมือปิดหูไว้แน่น
พอไปถึงห้องของสี่คนในม้วนภาพวาด ชุยตงซานที่หมุนตัวไม่หยุดก็แค่ส่งเสียงหัวเราะอยู่นอกห้องของหลูป๋ายเซี่ยง “ได้ยินอาจารย์ของข้าบอกว่าฝีมือการเล่นหมากล้อมของเจ้าสูงส่งมาก พรุ่งนี้ข้าจะเรียนรู้จากเจ้าว่าควรจะเล่นหมากล้อมเช่นไร”
หลูป๋ายเซี่ยงที่กำลังเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องที่จุดตะเกียงยิ้มกล่าวว่า “หากท่านชุยยินดี ไม่สู้เล่นกันสักตาก่อนค่อยไปพักผ่อน?”
ชุยตงซานค่อยๆ ห่างไปไกลแล้ว “คืนนี้คงไม่ล่ะ เรื่องอย่างการเรียนหมากล้อมนี้ต้องเลือกฤกษ์ยาม ต้องดูอารมณ์”
นอกโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก
มีเทพร่างทองสององค์ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า คนหนึ่งอยู่ซ้ายคนหนึ่งอยู่ขวา คนหนึ่งบุ๋นคนหนึ่งบู๊ ยืนเฝ้ายามที่หน้าโรงเตี๊ยมหน้าตาเคร่งเครียดประหนึ่งเทพทวารบาล
—–