กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 402.1 อาจารย์อาน้อยกับแม่นางน้อย
ชายชราลัทธิขงจื๊อยื่นเอกสารผ่านด่านคืนให้กับคนหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น
อาจารย์แห่งสำนักศึกษาท่านนี้รู้สึกประทับใจในตัวของคนหนุ่มผู้นี้อย่างถึงที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่ามองเฉินผิงอันอีกครั้ง เห็นว่าเขาสะพายกระบี่ยาวและหีบหนังสือก็ยิ่งรู้สึกสบายหูสบายตา
สะพายหีบหนังสือและกระบี่ออกทัศนศึกษาไกลนับหมื่นลี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่บัณฑิตอย่างพวกเราทำเป็น และทำได้ดีที่สุดอยู่แล้ว
เฉินผิงอันถาม “อาจารย์รู้จักแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ชื่อว่าหลี่เป่าผิงหรือไม่ นางชอบสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงสด”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “ในสำนักศึกษาของพวกเรามีใครที่ไม่รู้จักแม่หนูนี่บางเล่า อย่าว่าแต่ทั้งสำนักศึกษาเลย เกรงว่าแม้แต่เมืองหลวงต้าสุยก็ล้วนถูกแม่นางน้อยเดินจนปรุไปหมดแล้ว นางกระตือรือร้นมีพลังชีวิตเปี่ยมล้นอยู่ทุกวัน ทำเอาคนแก่ที่ใกล้จะเดินไม่ไหวอย่างพวกเราอิจฉายิ่งนัก วันนี้นางก็โดดเรียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาอีกแล้ว หากเจ้ามาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วยาม ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกับเป่าผิงน้อยพอดี”
เฉินผิงอันถาม “นางออกไปจากสำนักศึกษาคนเดียวหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง”
เห็นสีหน้าเป็นกังวลของเฉินผิงอัน อาจารย์ผู้เฒ่าก็ยิ้มพูดว่า “วางใจเถอะ แม่นางน้อยออกไปตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่เคยเกิดเรื่องเลยสักครั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษา แล้วนับประสาอะไรกับที่เมืองหลวงต้าสุยของพวกเราสงบสุขปลอดภัยมาโดยตลอด ขนบธรรมเนียมของผู้คนก็เรียบง่าย บวกกับที่เจ้ากรมพิธีการก็คือเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาพอดี เขามักจะมานั่งดื่มชากับเหล่ารองเจ้าขุนเขาทั้งหลายบนภูเขาตงซานแห่งนี้ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรหรอก”
เฉินผิงอันถึงพอจะวางใจลงได้บ้าง
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “ทำไม ครั้งนี้มาเยือนสำนักศึกษาซานหยาก็เพื่อมาหาเป่าผิงน้อยหรือ? ดูจากสำมะโนครัวของเจ้าบนเอกสารผ่านด่านก็เป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีเหมือนกัน ไม่เพียงแต่เป็นคนบ้านเดียวกับแม่นางน้อย ยังเป็นญาติกันด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เป็นแค่คนบ้านเดียวกัน ไม่ใช่ญาติ เมื่อหลายปีก่อนข้ามาเมืองหลวงต้าสุยพร้อมกับพวกเป่าผิงน้อย เพียงแต่ว่าคราวนั้นข้าไม่ได้ขึ้นเขาเข้ามาในสำนักศึกษาพร้อมกับพวกเขา”
อาจารย์ผู้เฒ่าประหลาดใจเล็กน้อย ปีนั้นที่กลุ่มเด็กของเขตการปกครองหลงเฉวียนเข้ามาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา อันดับแรกก็ส่งกองทหารมากฝีมือไปรับที่ชายแดน จากนั้นก็ยิ่งเป็นฮ่องเต้ที่เสด็จมาเยือนสำนักศึกษาด้วยองค์เอง เป็นพิธีการที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก อีกทั้งฮ่องเต้ยังปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ประทานของให้แก่เด็กทุกคนที่มาขอศึกษาต่อ ตามหลักแล้วต่อให้คนหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ไม่ได้เข้ามาในสำนักศึกษา ตนก็น่าจะได้เห็นเขาสักแสบสองแวบถึงจะถูก
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “เจ้าจะรอให้หลี่เป่าผิงกลับมาสำนักศึกษาอยู่ตรงนี้?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
แน่นอนว่าคนแรกที่เขาต้องการพบเจอในสำนักศึกษาซานหยา คือเป่าผิงน้อย
หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย เฉินผิงอันต้องไปพบอยู่แล้ว โดยเฉพาะหลี่ไหวที่อายุน้อยที่สุด
เพียงแต่พวกเขาล้วนเทียบกับแม่นางน้อยที่ชอบสวมผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ มีเพียงฤดูร้อนที่สวมชุดกระโปรงสีแดงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่เคยปฏิเสธใจที่เห็นแก่ตัวของตัวเอง เขาสนิทสนมใกล้ชิดกับเป่าผิงน้อยมากที่สุด ระหว่างเดินทางมาขอศึกษาต่อที่ต้าสุยเป็นเช่นนี้ ภายหลังตอนที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวเพียงลำพังก็ส่งจดหมายมาให้แค่หลี่เป่าผิงคนเดียว หลังจากนั้นก็ให้แม่นางน้อยที่เป็นผู้รับจดหมายช่วยอาจารย์อาน้อยอย่างเขานำจดหมายไปส่งต่อให้คนอื่นๆ ภาพวาดที่จิตรกรตระกูลฟ่านวาดให้บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาก็ส่งมาให้หลี่เป่าผิงหนึ่งภาพเพียงคนเดียว พวกหลี่ไหวต่างก็ไม่ได้รับ
ความใกล้ชิดห่างเหินที่แตกต่างกันเช่นนี้ หลินโส่วอี อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยย่อมต้องรู้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่เคยใส่ใจก็เท่านั้น หลินโส่วอีคือหยกงามในด้านการฝึกตน อวี๋ลู่และเซี่ยเซี่ยก็ยิ่งเป็นบุคคลสำคัญของราชวงศ์สกุลหลู
ส่วนหลี่ไหวที่เก่งแต่ในผ้าห่มของตัวเองนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังน่าจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันก็ดี หรืออาเหลียงก็ช่าง ทุกคนล้วนสนิทสนมกับเขาที่สุด
อาจารย์ผู้เฒ่าโบกมือคลี่ยิ้ม “ข้าแนะนำพวกเจ้าว่าควรเอาของไปวางไว้ในหอพักแขกของสำนักศึกษาก่อนจะดีกว่า ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงแอบดอดออกไป ต่อให้ไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาเร็วสุดก็ยังต้องเป็นช่วงยามสนธยาแล้ว ไม่มีครั้งไหนที่เป็นข้อยกเว้น หากเจ้าจะรอนางอยู่ที่หน้าประตูนี้ อย่างน้อยก็ยังต้องรออีกสามชั่วยาม ไม่มีความจำเป็นหรอก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็หันหน้าไปมองพวกเผยเฉียนสามคน หากมีแค่ตนคนเดียว เขาก็ไม่ถือสาหากต้องรออยู่ที่นี่
เขาหันไปมองสุดปลายทางของถนนใหญ่แวบหนึ่ง
จูเหลี่ยนมองประเมินสิ่งปลูกสร้างของสำนักศึกษาที่อยู่ด้านหลังประตูภูเขาอยู่ตลอดเวลา สิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสร้างขึ้นอิงกับตัวภูเขา แม้ว่าจะเป็นการก่อสร้างใหม่ของกรมโยธาธิการต้าสุย แต่กลับตั้งใจอย่างถึงที่สุด ทำให้คนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความโบราณเรียบง่าย แต่กลับสง่างาม
สำนักศึกษาซานหยาที่ย้ายจากต้าหลีมาอยู่เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาล
นี่คือสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อแห่งแรกที่จูเหลี่ยนได้พบเห็นหลังออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว
สถานที่ที่อริยะถ่ายทอดความรู้ เสียงอ่านตำราดังก้องกังวาน ชื่อเสียงระบือดังไปทั่วหล้า
ช่วงแรกเริ่มที่สำนักศึกษาซานหยาถูกสร้างขึ้นที่ต้าหลี เจ้าขุนเขาคนแรกก็เสนอให้ลำดับการศึกษา (คือขั้นตอนการเรียนรู้สี่ขั้นตอนที่จูซีเน้นย้ำ หนึ่งคือต้องมีความรู้กว้างขวาง สองซักถามเมื่อไม่เข้าใจ สามนำมาคิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างละเอียด สี่นำความรู้มาปฏิบัติจริง) เป็นบทอธิบายความหมาย หลักๆ คือการนำความรู้มาแบ่งเป็นสี่ข้อ ซึ่งเน้นในเรื่องของการปฏิบัติจริง
ขณะที่จูเหลี่ยนทอดสายตามองประเมินสำนักศึกษา สือโหรวที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าหอบหายใจแรงเลยแม้แต่ครั้งเดียว
แม้ว่าสือโหรวจะเข้ามาสิงอยู่ในคราบร่างเซียนเหริน สามารถต้านทานปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมไร้รูปลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของภูตผีวัตถุหยินก็ยังทำให้นางหวาดผวาอยู่ในใจไม่คลาย
เผยเฉียนไม่พูดไม่จา ดูเหมือนจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าสือโหรวเสียอีก
ตอนลงจากเรือที่นครมังกรเฒ่า เผยเฉียนที่ยังตะโกนก้องอยู่ในใจว่าจะต้องไปเจอหลี่เป่าผิงดูสักหน่อย พอมาถึงประตูใหญ่เมืองหลวงต้าสุย นางกลับเริ่มใจฝ่อ
พอมาถึงหน้าประตูภูเขาของสำนักศึกษาซานหยา นางก็ยิ่งกลัดกลุ้ม
เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “ขอถามท่านอาจารย์ หากเข้าไปในหอพักแขกของสำนักศึกษาแล้ว พวกเราอยากจะพบเจ้าขุนเขาเหมา จะต้องให้คนไปแจ้งข่าวก่อนแล้วรอคำตอบหรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อันที่จริงการไปแจ้งข่าวนั้นมีความหมายไม่มาก หลักๆ แล้วเป็นเพราะเจ้าขุนเขาเหมาของพวกเราไม่ชอบรับแขก หลายปีมานี้แทบจะปฏิเสธแขกและงานเลี้ยงรับรองทั้งหมด ต่อให้ใต้เท้าเจ้ากรมมาที่สำนักศึกษาก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะได้พบเจ้าขุนเขาเหมา แต่คุณชายเฉินเดินทางมาไกล อีกทั้งยังเป็นคนของเขตการปกครองหลงเฉวียน คาดว่าแค่ทักทายกันก็คงได้ แม้เจ้าขุนเขาเหมาจะเข้มงวดในด้านการศึกษา แต่อันที่จริงกลับเป็นคนพูดง่าย เพียงแต่ว่าเหล่าคนมีชื่อเสียงของต้าสุยที่เดินทางมาที่นี่มักจะชอบพูดคุยเรื่องลี้ลับ ถึงได้คุยกับเจ้าขุนเขาเหมาไม่รู้เรื่อง”
เฉินผิงอันยังคงไม่ได้เดินเข้าไปในสำนักศึกษาทันที เขาถามว่า “หากข้าจำไม่ผิด ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องความเป็นระเบียบและรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวงต้าสุยคือที่ว่าการผู้บัญชาการทหารราบ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ ดูท่าจะยังเป็นห่วงหลี่เป่าผิง เขาจึงยิ้มตอบว่า “เป็นเช่นนี้จริง อีกทั้งบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าขุนนางในที่ว่าการแห่งนั้น ตอนนี้ก็มาศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาด้วย”
เฉินผิงอันโล่งอกได้อีกครั้ง
เฉินผิงอันถามถึงเรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับหลี่เป่าผิงอีกเล็กน้อยถึงได้บอกลาอาจารย์ผู้เฒ่า เดินเข้าไปในสำนักศึกษา
เผยเฉียนเดินด้วยฝีเท้าหนักอึ้ง โดยเฉพาะเมื่อเดินผ่านประตูมาแล้ว ระยะทางภูเขาช่วงหนึ่งเป็นเนินราบเรียบ ทำให้เวลาเดินแทบไม่ต่างจากการเดินลุยน้ำหรือลุยกองหิมะ
สำนักศึกษามีหอพักแขกที่เอาไว้รับรองญาติและผู้ปกครองของลูกศิษย์โดยเฉพาะ ปีนั้นสองสามีภรรยาหลี่เอ้อร์และบุตรสาวหลี่หลิ่วก็พักอยู่ที่เรือนพักแขกนี้
ทางสำนักศึกษาเก็บเงินเหรียญทองแดงแค่พอเป็นพิธี หอพักแขกทุกหลังเก็บเงินแค่วันละสิบเหรียญทองแดงเท่านั้น เมื่อรู้ว่าตอนนี้คนที่เข้าพักในหอมีไม่มาก เฉินผิงอันจึงจองห้องพักติดกันสี่ห้องรวด
ต่างคนต่างไปเก็บสัมภาระไว้ในห้อง แล้วเผยเฉียนก็มาคัดหนังสือที่ห้องของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ลง แม้แต่ ‘เจี้ยนเซียน’ อาวุธกึ่งเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวก็ปลดลงมาพร้อมกันด้วย
จูเหลี่ยนมาถามว่าจะออกไปเดินดูสำนักศึกษาด้วยกันหรือไม่ เฉินผิงอันบอกว่ายังไม่ไป เผยเฉียนกำลังคัดตัวอักษรก็ยิ่งไม่มีทางสนใจจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนจึงไปเคาะห้องของสือโหรว สือโหรวที่ครั่นเนื้อครั่นตัวอารมณ์ไม่ใคร่จะดี จูเหลี่ยนยังมาพูดจาประหลาดที่ในความสุภาพแฝงไว้ด้วยความหยาบโลนอยู่นอกห้อง นางก็เลยตบรางวัลให้จูเหลี่ยนด้วยคำว่าไสหัวไป
จูเหลี่ยนจึงได้แต่ไปเดินเล่นในสำนักศึกษาเพียงลำพัง
……
หลี่เป่าผิงอาจจะกลายเป็นคนที่เข้าใจเมืองหลวงแห่งนี้ได้ดียิ่งกว่าชาวบ้านที่เกิดและเติบโตในเมืองหลวงเสียอีก
นางเคยไปเยือนประตูเทียนฉางทางทิศใต้ที่ถูกชาวบ้านเรียกเล่นๆ ว่าประตูธัญพืช ธัญพืชที่ส่งมาทางน้ำล้วนต้องผ่านการตรวจสอบจากขุนนางกรมครัวเรือนของที่นั่นก่อนแล้วค่อยถูกเก็บเข้าคลังเสบียง เป็นสถานที่รวบรวมธัญพืชจากทั่วสารทิศ นางเคยนั่งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนั้นเกือบครึ่งวัน มองดูพวกขุนนางและเหล่าเสมียนทำงานกันง่วน รวมไปถึงคนแบกหามที่เหงื่อแตกท่วมตัว นางยังรู้ว่าที่นั่นมีศาลเทพจิ้งจอกที่ควันธูปโชติช่วงอยู่แห่งหนึ่ง แม้ไม่ใช่ศาลที่มาจากการสืบทอดดั้งเดิมซึ่งได้รับการยอมรับจากกรมพิธีการของทางราชสำนัก แต่ก็ไม่ใช่ศาลเถื่อน ความเป็นมาแปลกประหลาด ด้านในตั้งบูชาหางจิ้งจอกที่มีแสงแวววาวเหมือนใหม่ไว้หางหนึ่ง มีหญิงชราที่สติไม่สมประกอบคอยขายยันต์น้ำด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ และยังเคยได้ยินเรื่องของอาจารย์จับกระดูกที่มาจากด่านชายแดนตะวันตกของต้าสุย ผู้เฒ่าและหญิงชรามักจะทะเลาะกันเป็นประจำ
—–