กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 397.3 ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำช้อนดวงจันทร์
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ประดุจคลื่นใต้น้ำทางฝั่งของเจียงเม่าแล้ว
ในศาลาลมแห่งหนึ่งที่มีต้นไผ่สีเขียวล้อมรอบของคฤหาสน์หลบร้อนกลับมีความปรองดองและบรรยากาศของการเฉลิมฉลองมากกว่า
เจียงอวิ้นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เคยได้โซ่เหล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูไปครอง อาศัยอยู่สุดปลายตรอกเล็กของท่าเรือหางผึ้งกำลังพูดคุยกับพี่สาวที่แต่งงานไปอยู่นครมังกรเฒ่า
เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่นั่งอยู่ด้านหลัง กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทที่มีสีหน้าซีดเซียวอยู่เช่นกัน
เจียงอวิ้นมองใบหน้าของพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หญิงสาวเลิกคิ้วขึ้นสูง “ทำไม ตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์งั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่าแบบนี้งดงามมาก”
เจียงอวิ้นยิ้มกล่าว “ท่านพี่ ข้าขอพูดตามมโนธรรมในใจสักคำ รูปโฉมของท่านในเวลานี้ไม่ใกล้เคียงกับคำว่างดงามเลย”
สตรีร่างอ้วนฉุมองค้อน “ข้าล่ะอยากจะเห็นนักว่าในอนาคตเจ้าจะแต่งเทพธิดาคนใดมา ถึงเวลานั้นข้าจะช่วยดูให้เอง เจ้าจะได้ไม่ต้องถูกปีศาจจิ้งจอกสาวล่อลวง”
เจียงอวิ้นพนมมือ พูดวิงวอน “อย่านะ ข้ากลัวนิสัยของท่านพี่ แค่ประโยคสองประโยคของท่านก็คงทำให้ภรรยาข้าในอนาคตตกใจกลัวจนหนีไปเลย”
หญิงสาวกำลังจะบ่นต่อ เจียงอวิ้นกลับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอย่างรู้กาลเทศะ “ท่านพี่ ฝูหนันหัวเป็นคนอย่างไร?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ก็เป็นแบบนั้นแหละ ดีมากแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องสนใจใคร เคารพกันดุจแขกผู้มาเยือน ดีจะตายไป”
เจียงอวิ้นหัวเราะเสียงดัง “ถ้าอย่างนั้นหากมีโอกาสข้าคงต้องไปดื่มเหล้ากับพี่เขยที่น่าสงสารคนนี้ ระบายความทุกข์ให้กันฟังสักหน่อย พูดคุยกันหลายวันหลายคืน ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเพื่อนกันได้”
สตรีที่เป็นบุตรสาวสายตรงสกุลเจียงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าอยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ”
นางนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ของเจ้าไปตามหาสมบัติกับเพื่อนสนิท ได้มาหรือยัง? หากได้มาแล้ว ข้าจะแอบไปที่ท่าเรือหางผึ้งกับเจ้าสักรอบ ร่างทองแก้วใสหลังจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานมอดม้วยมรรคาดับสลาย ข้ายังไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อนเลย ที่บ้านมีอยู่ชิ้นหนึ่งก็จริง แต่ท่านบรรพบุรุษเก็บซ่อนไว้มิดชิดนัก หลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็ยังหาไม่เจอสักที”
นางพูดเบาๆ ว่า “หากเจ้าให้ข้าได้เห็นของสิ่งนั้น พี่สาวจะมอบของขวัญชิ้นหนึ่งที่พิเศษมากให้เจ้า รับรองว่าจะทำให้เจ้าตกเป็นที่อิจฉาของผู้ฝึกตนหนุ่มทั้งทวีป”
เจียงอวิ้นโบกมือ “ช่างเถิด อาจารย์ของข้าก็นิสัยเจ้าอารมณ์หมือนกัน เกี่ยวพันกับเรื่องใหญ่อย่างเศษชิ้นส่วนของร่างทองแก้วใสนี้ หากข้ากล้าทำอะไรโดยพลการ ต่อให้เวลาปกติเขาพูดง่ายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คงต้องถลกหนังข้าออกสักชั้นให้จงได้ ไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ นะ ปีนั้นอาจารย์ก็บอกแล้วว่าหากข้าไม่ไปถ้ำสวรรค์หลีจูก็ต้องไปฝึกประสบการณ์ที่พื้นที่มงคลของสำนักโองการเทพ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าพอข้ากลับมา อาจารย์ก็เริ่มกลับคำ บอกว่าการฝึกประสบการณ์ในพื้นที่มงคลก็จำเป็นเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็ไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูมาแล้ว เรื่องดีมาเป็นคู่ไงล่ะ ฉวยโอกาสที่สองปีนี้ยังโชคดีอยู่ ได้ของดีมาจากถ้ำสวรรค์แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้ภรรยาที่งดงามฉลาดเฉลียวมาจากพื้นที่มงคลอีกคน…”
เจียงอวิ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าวอย่างจนใจว่า “มาเจอกับอาจารย์ที่ช่างเล่นแง่แบบนี้ก็ไม่อาจพูดคุยกันด้วยเหตุผลได้เลย”
หญิงสาวหลุดหัวเราะพรืด “สมกับคำว่าอยู่ท่ามกลางโชคดีแต่สัมผัสโชคดีไม่ได้จริงๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป มีสักกี่คนที่สามารถอาศัยสถานะผู้ฝึกตนอิสระเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนได้? และจะมีสักกี่คนที่ทำให้คนที่สายตาสูงมองไม่เห็นหัวใครอย่างหลี่ถวนจิ่งเคารพนับถือได้? จะมีสักกี่คนที่สามารถเป็นสหายร่วมทุกข์กับหัวหน้าพรรคผู้เฒ่าที่มีนิสัยประหลาดผู้นั้น? เจ้าน่ะหัดรู้จักพอเสียบ้าง มีเวลาว่างก็รีบกลับตระกูลไปจุดธูปกราบไหว้เหล่าบรรพบุรุษหลายๆ ดอก ขอบคุณบรรพบุรุษที่ช่วยสั่งสมบุญกุศลไว้ให้ดีๆ”
เจียงอวิ้นส่ายหน้าพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้ากลับไปเลย ไม่มีความสนใจจริงๆ”
หญิงสาวถอนหายใจหนึ่งที ยื่นมือมาดีดหน้าผากเจียงอวิ้น “ตั้งแต่เล็กจนโตก็ดื้อแบบนี้ ตอนนี้เป็นเทพเซียนบนภูเขาแล้วก็ยังไม่ปล่อยวางเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีตนั่นอีกหรือ?”
เจียงอวิ้นไม่พูดตอบโต้
เขามองหมัวมัวผู้อบรมมารยาทผู้นั้นแวบหนึ่ง หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ บอกเป็นนัยแก่เจียงอวิ้นว่าอย่าถาม
ระหว่างที่คนทั้งสองเงียบงันกันไปนั้น ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงก็กำลังพูดคุยกับหมัวมัวผู้อบรมมารยาทถึงถ้ำสวรรค์จู๋ไห่และเจ้าแม่ชิงเสินผู้นั้นพอดี
เหวยเลี่ยงกวาดตามองไปรอบด้าน ในสายตาเห็นแต่ต้นไผ่สูงเพรียวเขียวขจี ยิ้มพูดทีเล่นทีจริงว่า “บัณฑิต นักปราชญ์และวิญญูชนต่างก็ชอบไผ่เขียว ข้าล่ะอยากจะโค่นไผ่ชั่วช้าสักพันสักหมื่นต้นจริงๆ”
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงพูดสัพยอก “ท่านเหวย หากท่านมัวมาโค่นไม้ไผ่ของที่นี่ ทิ้งบรรพจารย์ท่านนั้นของพวกเราที่อยากขอความรู้จากท่านมาโดยตลอดไว้เพียงลำพังคนเดียว คงไม่ดีกระมัง?”
เหวยเลี่ยงยิ้มกล่าว “หากข้านั่งอยู่ตรงนั้นจะเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย เกินสถานะของขุนนางไปบ้าง”
นางกำลังจะพูดเหน็บแนมเขาสักสองคำ
เหวยเลี่ยงกลับยิ้มตาหยีชิงพูดก่อนว่า “เจ้าขิงน้อย ตอนเด็กข้าเคยอุ้มเจ้ามาก่อน เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ เพียงแค่ชั่วพริบตา เด็กหญิงผิวดำเกรียมที่อยู่ในห่อผ้าอ้อมก็เติบโตเป็นแม่นางที่แต่งงานกับคนอื่นได้แล้ว”
นางถลึงตามองมาอย่างขุ่นเคือง หยิบขิงชิ้นหนึ่งที่ชอบกินตั้งแต่เด็กออกมายัดใส่ปากเคี้ยวแรงๆ
เหวยเลี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ
เจียงอวิ้นนับถืออีกฝ่ายอย่างสุดจิตสุดใจ
……
ช่วงนี้หลายคนต่างพากันไปจากสวนสิงโตที่ตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เมื่อปีศาจที่อาละวาดก่อความวุ่นวายถูกกำจัด คนต่างถิ่นจึงจากไป คนในครอบครัวตัวเองก็จากไปเช่นกัน
หลิ่วชิงหย่าบุตรสาวคนโตที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านเดิมมาเป็นเวลานานรีบร้อนพาสามีจากไปก่อนผู้ใด ถูกงูกัดครั้งหนึ่งก็กลัวเชือกไปสิบปี ครั้งนี้สามีของนางถูกทำให้ตกใจจนน่าเวทนาจริงๆ
หลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์สองท่านที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนสกุลหลิ่วที่พากันจับคู่จากไป
ต่อมาก็เป็นบุตรชายคนรองหลิ่วชิงซานกับนักพรตหญิงหลิ่วป๋อฉี คนทั้งสองเตรียมขี่ม้าออกเดินทางไกล ขึ้นเหนือไปตลอดทาง เพราะจะไปเยือนสำนักศึกษากวานหูก่อน
ตามมาด้วยหลิ่วชิงชิงบุตรสาวคนเล็กที่เดินทางไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งพร้อมกับสาวใช้จ้าวหยา พี่ชายคนโตหลิ่วชิงเฟิงลาหยุดกับทางราชสำนักคุ้มครองพาน้องสาวไปส่งด้วยตัวเอง ตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งนั้นห่างจากเมืองหลวงแคว้นชิงหลวนไม่ใกล้นัก ประมาณหกร้อยกว่าลี้ ตอนที่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วยังรับราชการเคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับคนที่มีอำนาจในสำนักแห่งนั้น ดังนั้นนอกจากจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปกราบไหว้อาจารย์แล้ว ยังเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หลิ่วชิงเฟิงพกไป ความหมายคร่าวๆ ก็คือต่อให้พรสวรรค์ของหลิ่วชิงชิงไม่ดี ไม่เหมาะกับการฝึกตน แต่ก็โปรดรับตัวลูกสาวของเขาไว้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ให้นางได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาสองสามปี
ในความเป็นจริงแล้วต่อให้หลิ่วจิ้งถิงจะไม่ใช่รองเจ้ากรมพิธีการอีกต่อไป แต่ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่บนโลก ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าหลิ่วชิงชิงจะเข้าไปฝึกตนในตระกูลเซียนแห่งใดของแคว้นชิงหลวนก็ล้วนไม่ใช่เรื่องยาก ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องเตรียมจดหมายฉบับนี้เลยด้วยซ้ำ
รถม้าสองคันขับเคลื่อนไปเบื้องหน้าช้าๆ ตลอดทาง รอยยิ้มของหลิ่วชิงชิงเริ่มเพิ่มมากขึ้น สาวใช้จ้าวหยาก็ย่อมอารมณ์ดีตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วหลิ่วชิงเฟิงจะนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า พอถึงจุดพักม้าระหว่างทางถึงจะเชื่อมความสัมพันธ์ พบปะกับคนที่มารอต้อนรับ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเพียงแค่การมีมารยาทที่ไม่ขาดตกบกพร่องของครอบครัวชนชั้นสูงเท่านั้น ขุนนางชั้นผู้น้อยในระดับท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นขุนนางตงฉินหรือกังฉิน ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินแค่ไหน แต่มีใครบ้างที่ไม่ใช่พวกกลิ้งกลอก สายตาเฉียบคม? หลิ่วชิงเฟิงคือขุนนางที่เป็นดั่งบิดาของชาวบ้าน สามารถมองออกในปราดเดียวว่าพวกเขาเกรงใจตนตามมารยาทหรือปฏิบัติต่อตนด้วยความจริงใจ ดังนั้นหลิ่วชิงเฟิงจึงไม่วางตัวเหมือนบุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิงผู้นำแห่งวงการนักประพันธ์ของแคว้นชิงหลวน ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมอบความประทับใจที่ไม่เลวให้ จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่จุดพักม้าแต่ละแห่งให้ความสนใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เดิมทีหลิ่วชิงชิงก็เป็นสตรี อีกทั้งยังอายุไม่มาก ดังนั้นจึงมองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในการกระทำของหลิ่วชิงเฟิงผู้เป็นพี่ชายไม่ออก ทว่าจ้าวหยาที่เป็นคนละเอียดอ่อนกลับทอดถอนใจด้วยความชื่นชม มักรู้สึกว่าคุณชายใหญ่ตอนที่อยู่ในสวนสิงโตกับนายอำเภอหลิ่วที่เดินออกมาจากสวนสิงโตคือคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อไปถึงสำนักตระกูลเซียนที่ยอดเขาเขียวขจีสลับสล้างแห่งนั้น การกราบเซียนเป็นอาจารย์ของหลิ่วชิงชิงก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
หลังจากจัดการธุระของหลิ่วชิงชิงจนเข้าที่เข้าทางแล้ว หลิ่วชิงเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนลงจากภูเขาไปทันที แต่ถูกคนพาไปเยือนหอสูงชมทัศนียภาพที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง พอขึ้นหอเรือนมาแล้วก็มองเห็นผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวที่กำลังยืนพิงราวระเบียงชมทิวทัศน์กับคุณชายหน้าตาหล่อเหลาบุคลิกสง่างาม
หลิ่วชิงเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ เก็บอารมณ์ที่ซับซ้อนทั้งหลายลงไป ประสานมือคารวะ “หลิ่วชิงเฟิงคารวะราชครูชุย”
ชุยฉานราชครูต้าหลี
เขาถึงขั้นมาเยือนแคว้นชิงหลวนด้วยตัวเอง
ชุยฉานยิ้มพลางยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่าเป็นการบอกแก่หลิ่วชิงเฟิงว่าไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ จากนั้นก็ชี้ไปยังคนข้างกาย “หลี่เป่าเจิน คนจากเขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้กุมอำนาจหลักทั้งหมดของศาลาคลื่นมรกตต้าหลีที่อยู่ในแถบทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป วันหน้าพวกเจ้าจะต้องไปมาหาสู่กันเป็นประจำ”
คนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นประสานมือคารวะหลิ่วชิงเฟิง “คารวะท่านหลิ่ว”
หลิ่วชิงเฟิงได้แต่คารวะกลับคืน
หลี่เป่าเจินพูดภาษาทางการแคว้นชิงหลวนด้วยสำเนียงถูกต้องแม่นยำ “ท่านหลิ่ว เดินทางลงใต้มาเยือนแคว้นชิงหลวนครั้งนี้ทำให้ข้าได้เปิดโลกทัศน์อย่างยิ่ง ยอดบุคคลมีให้เห็นมากมาย ลำพังเพียงแค่นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้น แม้ตบะต่ำต้อย แต่ก็กล้ารวบรวมหลักการเหตุผล คิดจะช่วงชิงความลับสวรรค์ แล้วเขาก็สามารถข้ามด่านปราการธรรมชาติที่แม้แต่เซียนดินก่อกำเนิดก็ยังข้ามไปได้ยากยิ่งไปได้จริงๆ เพียงแต่ว่าสะดุดตาเกินไป จะเป็นโชคหรือภัย คาดว่าคงต้องดูที่ความต้องการของสกุลเจียงอวิ๋นหลินแล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงหัวเราะ แต่ไม่ได้ส่งเสียง
คิดจะวางอำนาจแสดงบารมี?
สมกับเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนซะจริง
หลี่เป่าเจินรอฟังคำพูดของอีกฝ่าย เห็นว่าหลิ่วชิงเฟิงเงียบงันไม่ต่อคำสักทีก็หัวเราะเช่นกัน
ชุยฉานมองหลิ่วชิงเฟิงแวบหนึ่ง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หลิ่วชิงเฟิง วันหน้าเรื่องใหญ่ของสามแคว้นอย่างชิงหลวน ชิ่งซานและอวิ๋นเซียว ไม่ต้องให้พวกเจ้าสองคนเหน็ดเหนื่อยแล้ว ส่วนเรื่องเล็กๆ เจ้าต้องเรียนรู้จากหลี่เป่าเจินให้มาก”
หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้ารับ
หลี่เป่าเจินมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ คลี่ยิ้มน้อยๆ โค้งตัวลงต่ำคำนับอีกฝ่าย “รบกวนท่านหลิ่วแล้ว”
……
ศาลพ่อปู่ลำคลองที่เฉินผิงอันเคยเขียนตัวอักษรไว้บนผนัง
ช่วงนี้มีผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ อีกทั้งยังมาพักอยู่ในศาลอีกด้วย
คนสองคนกับวัวสีเหลืองหนึ่งตัว
นี่ทำให้คนเฝ้าศาลรับเงินค่าธูปมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เด็กหนุ่มชุดขาวชายแขนเสื้อพลิ้วไสวซึ่งมีใฝแดงกลางหว่างคิ้วชอบเดินไปตามระเบียงชมศิลาหินที่สลักถ้อยคำ
เขาก็คือชุยตงซานที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยังอยู่ในแคว้นชิงหลวน
คืนนี้พระจันทร์กลมโตลอยอยู่กลางอากาศ ชุยตงซานขอตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งมาจากทางศาลเจ้า เขาเอาไปตักน้ำในลำคลองกลับมาหนึ่งตะกร้า ไม่มีน้ำหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่จุดที่ลี้ลับยิ่งไปกว่านั้นก็คือในตะกร้าไม้ไผ่ยังมีดวงจันทร์กลมดิกสาดสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ แกว่งส่ายไปตามน้ำในตะกร้า ต่อให้เดินเข้ามาในระเบียงที่มืดสลัวแล้ว ดวงจันทร์ในน้ำก็ยังคงส่องแสงงดงามชวนมอง
ชุยตงซานเดินมาถึงระเบียงจุดหนึ่ง เขานั่งลงบนราวระเบียง วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ข้างกาย เงยหน้ามองดวงจันทร์
มีเพียงน้ำในตะกร้าไม้ไผ่และดวงจันทร์ในน้ำที่อยู่เคียงข้างเขา
ความคิดของชุยตงซานล่องลอยไปไกล
พระพุทธเจ้ากลัดกลุ้มกับความทุกข์ของปวงประชา ความรู้ของลัทธิขงจื๊อที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์เป็นกังวล ถึงท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพียงแค่ความรู้ของพวกคนที่ท้องไม่หิวเท่านั้น
ส่วนมรรคาจารย์เต๋า
ว่ากันว่ากำลังพิศมองคนคนหนึ่ง
หวังจูที่ถูกกักขังอยู่ใต้บ่ออาจเป็นคนหนึ่งนั้น ผู้เฒ่าในร้านยาตระกูลหยางก็อาจเป็นคนหนึ่งนั้น
หรือว่าในสายตาของมรรคาจารย์เต๋าที่มรรคกถาสูงส่งจนไร้ขอบเขตสิ้นสุด ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นคนหนึ่งนั้น?
ชุยตงซานขยี้ซีกแก้ม หยิบม้วนภาพสองม้วนที่แกนทำมาจากไม้พุทราธรรมดาออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ คลี่ม้วนภาพทั้งสองออก ให้มันลอยกลางอากาศอยู่ตรงหน้าเขา
บนม้วนภาพหนึ่ง
เป็นภาพของซิ่วไฉเฒ่าที่สวมอาภรณ์เก่าซีดนั่งอยู่ตรงกลางม้านั่งตัวยาว ชุยฉานในวัยยี่สิบปีนั่งอยู่ด้านหนึ่ง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ม้านั่งยาวหนึ่งตัวมีคนนั่งอยู่ถึงสี่คน ค่อนข้างเบียดเสียดเล็กน้อย
มีศีรษะหนึ่งโผล่เข้ามาในม้วนภาพที่เดิมทีควรมีแค่พวกเขาอาจารย์และศิษย์สี่คนเท่านั้น คนผู้นั้นเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง แถมยังชูนิ้วสองนิ้ว
อีกมุมหนึ่งของภาพมีเงาร่างกำยำล่ำสันของคนผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ในมุม หันหลังให้กับทุกคน
ภาพที่สอง
เจ้าคนที่ยื่นหัวออกมาในภาพแรกยืนอยู่ใจกลางภาพวาดอย่างเปิดเผย กางแขนทั้งสองออกกว้าง เด็กหนุ่มจั่วโย่วและเด็กหนุ่มฉีจิ้งชุนใช้สองมือกอดแขนของบุรุษผู้นั้น หัวเข่างอเก็บขา ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มทั้งสองยิ้มกว้างอย่างเบิกบาน
บัณฑิตหนุ่มชุยฉานยืนอยู่ด้านหลังคนผู้นั้น รอยยิ้มค่อนข้างมีเลศนัย เพียงแต่ว่าก็เป็นรอยยิ้มที่จริงใจอย่างมาก
……
ชุยตงซานคิดว่าเมื่อไหร่ที่เขา เฉินผิงอันและนังหนูน้อยตัวดำผู้นั้นจะมีภาพวาดแบบนี้ด้วยกันสักภาพบ้างนะ?
—–