กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 408.2 ผู้มาเยือนมีเจตนาไม่ดี
เหมาเสี่ยวตงยิ้มกล่าว “หากข้าแย่งได้ก็คงไม่มัวมาเกรงใจพวกเจ้าแล้ว”
หยวนเกาเฟิงเอ่ยเย้ยหยัน “เจ้าเองก็รู้ด้วยหรือ เห็นเจ้าพูดจาวางโต ข้าก็นึกว่าตอนนี้เจ้าเหมาเสี่ยวตงคืออริยะขอบเขตหยกดิบของสำนักศึกษาซะแล้ว”
จากนั้นหยวนเกาเฟิงก็เอ่ยอีกว่า “แต่ดูเหมือนขอบเขตหยกดิบจะยังไม่พอ เว้นเสียจากว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงสามารถย้ายภูเขาตงหัวทั้งลูกมาที่ศาลบุ๋นถึงจะพอทำได้อย่างถูไถกระมัง? ขอบเขตไม่สูงพอคือความยากอย่างแรก ใช้วิชาอภินิหารในการเคลื่อนย้ายขุนเขาของเซียนมาย้ายชะตาบุ๋นของภูเขาตงหัวก็เป็นเรื่องยากอีกอย่างหนึ่ง ยากเจอกับยาก ช่างทำให้เจ้าขุนเขาใหญ่เหมาลำบากซะจริง”
เหมาเสี่ยวตงกวาดตามองรอบด้านพลางหัวเราะร่า “จะย้ายมาได้อย่างไร ภูเขาใหญ่กว่าศาลตั้งมาก หรือจะให้ทุ่มภูเขาทับศาลบุ๋น? ศาลบุ๋นลำดับต้นๆ ของต้าสุยจะไม่พินาศย่อยยับในวันเดียวเลยหรือ?”
หยวนเกาเฟิงพูดเสียงกร้าว “เหมาเสี่ยวตง เจ้าอย่าคิดจะมาเล่นลูกไม้ของสำนักการค้าอยู่ในศาลของข้า จะให้ข้าหยวนเกาเฟิงมาต่อรองราคากับเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าอาจจะไม่อาย แต่ข้ายังต้องกลัวว่าจะเสียหน้า! เส้นขีดจำกัดของศาลบุ๋นอยู่ตรงไหน เจ้าเองก็รู้ดี!”
เหมาเสี่ยวตงไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
แต่เฉินผิงอันกลับสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่าท่ามกลางปราณแห่งความเที่ยงธรรมที่ยิ่งใหญ่ไพศาลได้เกิดลำแสงเจ็ดสีหลายเส้นที่เดี๋ยวๆ ก็มารวมตัวกัน เดี๋ยวๆ ก็แยกย้ายกันออกไป มีสัญญาณเหมือนว่าจะรวมตัวกันกลายมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง
การโคจรลมปราณที่แท้จริงในร่างของเฉินผิงอันชะงักค้าง จวนน้ำที่หล่อเลี้ยงตราประทับแห่งชีวิตตัวอักษรน้ำปิดประตูแน่นสนิทโดยอัตโนมัติ เด็กตัวจิ๋วชุดเขียวทั้งหลายที่ฟูมฟักก่อกำเนิดมาจากแก่นน้ำตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่น
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้ขัดขวางการจงใจแสดงอำนาจบารมีของหยวนเกาเฟิง ปล่อยให้เฉินผิงอันที่อยู่ด้านหลังแบกรับการสยบจากโชคชะตาบุ๋นที่เข้มข้นขุมนี้ไปด้วยตัวเอง
เหมาเสี่ยวตงยื่นฝ่ามือชี้ไปทางตำหนักใหญ่ “พวกเราไปคุยกันที่ตำหนักหลัง”
หยวนเกาเฟิงลังเลเล็กน้อยก็พยักหน้าตอบรับ
เหมาเสี่ยวตงบอกให้เฉินผิงอันไปเดินเล่นที่ตำหนักหน้า ไม่ต้องตามไปที่ตำหนักหลังด้วย
หลังจากที่เหมาเสี่ยวตงกับหยวนเกาเฟิงเดินเข้าไปในตำหนักหลังแล้วก็มีองค์เทพร่างทองอีกหลายท่านเดินออกมาจากเทวรูปดินเผา
ส่วนเฉินผิงอันก็เดินช้าๆ ไปยังตำหนักหน้าที่โอ่อ่าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้เดินเข้ามาในตำหนักหลักของศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่ง ตอนนั้นที่อยู่ใบถงทวีปเขาไม่ได้ติดตามคนสกุลเหยาไปยังเมืองเซิ่นจิ่งของราชวงศ์ต้าเฉวียนด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงจะไปเยือนศาลบุ๋นของที่นั่นแล้ว ต่อมาได้ไปเยือนเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน เนื่องจากเวลานั้นกำลังมีการจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋าขึ้น เฉินผิงอันจึงไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวชม ส่วนเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนในพื้นที่มงคลดอกบัวกลับไม่มีศาลบุ๋นที่ตั้งบูชานักปราชญ์ทั้งเจ็ดสิบสองท่าน
ต่อให้เดินทางไกลแค่ไหน ไล่สายตามองอย่างละเอียดเท่าไหร่ ถึงอย่างไรก็ยังมีสิ่งที่พลาดไป ไม่สิ่งนี้ก็สิ่งนั้น ไม่สามารถชื่นชมทิวทัศน์ทุกแห่งได้ถ้วนทั่วอย่างแท้จริง
กาลเวลาผันผ่าน ขยับเข้าใกล้ช่วงสายัณห์ เฉินผิงอันอยู่เพียงลำพัง แม้เท้าจะก้าวเดินแต่กลับแทบไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเลยสักนิดเดียว เขาเดินวนดูเทวรูปในตำหนักหน้าครบสองรอบแล้ว ก่อนหน้านี้เมื่อได้อ่านตำราเทพเซียนอย่าง ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ผลงานส่วนตัวของปัญญาชนในแต่ละแคว้นและร้อยแก้วบันทึกการท่องเที่ยว ก็ได้สัมผัสกับเรื่องราวของ ‘นักปราชญ์’ ที่ถูกตั้งบูชาในศาลบุ๋นตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มาไม่มากก็น้อย นี่คือเรื่องที่ลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าไพศาลทำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจมากที่สุด แม้แต่เจ้าขุนเขาของเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาก็ยังถูกเรียกว่าอริยะด้วยความเคยชิน แต่เหตุใดอริยะใหญ่ที่มีความรู้ยิ่งใหญ่และคุณูปการเกริกก้องเหล่านี้ถึงถูกระบบดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อมอบคำว่า ‘นักปราชญ์’ ให้? ต้องรู้ว่าในสำนักศึกษาใหญ่ๆ หลายแห่ง เมื่อเทียบกับวิญญูชนที่มีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลนแล้ว นักปราชญ์นั้นไม่ถือว่าน้อยเลย
เหมาเสี่ยวตงเดินกลับมาจากตำหนักด้านหลัง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของผู้เฒ่าไม่ค่อยน่ามองนัก
ยังอยู่ในศาลบุ๋น เฉินผิงอันจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
พอคนทั้งสองเดินออกมาจากศาลบุ๋นแล้ว เหมาเสี่ยวตงก็เป็นฝ่ายเปิดปากเล่าเองว่า “แต่ละคนไม่ต่างจากไก่ขนเหล็ก ขนสักเส้นก็ดึงไม่ออก (เปรียบเปรยถึงคนตระหนี่ ขี้เหนียว) คุยยากจริงๆ”
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ
เหมาเสี่ยวตงเงยหน้ามองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง “เดินเที่ยวในศาลบุ๋นอย่างโจ่งแจ้งเสร็จแล้ว เดี๋ยวไปกินมื้อเย็นกัน หลังจากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ฟ้ามืด พวกเราไปลองเสี่ยงดวงตามสถานที่แห่งอื่นที่มีชะตาบุ๋นรวมตัวกันอยู่ ถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องมัวเดินทางอย่างอืดอาดแล้ว รีบรบรีบจบ พยายามกลับไปให้ถึงสำนักศึกษาก่อนที่ไก่จะขันในวันพรุ่งนี้เช้า ส่วนทางฝ่ายของศาลบุ๋นแห่งนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาทำตัวขี้เหนียวแบบนี้แน่นอน วันหน้าพวกเราจะมาเยือนทุกวัน วันละรอบ”
หลังจากที่คนทั้งสองเดินทะลุถนนใหญ่สองสายมาแล้วก็มองหาร้านอาหารใกล้เคียง ขณะที่รออาหารวางขึ้นโต๊ะ เหมาเสี่ยวตงก็ใช้เสียงในใจบอกกับเฉินผิงอันว่า “บรรยากาศของศาลบุ๋นไม่ปกติ หยวนเกาเฟิงทำตัวไม่น่าใกล้ชิด ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่อริยะบุ๋นต้าสุยอีกสองคนที่โผล่หน้ามาช่วยสนับสนุนหยวนเกาเฟิงในวันนี้ มีชื่อเสียงด้านนิสัยอบอุ่นอ่อนโยนในตำราประวัติศาสตร์ ไม่ควรจะมีท่าทีแข็งกระด้างขนาดนี้จึงจะถูก”
เฉินผิงอันรินเหล้าข้าวสองถ้วยมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ถามว่า “เป็นเพราะหยวนเกาเฟิงคิดจะใช้วิธีการเช่นนี้มาเตือนพวกเราหรือไม่? เหล่าองค์เทพในศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงย่อมต้องเห็นคลื่นใต้น้ำของต้าสุยอยู่ในสายตามานานแล้ว เพียงแต่ว่าจะหน้ามือหรือหลังมือก็ล้วนเป็นเนื้อ อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับโชคชะตาแคว้นและชะตาบุ๋นของสกุลเกาต้าสุย จึงยากที่พวกเขาจะตัดสินใจได้ ได้แต่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แต่กระนั้นก็ไม่อยากเห็นพวกเราถูกปิดหูปิดตาจนสายบุ๋นของสำนักศึกษาถูกทำลาย ดังนั้นจึงจงใจตีหน้าบึ้งตึงให้เห็น ใช้คำพูดและการกระทำที่ผิดไปจากปกติมาบอกให้พวกเราระวังสถานการณ์นอกศาลบุ๋น?”
เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ ด้วยความรู้สึกชื่นชม “ตอบถูกแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงมองไปนอกร้านอาหาร จุ๊ปากพูด “เดิมทีนึกว่าพวกเราเหวี่ยงเบ็ดโยนเหยื่อลงน้ำ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็น่าจะใช้เวลาสังเกตการณ์ให้มากขึ้น หรือไม่ก็ฉวยโอกาสตอนกลางคืนที่คนน้อยส่งพวกปลาซิวปลาสร้อยมาลองตอดเหยื่อดูก่อน คิดไม่ถึงว่าฟ้ายังไม่ทันมืด ออกจากศาลบุ๋นมาได้ไม่ไกล บนถนนที่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ พวกเขาก็เรียกใช้ท่าไม้ตายแล้ว ช่างเสียสติสิ้นดี ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อฆ่าคนได้อย่างเฉียบขาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าข้าวที่หมักจนหอมกรุ่นถ้วยนั้นอย่างเชื่องช้า
เหมาเสี่ยวตงถามด้วยรอยยิ้ม “ไม่เครียดสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง กล่าวว่า “บอกเจ้าขุนเขาเหมาตามตรง ข้าผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาไม่น้อย ถือว่าพอจะเห็นโลกกว้างมาบ้างแล้ว”
เหมาเสี่ยวตงถามอีก “เห็นโลกกว้างแค่ไหน?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบตามสัตย์จริง “เคยต่อสู้กับเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตัวหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่องน้ำเจียวหลง แล้วก็เคยสะพายกระบี่ของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้านรับการโจมตีจากเรือกลืนกระบี่อันเป็นสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานท่านหนึ่ง”
เหมาเสี่ยวตงหัวเราะเสียงดังกังวาน
เฉินผิงอันกลั้นยิ้มแล้วพูดประจบเสริมไปอีกหนึ่งคำ “แล้วก็เคยดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกับเจ้าขุนเขาเหมา”
เหมาเสี่ยวตงรีบยกถ้วยขาวใบใหญ่ขึ้น “ประโยคก่อนหน้านั้นไม่ขอพูดอะไร แต่ประโยคหลังนี้ต้องดื่มเหล้าถ้วยใหญ่ดีๆ สักถ้วย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดแล้วถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า “พอจะรู้จำนวนคนและตบะคร่าวๆ หรือไม่?”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “หลายปีมานี้มองดูเหมือนข้าเตร็ดเตร่ตามเป่าผิงน้อยไปอย่างส่งเดช แต่อันที่จริงได้วางแผนบางอย่างหวังจะทำเรื่องหนึ่งให้สำเร็จมานานแล้ว แต่เป็นเรื่องอะไรนั้น ยังไม่ต้องพูดถึง ถึงอย่างไรในรัศมีพันจั้งรอบกายข้า มีผู้ฝึกลมปราณต่ำกว่าห้าขอบเขตบนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ต่ำกว่าขอบเขตเก้ากี่คน ข้าล้วนรู้ชัดเจนดี นักฆ่าห้าคนนี้ มีผู้ฝึกกระบี่โอสถทองขอบเขตเก้าหนึ่งคน ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรของสำนักการทหารหนึ่งคน อาจารย์ด้านค่ายกลขอบเขตประตูมังกรหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลหนึ่งคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองหนึ่งคน”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้าคงช่วยไม่ได้สักเท่าไหร่”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน หยิบยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้เฉินผิงอันที่ลุกขึ้นยืนตามเขา พูดกลั้วหัวเราะด้วยเสียงในหัวใจ “ไหนเลยจะมีเหตุผลที่ศิษย์พี่ผลาญสมบัติของศิษย์น้อง เก็บเอาไว้”
เฉินผิงอันสองจิตสองใจ
เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “ทำไม รู้สึกว่าศัตรูบุกมาอย่างอาจหาญ เป็นข้าเหมาเสี่ยวตงที่ประมาทเกินไป? ลืมประโยคที่เคยพูดก่อนหน้านี้ไปแล้วหรือไร ขอแค่ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบช่วยคุมท้ายขบวนให้พวกเขา ข้าก็ล้วนรับมือได้ไหว”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “แล้วถ้าหากมีล่ะ?”
เหมาเสี่ยวตงคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยิ่งวางใจได้ หากมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ไม่มีทางสังหารข้าให้ตายได้ ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าทางฝ่ายของสำนักศึกษาไม่มีทางหนีทีไล่และท่าไม้ตายที่พวกเขาซุกซ่อนเอาไว้”
ฉวยโอกาสที่เหมาเสี่ยวตงยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ
เฉินผิงอันรินเหล้าเงียบๆ อีกถ้วย
เหมาเสี่ยวตงถามอย่างประหลาดใจ “ทำอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันกำลังก้มหน้าดื่มเหล้าอึกใหญ่ “เลียนแบบจูเหลี่ยน ดื่มเหล้าลงทัณฑ์”
เหมาเสี่ยวตงด่ายิ้มๆ “เจ้าตัวดี นี่เจ้าคงรอให้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบมาปรากฏตัวที่นี่ ใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ
เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามองปิ่นหยกชิ้นนั้นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
—–