กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 403.1 อยู่ที่สำนักศึกษา
หลี่เป่าผิงเก็บสะสมถ้อยคำไว้มากมาย แต่พอได้พบกับเฉินผิงอันเข้าจริงๆ แต่ละคำที่มารออยู่ตรงริมฝีปากกลับถูกนางกลืนกลับลงท้องไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมาวัดระดับอยู่ตรงหน้าผากของหลี่เป่าผิง “ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเลย”
หลี่เป่าผิงกระโดดโหยง พูดหน้านิ่วคิ้วขมวด “อาจารย์อาน้อย เหตุใดท่านถึงตัวสูงเร็วกว่าข้าอีกล่ะ ตามไม่ทันแล้ว”
เฉินผิงอันช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้แม่นางน้อย ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่เป่าผิงโถมตัวเข้ามาในอ้อมกอด เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ได้แต่กอดแม่นางน้อยไว้เบาๆ คลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ดูท่าจะยังไม่โตสักเท่าไหร่
อาจารย์ผู้เฒ่ามองเห็นภาพนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ เหมือนเขากำลังชมภาพที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและอบอุ่นที่สุดในใต้หล้า สายลมวสันตฤดูคู่กับต้นหยางต้นหลิ่ว ภูเขาเขียวกับสายน้ำใสสะอาด
มีกลอนบทหนึ่งเขียนไว้ได้ดี พบกันในวันชีซี (วันแห่งความรักของจีน) ที่มีลมฤดูใบไม้ร่วงและหมอกขาว ย่อมดีกว่าเป็นสามีภรรยาที่แนบชิดเพียงกายแต่ใจเหินห่าง
ดังนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าจึงหัวเราะเบิกบานอย่างอารมณ์ดี
หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กหญิงที่หลังจากบอกลาอาจารย์ผู้เฒ่าแล้วก็พากันเดินเข้าไปในสำนักศึกษา
หลี่เป่าผิงเหมือนนกขมิ้นตัวน้อยที่พูดเสียงดังจิ๊บๆๆ เล่าสถานการณ์ในสำนักศึกษาให้เฉินผิงอันฟังไม่หยุด
คนทั้งสองไปที่หอพักแขก เฉินผิงอันเห็นผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูกับเผยเฉียน เผยเฉียนอ้าปากกว้างเล็กน้อย ขยับปากเป็นคำว่า ‘เหมา’ โดยไม่ได้ออกเสียง
ท่องอยู่ในยุทธภพมานาน เฉินผิงอันจึงจะยกมือขึ้นกุมเป็นหมัดตามจิตใต้สำนึก เพียงแต่รีบเก็บลงแล้วคารวะต่อรองเจ้าขุนเขาสำนักซานหยาท่านนี้ด้วยพิธีการแบบลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “เฉินผิงอัน พวกเราไปคุยกันหน่อย”
ทิ้งหลี่เป่าผิงที่อายุสิบสองขวบกับเผยเฉียนที่อายุสิบเอ็ดขวบไว้หน้าประตู
คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงสีแดง อีกคนคือถ่านดำน้อย
หลี่เป่าผิงมองเผยเฉียน เผยเฉียนไม่รู้ว่าควรจะวางมือวางเท้าอย่างไร นางก้มหน้าลง ไม่กล้ามองสบตากับอีกฝ่าย
หลี่เป่าผิงเดินวนรอบตัวเผยเฉียนหนึ่งรอบ สุดท้ายหยุดยืนอยู่ที่เดิม ถามว่า “เจ้าก็คือเผยเฉียน? อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาของเขา ได้เดินทางมาร่วมกับเขามาเป็นระยะทางไกลมากแล้ว?”
เผยเฉียนที่ไหล่ลู่คอตกพยักหน้ารับ
หลี่เป่าผิงถาม “อาจารย์อาน้อยบอกว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ดีเยี่ยม แล้วก็ฉลาดมากด้วย สามารถทนรับกับความยากลำบากได้เหมือนข้าในปีนั้น แถมยังบอกว่าความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือได้ขี่ลาน้อยท่องไปในยุทธภพ?”
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าลงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้ารับ
หลี่เป่าผิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “ก็ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะมอบของให้เจ้าสองชิ้น ถือเป็นของขวัญพบหน้ากัน เจ้าตามข้ามา”
เผยเฉียนกลืนน้ำลาย ไม่กล้าขยับเท้า แม้เผยเฉียนจะรู้ว่าพี่สาวตัวน้อยที่ชอบสวมชุดสีแดงผู้นี้ต้องไม่ใช่คนเลวร้ายแบบนั้นแน่นอน แต่นางก็กลัวว่าหากเดินไปถึงตรอกมืดแล้วหลี่เป่าผิงจะหันตัวกลับมาเอาถุงผ้าป่านคลุมหัวตน จากนั้นก็จับนางไปโยนทิ้งที่มุมใดมุมหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุยนอกสำนักศึกษา
หลี่เป่าผิงหมุนตัววิ่งออกไปได้หลายก้าวแล้ว หันกลับมาเห็นว่าเผยเฉียนยังยืนนิ่งเป็นหุ่นไม้อยู่ตรงนั้นก็พูดขึ้นอย่างคนเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “อาจารย์อาน้อยเล่าเรื่องของเจ้าหลายเรื่อง บอกว่าเจ้าขี้ขลาด เอาเถอะ หยิบแผ่นยันต์สีเหลืองมาแปะที่หน้าผากก่อนแล้วค่อยตามข้ามา”
เผยเฉียนรีบควักยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจออกมาแปะลงบนหน้าผาก ถึงได้มีความกล้าเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยจนยอมเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
ฝีเท้าของหลี่เป่าผิงเร็วรี่ เพียงแต่เห็นแก่ความเร็วในการเดินของเผยเฉียนจึงได้แต่ซอยเท้าให้สั้นลง แขนสองข้างของนางเหมือนชิงช้าที่แกว่งไกว วิ่งถอยหลังกลับมาอยู่ข้างกายเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อยนะ ต่อให้จะอยู่ในสถานที่ที่แปลกใหม่ไม่คุ้นเคย หวาดกลัวว่าจะเจอคนแปลกหน้าในสำนักศึกษามากแค่ไหน แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นว่าใจกล้ามาก อีกอย่างมีข้าอยู่ด้วย ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าหรอก วางใจเถอะ”
เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ ก่อนจะหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟออกมายื่นส่งให้หลี่เป่าผิง ไม่เสียแรงที่เป็นหญ้ายอดกำแพง เป็นคนที่ขับเรือตามกระแสลม นางอยากจะเอาใจหลี่เป่าผิงให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน ส่วนคำพูดอันห้าวเหิมก่อนหน้านี้ที่บอกว่าจะงัดข้อกับหลี่เป่าผิงอะไรนั่น ล้วนถูกนางโยนทิ้งไปหลังสมองไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้แล้ว
เพียงแต่ว่ายื่นออกไปแล้ว เผยเฉียนกลับอดรู้สึกเสียใจภายหลังนิดๆ ไม่ได้ รู้สึกว่านี่จะทำให้หลี่เป่าผิงดูแคลน คิดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะรับไปทันที แตะน้ำลายป้ายยันต์แล้วแปะลงบนหน้าผากของตัวเองอย่างแรง หัวเราะฮ่าๆ
เผยเฉียนก็หัวเราะตามไปด้วย
แม้แต่วิชาอภินิหารหมื่นจั้งของบรรพบุรุษภูเขาไท่ผิงในตอนนั้น เผยเฉียนยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นนางจึงยังพอจะมองเห็นสภาพจิตใจคนบางส่วนได้ บางคนก็เป็นก้อนดำราวน้ำหมึก จิตใจดำมืด บางคนก็เป็นดั่งก้อนแป้งเปียก สลัวรางมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นผีสาวสือโหรวที่เหมือนกับสายลมสายฝนที่พัดกระโชกรุนแรง มีเพียงเมล็ดพันธ์สีทองเมล็ดหนึ่งที่มองเห็นได้ยากกำลังแตกหน่อให้เห็นเป็นสีเขียวนิดๆ หรือยกตัวอย่างเช่นจูเหลี่ยนที่น่าตกใจเป็นพิเศษ คือลมคาวฝนเลือด สายฟ้าตัดสลับกันแลบแปลบปลาบ แค่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีหอชมทัศนียภาพงดงามที่โอ่อ่าโอฬารอยู่หลังหนึ่ง
แต่คนบางคนกลับ…สะอาดดุจแก้วใส ก็เหมือนกับพี่สาวน้อยชุดแดงผู้นี้ ดังนั้นเผยเฉียนจึงรู้สึกละอายใจที่ตนเองสู้อีกฝ่ายไม่ได้
หลี่เป่าผิงเห็นว่านางยังเดินได้ไม่เร็วจึงล้มเลิกความคิดที่จะวิ่งตะบึงกลับไปยังหอพักของตัวเอง เดินเล่นอย่างเชื่องช้าเป็นเต่าคลานเป็นเพื่อนเผยเฉียนพลางถามชวนคุยว่า “ได้ยินอาจารย์อาน้อยบอกว่าพวกเจ้าได้เจอกับชุยตงซานแล้ว เขารังแกเจ้าหรือไม่?”
เผยเฉียนไม่กล้าพูดความจริง ได้แต่พูดว่าก็ไม่เลว
หลี่เป่าผิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทำท่าคว้าจับ ดึงเอากลับมาวางไว้ตรงปาก เป่าลมใส่ กล่าวว่า “ไอ้หมอนี่วอนหาเรื่องซะแล้ว รอให้เขากลับสำนักศึกษาเมื่อไหร่ ข้าจะช่วยระบายความแค้นแทนเจ้าเอง”
เผยเฉียนหันหน้าไปแอบมองหลี่เป่าผิงแวบหนึ่ง คราวนี้นางยอมนับถืออีกฝ่ายอย่างหมดจิตหมดใจแล้ว
นอกจากอาจารย์ นับตั้งแต่พวกเหล่าเว่ยเสี่ยวป๋ายสี่คน จนมาถึงพี่หญิงสือโหรว หรือแม้แต่ปีศาจวัวเหลืองที่เป็นเผ่าพันธ์ของวัวดินตัวนั้น มีใครบ้างที่ไม่กลัวชุยตงซาน? เผยเฉียนก็ยิ่งหวาดกลัวเขา
ในหัวใจของชุยตงซานคล้ายมีบ่อลึกดำมืดขนาดใหญ่มโหฬารอยู่บ่อหนึ่ง แต่น้ำในบ่อกลับไม่ใช่น้ำนิ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความไร้ชีวิต ด้านในมีเงาเรือนลางของเค้าโครงร่างเจียวหลงตัวหนึ่งที่เผยเฉียนเคยอ่านเจอจากในตำราและเคยเห็นจากภาพแขวนกำลังว่ายวนอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่ร่างของเจียวหลงขยับเข้ามาใกล้ผิวน้ำก็จะมาพร้อมกับระลอกคลื่นที่ทำให้ใจคนเยียบเย็น แต่ยังดีที่ข้างบ่อน้ำมีตำราสีเงินสีทองหลายเล่มกองไว้เต็มไปหมด ถึงทำให้มันดูไม่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวมากนัก ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนหรือจะกล้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุยตงซาน
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ตรงเอวห้อยไม้บรรทัดก็คือแกนกลางสำคัญตามความหมายที่แท้จริงของสำนักศึกษาซานหยา เหมาเสี่ยวตง
เหมาเสี่ยวตงพาเฉินผิงอันเดินไปยังห้องหนังสือของเขา ระหว่างทางแทบไม่ได้พูดโอภาปราศรัยใดๆ กับเฉินผิงอัน
หลังจากคนทั้งสองนั่งลงแล้ว เหมาเสี่ยวตงที่ตีหน้าเคร่งมาตลอดเวลาก็พลันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ถึงขนาดประสานมือคารวะเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบขยับเท้าเบี่ยงหลบ คิดว่าตัวเองไม่อาจรับพิธียิ่งใหญ่ของลัทธิขงจื๊อที่มาเยือนกะทันหันนี้ได้
เหมาเสี่ยวตงยืดตัวขึ้นแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หากปีนั้นไม่ได้เจ้าช่วยปกป้องคุ้มครอง ควันธูปสายบุ๋นของสำนักศึกษาซานหยาของพวกเราก็ต้องขาดสะบั้นไปเกินครึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เหมาเสี่ยวตงเอ่ยอธิบายว่า “เมื่อครู่อยู่ด้านนอก มีหูตาของคนมากมาย ไม่สะดวกจะพูดจาเป็นกันเองกับเจ้า ศิษย์น้องเล็ก ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เหมาเสี่ยวตงโบกมือเป็นวงกว้าง “คนกันเอง แค่รู้อยู่แก่ใจตัวเองก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันนั่งลงอย่างจนใจ
เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ มองประเมินเฉินผิงอันแล้วยื่นมือออกมา “ศิษย์น้องเล็ก ขอข้าดูเอกสารผ่านด่านของเจ้าหน่อย ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาหน่อยเถอะ”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ยื่นเอกสารผ่านด่านส่งให้ด้วยสองมือ
เหมาเสี่ยวตงรับมาแล้วก็ยิ้มพูดว่า “ยังต้องขอบคุณศิษย์น้องเล็กที่จัดการเจ้าตะพาบน้อยชุยตงซานผู้นั้น หากเจ้าหมอนี่ไม่เป็นกังวลว่าวันใดเจ้าจะมาเยือนสำนักศึกษา เกรงว่าเขาคงพลิกค้นภูเขาตงซานและเมืองหลวงต้าสุยไปทั่วทุกซอกทุกมุมแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “อันที่จริงชุยตงซานยังคงหวาดกลัวท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าสักเท่าไหร่”
เหมาเสี่ยวตงยื่นมือมาชี้หน้าเฉินผิงอัน “ท่าทางเช่นนี้ของศิษย์น้องเล็กช่างเหมือนกับอาจารย์ของพวกเราในปีนั้นยิ่งนัก ยิ่งสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เท่าไหร่ เวลาเผชิญหน้ากับลูกศิษย์อย่างพวกเราก็ยิ่งชอบพูดจาถ่อมตัวเช่นนี้มากเท่านั้น ซะเมื่อไหร่ๆ เรื่องเล็กๆ คุณความชอบไม่ใหญ่ๆ ก็แค่ขยับปากเท่านั้น พวกเจ้าน่ะหัดประจบยกยอให้น้อยๆ ลงน้อย ราวกับว่าอาจารย์ทำเรื่องใหญ่ที่มีบุญคุณต่ออาณาประชาราษฎร์มากมายอย่างนั้นแหละ อาจารย์อย่างข้าเถียงชนะคนอื่นได้ ไม่ใช่ศาสดาพุทธมรรคาจารย์เต๋าสักหน่อย พวกเจ้าจะตื่นเต้นขนาดนี้ไปไย ทำไม หรือพวกเจ้ารู้สึกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าอาจารย์ไม่มีทางชนะ พอชนะแล้วถึงได้รู้สึกตะลึงระคนดีใจ เจ้าเหมาเสี่ยวตงยิ้มกว้างจนเกินพอดี ออกไป ไปรับโทษท่องตำราอยู่ในลานบ้านเหมือนจั่วโย่ว อืม จำไว้ว่าตอนที่จั่วโยวปีนกำแพงออกไป อย่าลืมเตือนเขาว่าให้ซื้ออาหารมื้อดึกมาฝากเสี่ยวฉีสักชุด ตอนนี้เสี่ยวฉีกำลังโต จำไว้ว่าอย่าเป็นอาหารที่มันเลี่ยนเกินไป ได้กลิ่นตอนกลางคืนแล้วจะทำให้คนนอนไม่หลับเอาได้…”
เหมาเสี่ยวตงเล่าเรื่องเก่านานปีของอาจารย์ตัวเองพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีไปด้วย
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด
ทำไมถึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนคุยยากยิ่งกว่าชุยตงซานเสียอีก?
เฉินผิงอันถาม “ได้ยินอาจารย์เหลียงที่อยู่หน้าประตูบอกว่าหลินโส่วอีได้ดิบได้ดีอย่างมาก ไม่ต้องเป็นห่วง แต่หลี่ไหวดูเหมือนว่าจะทำการบ้านได้ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ถ้าอย่างนั้นหลี่ไหวจะรู้สึกว่าการเรียนเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ตอบว่า “ด้วยนิสัยสนุกสนานเฮฮาดั่งลูกกระต่ายน้อยของหลี่ไหวนั่น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาเขาก็ยังนอนหมอบกับพื้นเล่นหุ่นไม้ตุ๊กตาจิ๋วได้ ไม่แน่ว่ายังอาจจะรู้สึกดีใจที่ในที่สุดวันนี้ก็ไม่ต้องไปนั่งฟังพวกอาจารย์พร่ำพูดพร่ำสอนแล้วก็ได้ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหลี่ไหว ต่อให้การบ้านจะอยู่ลำดับล่างสุดทุกครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าเขาจะกินดื่มได้น้อยลง คราวก่อนพ่อแม่และพี่สาวเขาก็มาเยี่ยมที่สำนักศึกษา ทิ้งเงินไว้ให้เขาจำนวนหนึ่ง แต่เขากลับไม่ได้ใช้เงินส่งเดช เพียงแต่ว่ามีครั้งหนึ่งอาจารย์ที่อยู่เวรตอนกลางคืนจับได้คาหนังคาเขา ตอนนั้นเขากับสหายร่วมห้องสองคนกำลังดื่มน้ำต่างเหล้าพลางแทะน่องไก่ หลังจากถูกลงโทษให้ออกไปยืนรับไม้เรียว หลี่ไหวยังเรอดังเอิ้ก อาจารย์ถามเขาว่าไม้เรียวอร่อยหรือน่องไก่อร่อยกว่ากัน เจ้าเดาดูสิว่าหลี่ไหวจะตอบอย่างไร?”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม “หากโดนไม้เรียวแล้วสามารถกินน่องไก่ได้ ถ้าอย่างนั้นไม้เรียวก็อร่อยเหมือนกัน แต่ข้าคาดว่าหลังจากพูดประโยคนี้จบ หลี่ไหวคงกินไม้เรียวจนอิ่ม”
เหมาเสี่ยวตงยกนิ้วโป้งให้ “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์อาน้อยที่คุ้มครองพวกเขามาส่งตลอดทาง ยังคงเป็นเจ้าที่เข้าใจหลี่ไหวดีที่สุด”
จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ยิ้มกล่าว “แม้ว่าหลี่ไหวจะหัวช้าในด้านการเรียน แต่อันที่จริงเขาไม่ใช่คนโง่ คนวัยเดียวกันหลายคนดีแต่ท่องตำรา ทว่าขอแค่หลี่ไหวอ่านเข้าหัว ความรู้นั้นก็จะกลายเป็นของตัวเขาเองทันที ดังนั้นอันที่จริงแล้วพวกอาจารย์จึงประทับใจหลี่ไหวอย่างมาก ทุกครั้งแม้จะทำการบ้านได้อันดับท้ายสุดก็ไม่เคยว่ากล่าวตำหนิเขา”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ต้องบอกให้หลี่ไหวมุมานะอ่านตำราให้มาก ห้ามแอบขี้เกียจเด็ดขาด หลักการเหล่านี้คงยังต้องพูดกันอยู่บ้าง”
สายตาของเหมาเสี่ยวตงฉายแววชื่นชม “สมควรเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นหลี่เอ้อร์เพิ่งไปอาละวาดที่วังหลวงมารอบหนึ่ง แต่ละคนอกสั่นขวัญผวา หนึ่งเพราะพวกอาจารย์ค่อนข้างชอบหลี่ไหว สองเพราะกังวลว่าหลี่เอ้อร์จะปกป้องบุตรชายมากเกินไป จึงมีระยะเวลาช่วงหนึ่งที่ไม่กล้าพูดจารุนแรงใส่เขาแม้แต่คำเดียว ดังนั้นข้าจึงตำหนิพวกอาจารย์ทั้งหลายไปรอบหนึ่ง หลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็เริ่มกลับมาเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง ส่วนที่ควรตีก็ตี ส่วนที่ควรสั่งสอนก็สั่งสอน นี่ต่างหากถึงจะเป็นสภาพที่อาจารย์และลูกศิษย์สมควรมี”
เฉินผิงอันถาม “หลังจากมรสุมครั้งนั้นผ่านไป มีภัยแฝงอะไรที่พวกเด็กๆ อย่างหลี่ไหวตระหนักไม่ถึงบ้างหรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงยิ้ม “มีข้าอยู่ หรือต่อให้แย่ที่สุดก็ยังมีเจ้าคนที่มีความคิดชั่วร้ายเต็มท้องอย่างชุยตงซานผู้นั้นคอยจับจ้อง ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมารยาทในการเรียนรู้ เป็นหลักเหตุผลของการอ่านตำรา ไม่จำเป็นต้องใส่ใจมากเกินไป”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ปล่อยและเก็บได้ดังใจปรารถนา ไม่เดินไปบนทางที่สุดโต่ง เพียงแต่ว่าเจ้าขุนเขาเหมาคงต้องค่อนข้างเหนื่อยใจแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงทำสีหน้าไม่พอใจ “เรียกว่าศิษย์พี่เหมาสักคำมันยากขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไม หรือเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าเหมาเสี่ยวตงอยู่ห่างชั้นจากฉีจิ้งชุน จั่วโย่วมากเกินไป หรือแม้แต่ชุยฉานและชุยตงซานก็ยังสู้ไม่ได้ ดังนั้นก็เลยไม่เต็มใจจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่เหมาสักคำ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น ขอเจ้าขุนเขาเหมาโปรดอภัยให้ด้วย”
เรื่องที่เกี่ยวพันกับสายบุ๋น เฉินผิงอันไม่อาจทำตัวเกรงอกเกรงใจหรือตอบรับอย่างขอไปทีได้
มองดูเหมือนเหมาเสี่ยวตงจะไม่พอใจ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง
หากเป็นคนหนุ่มที่พออริยะในสำนักศึกษาซานหยาอย่างตนกระตือรือร้นรับรอง แต่พอตีหน้าเคร่งบึ้งตึงใส่ก็เปลี่ยนความคิด
จะเรียกตนว่าศิษย์พี่เหมา แน่นอนว่าย่อมมีคุณสมบัติ แต่หากจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ เป็นศิษย์น้องเล็กของฉีจิ้งชุนและจั่วโย่ว กลับยังไม่แน่เสมอไป
เห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานได้เป็นวงกว้าง
สายตาเพียงน้อยนิดแค่นี้ เหมาเสี่ยวตงยังพอมีอยู่บ้าง
ตอนนั้นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่คน ชุยฉานลูกศิษย์คนแรกมีความรู้กว้างขวางและมีความสามารถมากที่สุด ฉีจิ้งชุนมีความรู้ที่ลึกซึ้งและถูกต้องมากที่สุด จั่วโย่วที่เลื่อมใสในคำว่า ‘มหามรรคาต้องเดินด้วยตัวเอง’ ประสบความสำเร็จในช่วงที่อายุมากแล้ว ตบะสูงส่งที่สุด และยังมีเจ้าคนหนึ่งที่มองดูเหมือนนิสัยโง่เขลา เป็นโล้เป็นพายได้ช้าที่สุด แต่กลับเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์รักและเอ็นดูมากที่สุดเว้นจากฉีจิ้งชุนในปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วตอนที่พ่ายแพ้ในศึกตรีจตุ สายของเหวินเซิ่งที่ในอดีตเป็นดั่งดวงตะวันกลางนภาก็ค่อยๆ เงียบหายไป นอกจาก ‘จั่วโย่วคอยอยู่ข้างกายอาจารย์’ (ประโยคภาษาจีนคือจั่วโย่วเซี่ยงปั้นเซียนเซิงจั่วโย่ว มีจั่วโย่วสองคำ คำแรกหมายถึงตัวละครจั่วโย่ว อีกคำหนึ่งหมายถึงการอยู่เคียงข้าง) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าแล้ว ยังมีคนผู้นี้ที่คอยติดตามอาจารย์อยู่ตลอดเวลา คอยอยู่เคียงข้างอาจารย์ที่สุดท้ายแล้วก็ขังตัวเองอยู่ในสวนป่ากงเต๋อหลินมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ดูเหมือนตอนนั้นศิษย์พี่รองจั่วโย่วก็คล้ายจะแยกกันเดินไปคนละทางกับศิษย์พี่สี่แล้ว
และในบรรดาลูกศิษย์กลุ่มที่ได้รับการบันทึกชื่อนี้ คนอย่างเขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือว่าโดดเด่นเท่าใดนัก
นี่แสดงให้เห็นว่าปีนั้นสายของเหวินเซิ่งเป็นที่จับจ้องของผู้คนมากมาย โชคชะตาบุ๋นส่องสว่างพร่างพราวมากแค่ไหน
—–