กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 384.1 การประชันเมฆหลากสี
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันเพิ่งจะฝึกท่าฟ้าดินเสร็จ เผยเฉียนที่ยังงัวเงียไม่หายก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก จึงเดินไปเปิดประตู เฉินผิงอันเห็นเด็กหญิงผิวดำราวกับถ่านมีสีหน้าอ่อนเพลีย ดูท่าแล้วคำเตือนด้วยความหวังดีของชุยตงซานเมื่อคืนคงทำให้เผยเฉียนตกใจไม่น้อย เฉินผิงอันจึงบอกให้นางมานอนต่อในห้องของตัวเอง เผยเฉียนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษครั้งใหญ่ หัวถึงหมอนก็นอนหลับไปทันที เฉินผิงอันช่วยห่มผ้าให้เผยเฉียนแล้วก็มานั่งอยู่ข้างโต๊ะพลิกอ่านตำราหลอมโอสถที่เซียนดินลู่ยงแห่งตำหนักพยัคฆ์เขียวมอบให้ แม้ว่าจะอธิบายในเรื่องของการหลอมยา แต่ถึงอย่างไรก็เป็นวิชาลับเฉพาะของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จึงได้รวบรวมประสบการณ์ที่อัศจรรย์บนมหามรรคาเอาไว้ด้วย ทุกครั้งที่เฉินผิงอันสงบใจศึกษาล้วนได้รับผลประโยชน์ คู่ควรกับสี่คำว่า ‘เปิดตำรามีประโยชน์’ อย่างแท้จริง
โรงเตี๊ยมแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างเรียบง่าย อาหารสองสามมื้อในหนึ่งวันต้องให้แขกที่เข้าพักออกจากโรงเตี๊ยมไปหากินกันเอาเอง นับตั้งแต่เถ้าแก่จนถึงลูกจ้างล้วนเจ้าอารมณ์กันทั้งสิ้น ตอนที่กลุ่มของเฉินผิงอันมาเข้าพักก็เห็นว่าคนของโรงเตี๊ยมกำลังด่าอยู่กับขบวนพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน แต่กลุ่มของเฉินผิงอันมีชุยตงซาน หลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียนสามคนช่วยสยบปัญหา ทางโรงเตี๊ยมที่รู้จักพลิกแพลงไปตามสถานการณ์จึงกระตือรือร้นกับพวกเขาค่อนข้างมาก เป็นฝ่ายแนะนำอาหารรสเลิศขึ้นชื่อของท้องถิ่นให้ด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนที่นอนหลับจนเต็มอิ่มออกไปข้างนอกด้วยกัน กินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็ยังซื้อกลับมาอีกส่วนหนึ่ง เขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม นอกจากสั่งให้เผยเฉียนเอาของกินไปมอบให้พวกชุยตงซานแล้ว ยังสั่งให้นางบอกพวกเขาว่าต้องการให้พวกเขาอยู่ในอำเภอแห่งนี้สองวัน ส่วนตัวเขาจะออกไปเดินเที่ยวข้างนอกเพียงลำพัง เผยเฉียนย่อมยินดีที่จะได้หยุดพักเท้าสองวัน ในเมื่อไม่ต้องรีบเร่งเดินทางก็หมายความว่าไม่ต้องฝึกเดินนิ่งหกก้าวที่น่าเบื่อหน่าย ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ตอนที่เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในอำเภอ ชุยตงซานและคนทั้งสี่ในภาพวาดต่างก็รับเอาอาหารเช้าที่เผยเฉียนนำกลับมาไปกิน ชุยตงซานทำสีหน้าซาบซึ้งใจ บอกว่าอาจารย์กำลังช่วยตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องของศิษย์ ทำไปด้วยใจล้วนๆ อาจารย์ที่คิดเพื่อลูกศิษย์เช่นนี้จะไปหาจากที่ไหนได้อีก เผยเฉียนไม่กล้าเถียง ได้แต่นินทาอยู่ในใจว่าตรวจสอบช่องโหว่เพื่อเติมเต็มในส่วนที่ขาดตกบกพร่องอะไรกัน เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่วางใจในการจัดการเรื่องราวของเจ้า
กินอาหารเช้าแล้ว ชุยตงซานก็อารมณ์ดีอย่างมาก เขาหันมายิ้มพูดกับเผยเฉียนว่า “เล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกเป็นหรือไม่? พวกเรามาวางเดิมพันกันเล็กๆ แพ้ชนะหนึ่งตาก็ได้เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ เป็นอย่างไร?”
เผยเฉียนเคยเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกมาก่อน นี่คือการละเล่นเล็กๆ ที่หลูป๋ายเซี่ยงสอนนาง กฎนั้นง่ายมาก เผยเฉียนมักจะลากเว่ยเซี่ยนมายืมกระดานหมากของหลูป๋ายเซี่ยงแล้วเข่นฆ่ากันอยู่บนกระดานจนมืดฟ้ามัวดิน คนทั้งสองตอบโต้กันไปมา เมื่อเทียบกับความเงียบสงบน่าเบื่อระหว่างที่หลูป๋ายเซี่ยงประลองฝีมือกับสุยโย่วเปียนแล้ว เผยเฉียนกับเว่ยเซี่ยนจะเล่นกันอย่างครึกครื้นสนุกสนาน เวลาวางเม็ดหมากเสียงดังลั่นโป๊ะป๊ะ พลังอำนาจเปี่ยมล้นจนกระดานหมากเกือบจะทะลุเป็นรู ทำเอาหลูป๋ายเซี่ยงที่มองดูอยู่เสียใจภายหลังอย่างถึงที่สุด
เวลาประลองกับเว่ยเซี่ยนที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมห่วยแตก เผยเฉียนจะชนะมากกว่าแพ้ หากได้เปรียบเมื่อไหร่ก็จะชอบคะนองหลงลืมตน แต่หากเสียเปรียบก็จะล้มกระดาน โชคดีที่เว่ยเซี่ยนไม่ค่อยถือสากับผลแพ้ชนะและสภาพบนกระดานหมากเท่าไหร่นัก
คราวนี้ได้ยินชุยตงซานบอกว่าจะเดิมพัน เผยเฉียนก็ส่ายหน้าอย่างแรง นางไม่ได้โง่สักหน่อย ต่อให้ชุยตงซานจะบอกว่าต้องการเรียนวิธีเล่นหมากล้อมจากหลูป๋ายเซี่ยง แต่หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่เป็นดั่งประตูข้างบานเล็กไม่มีธรณีประตูให้พูดถึงนี้ เผยเฉียนกลับไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเงินเดิมพันมาได้ ถึงอย่างไรคนโง่ที่เป็นดั่งตอไม้อย่างเหล่าเว่ย บนโลกนี้ก็มีน้อย
ชุยตงซานหัวเราะเฮอๆ “พวกเราสองคนเล่นหมากล้อมกัน เจ้าและข้าสองคนคือลูกศิษย์ของอาจารย์ แน่นอนว่าจะทำลายความสามัคคีไม่ได้ ใครแพ้คนนั้นได้เงินไป!”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย แพ้หนึ่งกระดานยังได้เงินหนึ่งอีแปะ ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?
ดังนั้นหลูป๋ายเซี่ยงจึงเอาอุปกรณ์ในการเล่นหมากล้อมทั้งหมดมาที่ห้องเผยเฉียน จากนั้นชุยตงซานกับเผยเฉียนลูกศิษย์ร่วมสำนักที่ยังไม่แบ่งแยกลำดับศักดิ์คู่นี้จึงเริ่มเล่นหมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ย่ำยีกระดานหมากมากที่สุด
สี่คนในภาพวาดมายืนชมอยู่ด้านข้างด้วยความรู้สึกที่เฉียบไว
เผยเฉียนวางเม็ดหมากมั่วๆ ระหว่างหมากสองเม็ดที่วางไล่หลังกันอยู่ห่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ ชุยตงซานเองก็วางเม็ดหมากอย่างไร้ระเบียบเช่นกัน บางครั้งยังตามติดอยู่หลังก้นเม็ดหมากของเผยเฉียน บางครั้งก็วางในมุมตะวันออก ใต้ตะวันตก และเหนือมุมละเม็ด ซึ่งเป็นรูปแบบของการเล่นหมากล้อมในระดับเริ่มต้นอย่างตื้นเขิน มองดูเหมือนว่าเผยเฉียนน่าจะแพ้มากกว่า เพียงแต่ว่าเมื่อพื้นที่บนกระดานหมากแคบลงเรื่อยๆ เผยเฉียนทั้งค้นพบด้วยความเสียดายและตกตะลึงว่า หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกที่ยิ่งเล่นยิ่งง่ายนี้ รอจนกระดานหมากเต็มไปด้วยเม็ดหมากสีขาวดำสลับกันดุจเขี้ยวสุนัขแล้ว เผยเฉียนกลับเป็นฝ่ายชนะ ไม่ว่านางจะวางเม็ดหมากอย่างไรก็ล้วนเป็นภาพหมากห้าเม็ดเรียงเป็นเส้นไข่มุกที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
แล้วก็ต้องเสียเงินหนึ่งอีแปะไปอย่างน่าน้อยใจและไม่เอาไหนเช่นนี้ เผยเฉียนเสียใจจนไส้เขียว แทบอยากจะกินกระดานหมากเข้าไปในท้อง ล้มกระดานมันเสียเลย เพียงแต่พอชำเลืองตามองชุยตงซานที่นั่งไขว่ห้างแทะเมล็ดแตงอยู่ฝั่งตรงข้าม นางกลับไม่กล้าเล่นแง่
ชุยตงซานเหล่ตามองกระดานหมากตรงหน้า กล่าวอย่างเสียดายว่า “แพ้หนึ่งตา แพ้หนึ่งตา ดูท่าโชคในการเสี่ยงดวงของข้าจะดีกว่าเจ้าเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นพวกเรามาเล่นกันอีกสักตาดีไหม? หากรังเกียจที่กระดานหมากอันเดียวไม่สามารถแสดงฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเจ้าเผยเฉียนออกมาได้อย่างหมดสิ้น พวกเราสามารถเพิ่มกระดานหมากให้เป็นหนึ่งสองสามอัน แต่ทุกกระดานที่เพิ่มขึ้นมา เดิมพันก็จะต้องเพิ่มเป็นเหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญด้วย ส่วนข้า ขอแค่เอาชนะได้ก็จะรีบควักถุงเงินคืนเงินให้เจ้าทันที เจ้าเผยเฉียนสามารถเพิ่มกระดานหมากได้ตามใจชอบ จนกว่าจะแพ้แล้วได้เงินไป แบบนี้ถือว่าพอจะยุติธรรมอยู่บ้างกระมัง?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างลังเล “แต่บนโต๊ะวางกระดานหมากสองอันไม่ได้นี่นา”
ชุยตงซานชี้ไปบนพื้น “พวกเราเล่นบนพื้น จะกลัวอะไร กระดานหมากมีมากมาย จะเล่นยาวไปจนถึงระเบียงนอกห้องเลยก็ยังได้ ถูกไหม? ถึงอย่างไรยิ่งกระดานหมากมากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งได้เงินมากเท่านั้น ข้ารู้ว่าเจ้าความจำดี ของข้าก็พอถูไถ พวกเราให้หลูป๋ายเซี่ยงหรือไม่ก็สุยโย่วเปียนไปยืมถ่านไม้สองก้อนมาจากโรงเตี๊ยม ถึงเวลานั้นข้าจะใช้ถ่านวาดเป็นกระดานหมากล้อม พวกเราก็ไม่ต้องใช้เม็ดหมากแล้ว หากใครจำผิดก็ถือว่าแพ้”
เผยเฉียนหันหน้าไปมองเหล่าเว่ย เว่ยเซี่ยนคงจะรู้สึกว่าวิธีการเล่นที่หวังให้ตัวเองแพ้เช่นนี้เหมือนคนน้ำเข้าสมองเกินไปจึงเดินจากไปทันที จูเหลี่ยนก็ยิ่งกลอกตามองบนเดินออกไปนอกห้อง
กลับเป็นอดีตยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อมระดับแคว้นของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ยังอยู่ต่อ แล้วหลูป๋ายเซี่ยงก็ไปยืมถ่านไม้กลับมาจริงๆ สุยโย่วเปียนยืนสีหน้าเฉยเมยอยู่ด้านข้าง ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็อยู่ต่อในห้องอย่างคนมีความอดทนอยู่แล้ว จึงคอยดูหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กที่มีอาจารย์คนเดียวกันนั่งเล่นเหลวไหลกันอยู่บนพื้น
เฉินผิงอันและสี่คนในภาพวาดต่างก็รู้มานานแล้วว่าความทรงจำของเผยเฉียนนั้นดีเยี่ยมจนเรียกได้ว่าโดดเด่น พรสวรรค์ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันหรือหลูป๋ายเซี่ยงที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมยอดเยี่ยม ทบทวนกระดานหมากแต่ละครั้งที่เล่นจนเกิดความเคยชินก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้
หลังจากใช้กระดานหมากสองกระดานจนหมด เผยเฉียนและชุยตงซานนอกจากจะแข่งกันเรื่องความน่าไม่อายแล้ว ยังแข่งกันเรื่องความทรงจำด้วย
บนพื้นวาดกระดานหมากอีกสองกระดานด้วยถ่านไม้แล้ว หากเผยเฉียนไม่เพิ่มอีกกระดานก็ยังจะชนะอยู่ดี ดังนั้นจึงจำต้องบอกให้ชุยตงซานวาดเพิ่มไปอีกกระดาน
หลูป๋ายเซี่ยงเดินออกมานอกห้องเงียบๆ สุยโย่วเปียนเดินตามติดมาด้านหลัง
กลางระเบียง สุยโย่วเปียนเอ่ยถาม “มองความตื้นลึกหนาบางออกหรือไม่?”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “หมากห้าเม็ดเรียงเป็นไข่มุกง่ายเกินไป ต่อให้วาดอีกสิบกระดาน เผยเฉียนก็ยังคงไม่สามารถหยั่งเชิงจนรู้ว่าคนผู้นี้มีฝีมือการเล่นหมากล้อมแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยได้อยู่ดี”
สุยโย่วเปียนถาม “หากเจ้าไม่เก็บงำอำพราง แต่เลือกจะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ พวกเราห่างชั้นกันมากแค่ไหน?”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มกล่าว “บอกตามตรง เจ้าน่าจะไม่สามารถทำให้ข้าใช้หมากเด็ดได้ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า tesuji คือหมากที่ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งอย่างยอดเยี่ยม)
คำว่าหมากเด็ดก็คือวิธีการอันยอดเยี่ยมบนกระดานหมาก ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อคู่ต่อสู้บนกระดานหมากมีฝีมือสูสีกัน การเข่นฆ่าดำเนินไปอย่างดุเดือด จัดการหมากเดี่ยว (คือคำศัพท์ในการเล่นหมากล้อม เวลาเล่นหมากล้อม บางครั้งเพื่อทำลายข้อได้เปรียบของฝ่ายตรงข้าม จึงต้องทำลายความสมดุลของสถานการณ์บนกระดาน เพื่อให้สถานการณ์ส่งผลดีต่อตัวเอง จึงจำต้องเข้าไปต่อสู้ในอาณาเขตของฝ่ายตรงข้าม แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้หมากที่ถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีจะเรียกว่า ‘หมากเดี่ยว’ ‘จัดการหมากเดี่ยว’ ก็คือการใช้ข้อบกพร่องและจุดอ่อนของคู่ต่อสู้มาจัดการหมากเดี่ยวของตนให้ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพสูง) สังหารมังกรใหญ่ล้วนง่ายที่จะปรากฎวิธีเทพเซียนเช่นนี้
ความหมายของหลูป๋ายเซี่ยงก็คือ เขาแค่จำเป็นต้องทำตามขั้นตอน ‘ปูหมาก’ เหมือนช่างวางอิฐวางกระเบื้อง สี่ด้านแปดทิศราบเรียบมั่นคงก็สามารถเอาชนะสุ่ยโย่วเปียนได้แล้ว
สุยโย่วเปียนไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะถูกดูหมิ่นอะไร ฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ความจริงล้วนวางให้เห็นอยู่ตรงหน้า ตลอดทางที่ผ่านมานี้นางมักจะเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงเป็นประจำ หากสุยโย่วเปียนไม่ผลักกระดานหมากล้อมออกก็โยนเม็ดหมากทิ้ง นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นในโลกแทบไม่เคยมีใครพูดคำว่า ‘ข้าแพ้แล้ว’ ออกมา ทว่าการผลักกระดานและการโยนเม็ดหมากทิ้งก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้แบบไร้เสียง แม้สุยโย่วเปียนจะให้ความสำคัญกับเรื่องแพ้ชนะมาก แต่ในเรื่องการเล่นหมากล้อมนี้ เดิมทีก็ถูกนางมองเป็นการละเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์เท่านั้น แพ้หรือชนะไม่อาจส่งผลกระทบต่อวิถีกระบี่ที่ห่างชั้นไกลจากฝีมือเล่นหมากล้อมของนางได้ ดังนั้นสุยโย่วเปียนจึงยอมรับความพ่ายแพ้ในเรื่องนี้ได้
อีกทั้งหากดูตาม ‘วงการหมากล้อมในรุ่นหลัง’ ที่จูเหลี่ยนพูดถึงเป็นบางครั้ง ฉีไต้จ้าวและมือเล่นระดับแคว้นของแต่ละแคว้นในพื้นที่มงคลดอกบัวล้วนให้ความเคารพเลื่อมใสในฝีมือการเล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงบรรพบุรุษผู้บุกเบิกลัทธิมารอย่างถึงที่สุด หากเลือกจากคนที่แข็งแกร่งที่สุด ยอดฝีมือหมากล้อมของแต่ละสำนักแต่ละราชวงศ์แต่ละยุคสมัยอาจจะยังมีแบ่งแยกไปอีก แต่หากเลือกมาจากสามอันดับแรกของประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัว ต้องมีหลูป๋ายเซี่ยงเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน นี่ก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงชื่อเสียงอันสูงส่งในวงการหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว
อีกสองคนที่เหลือ คนหนึ่งคือหวังจี้หยวนที่ถูกขนานนามให้เป็นอริยะแห่งหมากล้อมพันปี อีกท่านหนึ่งคือ ‘หวงฮ่าว’ ที่ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังว่าเป็นเจ๋อเซียน หรือก็คือบรรพจารย์อวี๋เจินอี้ บรรพบุรุษผู้กู้คืนความรุ่งโรจน์ให้แก่สำนักหูซานแคว้นชิงไล่ แล้วก็เป็นคนผู้นี้ที่อาศัยชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของสำนักและฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ตนเองคิดว่าไร้เทียมมายกเลิกระบบจั้วจื่อ (ระบบกติการในการเล่นหมากล้อมแบบเก่า) ของวงการหมากล้อม เป็นเหตุให้วงการหมากล้อมของพื้นที่มงคลดอกบัวเกิดเส้นแบ่ง นับแต่นั้นมาจึงมีการแบ่งเป็นฝ่ายหมากล้อมยุคเก่ากับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ หวังจี้หยวนอายุน้อยกว่าหวงฮ่าวหกสิบปี ตอนที่หวงฮ่าวอายุเจ็ดสิบปีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นเหตุให้คนทั้งสองไม่เคยมีโอกาสประมือกันมาก่อน เกี่ยวกับฝีมือการเล่นหมากล้อมที่ใครสูงใครต่ำของคนทั้งสามในยุคสมัยที่แตกต่างกันนี้ เหล่าปรมาจารย์ในวงการหมากล้อมรุ่นหลังโต้เถียงกันอย่างไม่อาจถอนตัวได้ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลูป๋ายเซี่ยงก็คือสุดยอดแห่งฝ่ายหมากล้อมยุคเก่า ส่วนหวังจี้หยวนก็คือจุดสูงสุดของฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่ และยิ่งเป็นยอดฝีมือในการเล่นรูปแบบมีดบิน ดังนั้นจึงมีคนเชื่อมั่นว่าหากหวังจี้หยวนมีโอกาสได้ประชันฝีมือกับหลูป๋ายเซี่ยง แม้จะยอมให้วางหมากก่อนสองเม็ด ถึงกระนั้นหลูป๋ายเซี่ยงก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับหวังจี้หยวนอริยะแห่งหมากล้อมพันปีได้แน่นอน แต่ยอดฝีมือวงการหมากล้อมที่ศึกษาการเล่นหมากล้อมในสมัยโบราณกลับป่าวประกาศว่า ให้หลูป๋ายเซี่ยงได้ทำความเข้าใจกับฝ่ายหมากล้อมสมัยใหม่สักสองสามเดือนจนคุ้นชินเสียก่อน แล้วค่อยไปประชันกับหวังจี้หยวนอีกที หนีไม่พ้นจะมีลูกศิษย์เป็นอริยะหมากล้อมที่โขกหัวกราบไหว้หลูป๋ายเซี่ยงเป็นอาจารย์อีกคนก็เท่านั้น สรุปก็คือผู้คนมีความเห็นแตกต่างกันออกไป เนื่องจากภายหลังไม่มีผู้เล่นระดับแคว้นที่ฝีมือทัดเทียมกับคนทั้งสามปรากฎขึ้นอีก ยิ่งไม่มีคำวิจารณ์อย่างเป็นกลางที่ผู้คนให้การยอมรับ ดังนั้นเกี่ยวกับฝีมือสูงต่ำของคนทั้งสามจึงถูกกำหนดมาให้กลายเป็นคดีค้างเติ่งที่หาข้อสรุปไม่ได้
สุยโย่วเปียนพลันเอ่ยว่า “อย่าแพ้ให้คนผู้นั้น”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มบางๆ “ตั้งตารอดูกันไปเถอะ”
ส่วนในห้องเผยเฉียน ชุยตงซานนั่งยองแทะเมล็ดแตง เผยเฉียนหน้านิ่วคิ้วขมวด น้ำตาคลอเจียนหยด
นางใกล้จะต้องเสียเงินหกเหรียญทองแดงแล้ว
ชุยตงซานเอ่ยปลอบใจ “ถ่านไม้ยังมีมากพอ แพ้ชนะยังไม่ตัดสิน วาดอีกกระดานหนึ่งก็แล้วกัน เดิมพันมากได้เงินมาก”
เผยเฉียนยกหลังมือเช็ดดวงตา ควักถุงหอมที่น้ากุ้ยมอบให้แต่นางเอามาทำเป็นถุงเงินออกมาจากชายแขนเสื้อ หยิบเหรียญทองแดงเจ็ดเหรียญออกมาจากด้านใน นี่คือเงินที่มาจากหยาดเหงื่อแรงกายของนาง นางกำเหรียญทองแดงไว้แน่น ลุกขึ้นยืนอย่างลังเลใจ วางพวกมันลงบนโต๊ะเบาๆ มองเจ้าคนแซ่ชุยด้วยท่าทางน่าสงสาร หวังว่าเขาจะเดินจากไปด้วยท่วงท่าของเทพเซียน คิดไม่ถึงว่าชุยตงซานจะยิ้มแต้เดินมาหยุดข้างโต๊ะ ยื่นมือมาปาดหนึ่งครั้ง เหรียญทองแดงก็ไม่เหลือแม้เงา จากนั้นชุยตงซานถึงได้เดินไปทางประตูห้อง ยังไม่ลืมหันหน้ามายิ้มเตือน “จำไว้ว่าเอาอุปกรณ์การเล่นไปคืนหลูป๋ายเซี่ยงด้วย แล้วก็ยังต้องเช็ดร่องรอยบนพื้นให้สะอาด ไม่อย่างนั้นหากเฉินผิงอันรู้ว่าพวกเราเล่นพนันต้องด่าข้าไม่เหลือชิ้นดีแน่ จากนั้นก็จะต้องสั่งให้เจ้าคัดตัวอักษรจนแขนหัก ส่วนเรื่องเงินนี่ กล้าเดิมพันก็ต้องกล้ายอมรับความพ่ายแพ้ เฉินผิงอันไม่มีทางช่วยทวงคืนกลับไปให้เจ้าแน่”
ชุยตงซานใช้สองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เดินอาดๆ จากไป “วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ ได้เงินมาแล้วออกไปซื้อถังหูลู่กินดีกว่า”
เผยเฉียนยืนอยู่ข้างโต๊ะ หลั่งน้ำตาอย่างน่าสงสาร
ชุยตงซานพลันถอยกรูดกลับมา เอนตัวมาด้านหลัง ยื่นมาแต่ศีรษะ พูดด้วยรอยยิ้ม “เผยเฉียน ข้าอยากจะเรียนรู้วิธีเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยงใช่ไหมล่ะ ก็เลยกะว่าจะหานิมิตหมายอันดีให้ตัวเองสักหน่อย หลังจากนี้ทุกครั้งที่เจ้าเรียกข้าว่าเซียนหมากล้อม ข้าก็จะให้เงินเจ้าหนึ่งอีแปะ”
เผยเฉียนดวงตาเป็นประกาย วิ่งปรู๊ดออกไปนอกธรณีประตู เดินตุปัดตุเป๋ตามก้นชุยตงซานต้อยๆ ปากก็ตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมอย่างอุตสาหะ
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นอกจากจะต้องเอาอุปกรณ์การเล่นหมากล้อมไปคืนหลูป๋ายเซี่ยง ก็ยังต้องตะโกนเรียกว่าเซียนหมากล้อมครั้งแล้วครั้งเล่า เผยเฉียนจึงคอแหบคอแห้งไปหมด พอคนทั้งสองกลับมาถึงห้องของนาง เผยเฉียนก็ส่งเสียงอ้อแอ้ เพราะนางพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว สุดท้ายจึงได้แต่ยิ้มกว้างพลางยื่นมือออกมา เห็นว่าชุยตงซานไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นางจึงรีบเขียนตัวเลขลงบนโต๊ะ
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ล้อเจ้าเล่นน่ะ เจ้าเชื่อจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนใจสลาย แถมยังพูดอะไรไม่ออก ได้แต่กางเล็บแสยะเขี้ยว
ชุยตงซานหรี่ตาลง ยื่นมือมาจิ้มดวงตาคู่นั้นของเผยเฉียน “หากยังพูดมากอีก เจ้าจะไม่เพียงแต่กลายเป็นคนใบ้น้อย ยังจะกลายเป็นคนตาบอดด้วย ต่อให้เฉินผิงอันจะโมโหแค่ไหนก็คงไม่ถึงขั้นฆ่าลูกศิษย์อย่างข้าตายหรอกกระมัง แต่เจ้าช่างน่าเวทนานัก กลายเป็นคนตาบอด ชีวิตนี้ยังจะมีความหวังอะไรอีก ว่าไหมล่ะ?”
ชุยตงซานลุกขึ้นยืนแล้วแสร้งทำเป็นคนตาบอดที่ยื่นมือออกมาคลำสะเปะสะปะไปทั่ว
เผยเฉียนหน้าดำ เม้มปากแน่น แต่กลับไม่กล้ายกไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาฟาดเจ้าคนสารเลวผู้นี้ นางยิ่งคิดยิ่งสิ้นหวัง สีหน้าจึงแข็งทื่อ นั่งแปะลงบนขอบเตียง หมดอาลัยตายอยาก น้ำตาพรั่งพรูดั่งสายฝน
ชุยตงซานพลันหยิบวัตถุลักษณะคล้ายก้อนเงินก้อนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อโยนให้เผยเฉียนเบาๆ “เห็นว่าเจ้ารู้กาลเทศะ จะให้เจ้ายืมเล่นสองสามวัน หากข้าเรียนหมากล้อมได้ราบรื่น ไม่แน่ว่าอารมณ์ดีก็จะยกมันให้เจ้า แต่ตอนที่ข้าเล่นหมากล้อมกับหลูป๋ายเซี่ยง จำไว้ว่าต้องเอามาคืนให้ข้าก่อน”
เผยเฉียนใช้สองมือประคองก้อนเงินหนักอึ้ง พลันคลี่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา
ชุยตงซานจากไปอีกครั้ง
—–