กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 399.2 เรื่องที่ไม่กลัวที่สุดในใต้หล้านี้
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าคิดจะลุกขึ้นยืน
รุ้งสีขาวเส้นหนึ่งปรากฏวูบขึ้นบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน รุ้งเส้นนั้นวาดตัวเป็นเส้นโค้งพุ่งออกไปอย่างว่องไวแล้วแทงทะลุผนังห้องโดยสารรถม้ามาอย่างไม่มีอะไรหยุดยั้ง มาหยุดลอยนิ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงคลี่ยิ้มแล้วนั่งกลับลงไปที่เดิม
มือข้างหนึ่งของหลี่เป่าเจินที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อเพิ่งจะเริ่มขยับ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็เปล่งวาบ แทงทะลุชายแขนเสื้อของเขาเข้ามา จากนั้นก็นำพายันต์แผ่นหนึ่งไปปักตรึงอยู่บนผนังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
ยันต์แผ่นนั้นเป็นสีทอง ลักษณะแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือด้านหลังก็ล้วนเขียนอักขระไว้ด้วยสีชาด ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ตรงใจกลางของยันต์ทั้งด้านหน้าและด้านหลังต่างก็วาดเป็นองค์เทพสวมเกราะสีขาวและเกราะสีดำ
คือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่หายสาบสูญไปนานแล้วในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
หลี่เป่าเจินถอนหายใจ พูดกับสารถีเฒ่าว่า “หยุดเถอะ ไม่ต้องสู้แล้ว ข้าหลี่เป่าเจินจะอยู่เฉยๆ รอความตายก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนพูดอย่างรีบร้อน “อย่านะ พี่ชาย พวกเราสู้กันของพวกเราไป ไม่ส่งผลกระทบกับธุระของนายน้อยข้าและเจ้านายของเจ้าหรอก”
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับแล้วพุ่งตัวไปทางจูเหลี่ยน
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างรถม้า หลี่เป่าเจินนั่งอยู่บนรถตั้งท่ายื่นคอรอให้ตัด
เฉินผิงอันกลับมองไปทางผ้าม่านรถม้า “เดิมทีนึกว่าเป็นประโยคตระกูลผู้สูงส่ง มิกลัวภูตผีทำร้ายที่เอ่ยถึงบนตำรา ที่แท้ก็เป็นอีกประโยคหนึ่งในตำรานี่เอง”
หลิ่วชิงเฟิงที่อยู่ในห้องโดยสารกล่าว “โชคและหายนะไร้ประตู มีแต่คนไปเรียกหามาเอง?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
หลักการน้อยใหญ่ อันที่จริงบัณฑิตล้วนเข้าใจ
โดยเฉพาะบัณฑิตที่มีความรู้เต็มท้องมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูงที่ผ่านการฝึกประสบการณ์จากวงการขุนนางอย่างหลิ่วชิงเฟิงผู้นี้
อันที่จริงวีรบุรุษผู้กล้าในยุทธภพอย่างพวกจู๋เฟิ่งเซียนกลับทำให้คนรอบข้างมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งง่ายกว่า
ความเป็นความตาย เกียรติยศและอัปยศล้วนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาอยู่เสมอ
หลี่เป่าเจินมองเฉินผิงอัน
เขานั่ง เฉินผิงอันยืน คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
หลี่เป่าเจินถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ไม่ว่าเจ้าจะตามหาข้าเจอได้อย่างไร แต่คืนนี้หลังจากฆ่าข้าแล้ว วันหน้าเจ้าจะกลับต้าหลีอย่างไร ไม่ต้องการบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงเขตการปกครองหลงเฉวียนนั่นแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันมองลูกหลานสกุลหลี่แห่งถนนฝูลวี่ที่แม้คนทั้งสองจะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน แต่กลับคิดอยากจะให้เขาเฉินผิงอันตายท่าเดียว
เป็นคนครอบครัวเดียวกัน เหตุใดนิสัยถึงได้แตกต่างจากหลี่ซีเซิ่งและหลี่เป่าผิงราวฟ้ากับเหวเช่นนี้
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูดอะไร หลี่เป่าเจินก็ยิ้มพูดว่า “ข้าเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง ไม่อาจต้านรับหมัดของเจ้าได้ สมกับคำว่าลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผันจริงๆ นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง หมุนเปลี่ยนเร็วไปหน่อยไหม หากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นข้าก็น่าจะหาทางผูกใจจูเหอไปพร้อมกันด้วย จะได้ไม่เพียงแต่ระหกระเหินออกจากบ้านเกิด แล้วยังต้องมาตายอยู่ในต่างแดนด้วยเช่นนี้”
หนึ่งหมัดปล่อยไป
หลี่เป่าเจินยกสองมือกุมท้อง ร่างค้อมงอ เกือบจะกระอักเอาน้ำดีออกมา
หมัดนี้เฉินผิงอันใช้แค่ตบะของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองเท่านั้น
เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าจอนผมของหลี่เป่าเจินแล้วกระชากลงมาจากรถ เหวี่ยงร่างอีกฝ่ายทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ หลี่เป่าเจินกลิ้งหลุนๆ อยู่บนเส้นทางดินเหลือง สุดท้ายคนผู้นี้กางแขนกางขาอ้าออก ใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือเจ็บแค้นอะไร เป็นเพียงแค่สัญชาตญาณของร่างกายที่รู้สึกเจ็บปวดล้วนๆ แล้วหลี่เป่าเจินก็หัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าข้าหลี่เป่าเจินก็จะมีวันนี้ด้วย หลิ่วชิงเฟิง จำไว้ว่าช่วยเก็บศพข้าส่งกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีด้วย!”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งยอง
หลี่เป่าเจินมองสบตากับเขา
มองเห็นดวงตาคู่หนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งแปลกหน้า
สายตาเช่นนี้ไม่เหมือนกับสายตาดั่งหุบเหวลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งของราชครูชุยฉาน หลี่เป่าเจินรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมองไม่เห็นก้นบึ้งที่ว่านั่น ไม่อย่างนั้นตนก็คงกลายเป็นศพศพหนึ่งไปแล้ว เพราะผู้ที่มองเห็นปลาในหุบเหวลึกย่อมเป็นลางร้าย ตอนนี้เขาอยู่ไกลเกินกว่าจะมีคุณสมบัติไปลอบมองความคิดในส่วนลึกของจิตใจซิ่วหู่ผู้นั้น
แต่สายตาของเฉินผิงอันในเวลานี้มีจุดหนึ่งที่เหมือนกับราชครูต้าหลี ซึ่งมอบความทรงจำที่ลึกล้ำให้แก่หลี่เป่าเจิน
ราวกับว่าในหุบเหวลึกและด้านใต้บ่อโบราณล้วนมีเจียวร้ายตัวหนึ่งที่ว่ายวนอยากจะชูหัวเงยคอขึ้นมา
ทันใดนั้นในดวงตาของหลี่เป่าเจินพลันเต็มไปด้วยความสาแก่ใจ พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน ข้าจะรอวันที่เจ้ากลายมาเป็นคนอย่างข้า ข้ารอคอยวันนั้นอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหยิบดินจากบนพื้นมากำหนึ่ง แบฝ่ามือเป็นสันมีดสับลงบนลูกกระเดือกของหลี่เป่าเจิน วินาทีที่ฝ่ายหลังอ้าปากอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้ก็ยัดดินเข้าไปในปากอีกฝ่าย จากนั้นก็ใช้มือปิดปากหลี่เป่าเจินเอาไว้ ถามว่า “อร่อยหรือไม่?”
หลี่เป่าเจินดิ้นรนมือเท้าปัดป่าย ใบหน้าแดงก่ำ
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “พูดว่าอะไรนะ? ข้าไม่ได้ยิน ไม่อย่างนั้นเจ้าพูดให้ดังๆ หน่อยดีไหม”
หลี่เป่าเจินพลันหยุดดิ้นรน ค่อยๆ กลืนดินกำใหญ่ลงคอไปเอง ดวงตาจ้องมองใบหน้าเฉยเมยของชายหนุ่มผู้นั้นเขม็ง
เฉินผิงอันยกฝ่ามือขึ้น ใบหน้าของหลี่เป่าเจินบิดเบี้ยว พูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “รสชาติไม่เลว!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “ตอนนี้คิดจะกินอาจมคงไม่ง่าย แต่กินดินจะไปยากอะไร”
เหมือนก่อนหน้านี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หลังจากหลี่เป่าเจินกินดินกำใหญ่ไปแล้วก็ถูกเฉินผิงอันเอามืออุดปากอีกครั้ง คราวนี้เฉินผิงอันเพิ่มแรงมากขึ้น ท้ายทอยของหลี่เป่าเจินเริ่มจมลงไปในดินทีละนิด
หลังจากที่เฉินผิงอันปล่อยมือแล้ว หน้าอกของหลี่เป่าเจินก็สะท้อนขึ้นลง หายใจยากลำบากอย่างถึงที่สุด จากนั้นก็เริ่มไอสำลักอย่างรุนแรง ดินจำนวนมากกระเด็นออกมาจากปาก
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้น โบกชายแขนเสื้อเบาๆ สลัดเศษดินที่กระเด็นมาโดนตัวเขาทิ้ง
ขณะเดียวกันหลี่เป่าเจินก็ร้องโหยหวนไปด้วย
มือซ้ายของเฉินผิงอันกุมมือซ้ายของหลี่เป่าเจินแน่น เสียงกร๊อบดังลั่น มือที่แอบกำเป็นหมัดของหลี่เป่าเจินแบออก เผยให้เห็นหยกพกที่เขาแอบกระชากมาจากเอว
นั่นคือหยกมันแพะงดงามที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งสลักอักษรโบราณสองคำว่า ‘วังมังกร’ เดิมทีไม่สะดุดตานัก เพียงแต่ว่าเวลานี้มันเปลี่ยนมาเป็นสีใสแวววาว ด้านในก็ยิ่งมีประกายแสงเล็กบางเหมือนเส้นผมไหลเวียนอย่างรวดเร็ว
หลังจากเฉินผิงอันบีบกระดูกข้อมือของหลี่เป่าเจินให้แตกแล้ว แขนข้างนั้นทั้งแขนของหลี่เป่าเจินก็ได้แต่ทิ้งตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้น หยกที่อีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะสามารถเปิดใช้เวทคาถาได้สำเร็จถูกเฉินผิงอันกุมไว้ในฝ่ามือ “ขอบใจนะ”
กระบี่บินชูอีสืออู่พากันย้อนกลับมาจากหว่างคิ้วของหลิ่วชิงเฟิงและผนังรถด้านนอก ยันต์ล้ำค่าแผ่นนั้นที่คนอื่นๆ บนโลกอาจจะมองที่มาของมันไม่ออก แต่เฉินผิงอันกลับจำได้เพียงแค่มองปราดเดียวถูกเขาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่นพร้อมกับหยก ‘วังมังกร’
ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนี้ก็คือยันต์ประเภทที่มีระดับขั้นสูงมาก มีบันทึกไว้อย่างละเอียดในหน้าที่สามหากนับย้อนมาจากด้านหลังของหนังสือ
มือขวาของหลี่เป่าเจินกุมข้อมือข้างซ้าย คลี่ยิ้มซีดเซียว “เจ้าช่างร้ายกาจนัก กลัวเจ้าแล้ว”
ของสองชิ้นนี้ หยกประดับวังมังกรคือหนึ่งในยันต์คุ้มกันกายที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของสกุลหลี่ ส่วนยันต์แผ่นนั้นก็ยิ่งเป็นของขวัญก่อนจากลาที่หลี่ซีเซิ่งผู้เป็นพี่ชายมอบให้
ประเด็นสำคัญคือวัตถุตระกูลเซียนที่มีมูลค่าควรเมืองทั้งสองชิ้นนี้จำเป็นต้องให้เจ้าของอย่างเขาหลี่เป่าเจิน ‘เปิดประตู’ ด้วยตัวเองเสียก่อน คนนอกถึงจะสามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้ ไม่อย่างนั้นหากเป็นผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดิน ใครได้ไปก็ล้วนเป็นของตายที่ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว
เฉินผิงอันเตะเข้าที่ชายโครงของหลี่เป่าเจินหนึ่งที ฝ่ายหลังกระเด็นหวือผ่านต้นกกต้นอ้อ ร่วงตูมลงไปในทะเลสาบ
บาดเจ็บไปถึงกระดูกเส้นเอ็นและชีพจร ต้องพักฟื้นอยู่นิ่งๆ หนึ่งร้อยวัน
หลิ่วชิงเฟิงลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องโดยสารรถม้า กระโดดลงจากรถ “ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ก็ยังต้องขอบคุณคุณชายเฉินที่ไม่ฆ่าหลี่เป่าเจิน”
เฉินผิงอันถาม “ทางสวนสิงโตจะทำอย่างไร หลิ่วชิงซานจะทำอย่างไร?”
หลิ่วชิงเฟิงกล่าว “ข้าได้หาทางถอยไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว”
สีหน้าของเฉินผิงอันเหนื่อยล้าเล็กน้อย เดิมทีไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความกับบุตรชายคนโตของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วคนนี้ เพียงแต่ว่าพอคิดถึงบัณฑิตหนุ่มขาพิการคนนั้นก็อดถามไม่ได้ว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการน่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี และเจ้าหลิ่วชิงเฟิงก็น่าจะยิ่งรู้ตัวดีว่า วันนี้ได้เปลี่ยนไปเดินเส้นทางอื่นแล้ว แต่เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเดินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จะไม่เดินออกห่างจากผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการไปไกลขึ้นทุกที?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มขื่น ทอดสายตามองไปไกล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ก็ได้แต่ต้องลองเดินไปดู ไม่อย่างนั้นแคว้นชิงหลวนของพวกเรา นับตั้งแต่ฮ่องเต้ไปจนถึงบัณฑิตและปัญญาชน แล้วก็ไปถึงชาวบ้านชาวเมือง เพียงไม่นานกระดูกสันหลังของทุกคนจะถูกคนอื่นตีจนแหลก ถึงเวลานั้นแม้แต่เดินพวกเราก็เดินไม่ได้ ดื่มยาพิษดับกระหาย ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องร้าย แต่หากกระหายจนใกล้จะตายจริงๆ ใครบ้างจะไม่ลองดื่ม? ก็เหมือนกับตอนที่อยู่ในศาลบรรพชนสวนสิงโต เจ้าแม่ต้นหลิ่วที่ข้าไม่ชอบอย่างมากผู้นั้นยุยงให้บิดาของข้าลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากข้าเป็นเพียงแค่คนในสถานการณ์ก็คงไม่สามารถหยัดยืนออกมาแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยวในการรักษาขนบธรรมเนียมประจำสกุลหลิ่วได้อย่างหลิ่วชิงซาน และหลังจากข้าหลิ่วชิงเฟิงชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วก็มีแต่ต้องทำผิดต่อเจตนาเดิมของตัวเองเท่านั้น”
หลิ่วชิงเฟิงดึงสายตากลับคืนมา ยิ้มกล่าวว่า “โชคดีที่เรื่องราวไม่ได้ถึงขั้นที่เลวร้ายที่สุด ทุกบ้านล้วนมีตำราที่อ่านยาก ข้าที่เป็นพี่ชายจึงได้แต่เป็นคนอ่านตำราที่อ่านยากเล่มนั้น ส่วนตำราที่อ่านง่ายก็ให้น้องชายข้าเป็นคนอ่านไป”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปยังทิศทางที่หลี่เป่าเจินตกน้ำ “เจ้าแข็งแกร่งกว่าไอ้หมอนี่ไม่น้อย”
เฉินผิงอันมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงพงต้นกกต้นอ้อห่างไปไกล ตะโกนเรียก “กลับมา”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หันมาพูดกับหลิ่วชิงเฟิง “พวกเจ้าไปช่วยคนได้แล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงถาม “ทำไมถึงไม่ฆ่าหลี่เป่าเจินไปตรงๆ เลยล่ะ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้าเคยรับปากกับคนผู้หนึ่งว่าจะยอมปล่อยหลี่เป่าเจินไปสักครั้ง”
จูเหลี่ยนพุ่งวูบมาถึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดาย เช็ดคราบเลือดบนใบหน้าทิ้ง เมื่อครู่นี้ตนกำลังมือขึ้น อันดับต่อไปก็น่าจะเป็นคราวที่สารถีเฒ่ากระดูกอ่อนนอนพังพาบ หลังจากฮึกเหิมสุดๆ ก็เสียใจอย่างสุดแสนแล้ว
เพียงแต่เห็นท่าทางไม่อยากจะพูดคุยของเฉินผิงอัน จูเหลี่ยนจึงไม่ได้พูดล้อเล่นอะไร เพียงแค่เดินตามไปเงียบๆ
หลิ่วชิงเฟิงพลันพูดขึ้นกับแผ่นหลังของเฉินผิงอัน “คุณชายเฉิน หลังจากนี้ทางที่ดีที่สุดอย่ารอคอยโอกาสอยู่แถวเมืองหลวงอีกเลย เจ้าจะได้ทั้งรักษาสัญญา แล้วก็ได้ทั้งพบกับหลี่เป่าเจินใหม่อีกครั้ง”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา ยิ้มถาม “ทำไม?”
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า ไม่ได้เปิดเผยอะไรไปมากกว่านั้น
ราชวงศ์ต้าหลีจะส่งคนมาอีกสองคนเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามของเขาหลิ่วชิงเฟิงกับหลี่เป่าเจิน ว่ากันว่าคนหนึ่งในนั้นเคยเป็นอดีตเสาหลักสำคัญบนสมรภูมิรบของราชวงศ์สกุลหลู
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด จุดที่ร้ายกาจถึงชีวิตอย่างแท้จริงก็คือ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าตอนนี้ราชครูชุยฉานต้าหลียังคงอยู่ในแคว้นชิงหลวน
พวกเฉินผิงอันเดินพ้นไปจากการมองเห็น
สารถีเฒ่าช่วยหลี่เป่าเจินที่ลมหายใจรวยรินขึ้นมาจากน้ำ ก่อนจะลงมือเบาๆ ช่วยให้หลี่เป่าเจินรีบคายน้ำเสียที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ หลี่เป่าเจินถึงจะคืนสติ
ไปเดินวนรอบประตูผีมาหนึ่งรอบ เขาที่นั่งอยู่บนถนนจึงมีสีหน้าเหม่อลอย
สารถีเฒ่ายืนอยู่ข้างกายหลี่เป่าเจิน หันหน้าไปมองหลิ่วชิงเฟิง
หลิ่วชิงเฟิงยิ้มส่ายหน้า
ดังนั้นหลี่เป่าเจินจึงได้ไปเดินวนรอบประตูมาอีกรอบ
คนสองคนที่อยู่ด้านหลังหลี่เป่าเจินแลกเปลี่ยนสายตากัน แต่คุณชายที่คืนนี้มีสภาพน่าอเนจอนาถอย่างถึงที่สุดกลับยกมือตบหน้าตัวเองแรงๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงหันหน้ามายิ้มพูดว่า “ดูท่าท่านหลิ่วยังค่อนข้างให้ความสำคัญกับความคิดของใต้เท้าราชครูอยู่มากเลยนี่นา”
หลิ่วชิงเฟิงทรุดตัวลงนั่งยอง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่มาแคว้นชิงหลวนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะดีไปกว่าเจ้า”
หลี่เป่าเจินแสร้งทำเป็นเรอ “ทั้งกินดินทั้งกินน้ำ อิ่มไม่น้อย น้ำในยุทธภพลึกจริงๆ ทำให้คนตายได้ง่าย เกือบจะต้องทิ้งร่างอยู่ก้นทะเลสาบซะแล้ว”
หลิ่วชิงเฟิงประคองหลี่เป่าเจินให้ลุกขึ้น “ดูท่าพวกเราคงต้องย้อนกลับไปสวนสิงโตกันอีกสักรอบ หาเสื้อผ้ามาให้เจ้าเปลี่ยนใหม่ก่อน”
หลี่เป่าเจินเอียงศีรษะ กระโดดขึ้นลงสองสามทีเพื่อสลัดน้ำในหูออก จากนั้นก็ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนๆ จะได้เป็นบทเรียนให้ตัวเอง วันหน้าจะได้ไม่รู้สึกว่าสวรรค์คืออันดับหนึ่ง ราชครูอันดับสอง ส่วนข้าเป็นอันดับที่สามอีก!”
หลิ่วชิงเฟิงไม่ได้พูดอะไร
ขึ้นรถม้ามาแล้วก็ไปนั่งในห้องโดยสาร หลี่เป่าเจินตัวสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว
รถม้าเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งออกจากเส้นทางพงต้นกกต้นอ้อขับเข้าไปในทางหลวง คราวนี้ไม่ได้พบกับพวกเฉินผิงอันอีก
หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้อแรก ข้าแนะนำเจ้าว่าควรกลับไปที่สวนสิงโต ไม่อย่างนั้นพอไปถึงที่ว่าการอำเภอ ข้ายังต้องคอยดูแลเจ้าที่ล้มป่วยอีก ข้อที่สอง ข้าแนะนำเจ้าอีกครั้ง แล้วก็เป็นการเตือนตัวเองด้วยว่า คำพูดทำร้ายคน คมกริบยิ่งกว่าใบมีด ใช้แผนการร้ายทำร้ายคนอื่น อำมหิตยิ่งกว่าเสือร้าย”
ริมฝีปากของหลี่เป่าเจินซีดขาว จ้องมองเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยถามทั้งที่ฟันกระทบกันดังกึกๆ ว่า “หลิ่วชิงเฟิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าการที่ข้าได้มาพบกับเฉินผิงอันในครั้งนี้ ได้สูญเสียอะไรไปบ้าง? คำพูดล่องลอยบางเบาพวกนี้ยังต้องให้เจ้าเป็นคนมาบอกข้าด้วยหรือ?”
หลิ่วชิงเฟิงถามกลับ “มันสำคัญยิ่งกว่าชีวิตงั้นหรือ?”
หลี่เป่าเจินแสยะยิ้ม “ก็เปล่า”
เขาหันหน้าไปตะโกนพูดกับสารถีเฒ่า “หันหัวกลับไปที่สวนสิงโต!”
หลิ่วชิงเฟิงเริ่มหลับตาทำสมาธิ
จนกระทั่งบัดนี้หลี่เป่าเจินถึงได้มองคนตรงหน้าผู้นี้เป็นพันธมิตรที่สามารถนั่งทัดเทียมกับตนได้อย่างแท้จริง
หรือไม่หลี่เป่าเจินก็ยอมรับว่าตัวเองในเวลานี้สู้หลิ่วชิงเฟิงผู้นี้ไม่ได้ นามว่าชิงเฟิง แต่จิตใจกลับดุจขี้เถ้ามอด ทว่ากลับเป็นขี้เถ้ามอดที่มีลางว่าจะลุกติดไฟขึ้นใหม่
การเป็นคนอยู่บนโลกใบนี้ ผู้ที่ตั้งใจจริง แม้แต่เสียงฟ้าผ่าก็ยังไม่ได้ยิน
คิดไม่ถึงว่าแคว้นชิงหลวนเล็กๆ แห่งนี้จะมีบุคคลเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาด้วย
……
สือโหรวคือคนที่สบายใจที่สุด
อยู่ดีไม่ว่าดีกลับออกจากเมืองยามค่ำคืน แถมยังบอกว่าจะไปพบคนบ้านเดิมคนหนึ่ง
เผยเฉียนไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังนัก แต่สือโหรวกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายไม่คุ้นเคยที่เฉินผิงอันซุกซ่อนไว้บนร่าง นั่นคือปราณสังหาร
แล้วก็จริงดังคาด จูเหลี่ยนผ่านการประมือครั้งใหญ่กับคนอื่นมาก่อนจริงๆ
โชคดีที่พอเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนกลับมาถึงก็บอกว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
สือโหรวไม่ได้ถามอะไรมาก ขอแค่เฉินผิงอันเอ่ยปากด้วยตัวเองว่าไม่มีเรื่องอะไรก็เชื่อถือได้ หากเปลี่ยนมาเป็นจูเหลี่ยน ต่อให้ตบอกจนอกแตกรับรองว่าไม่มีผลร้ายตามมาเบื้องหลัง สือโหรวก็ยังไม่มีทางเชื่อ
แม้เผยเฉียนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยมาจากบนร่างของจูเหลี่ยน นางก็ยังรู้สึกว่าน่าตกใจมากอยู่ดี
—–