กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 411.1 เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องรู้
จูเหลี่ยนไม่เคยพบจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่ได้รับเชิญให้มาสอนหนังสือที่สำนักศึกษามาก่อน แต่กวางขาวที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุดตัวนั้น หลี่เป่าผิงเคยพูดถึง
จ้าวซื่อที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ ลมหายใจและฝีเท้าเวลาเดินเชื่องช้าอย่างถึงที่สุด ไม่แตกต่างจากคนแก่ปกติทั่วไป
ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังมองความผิดปกติไม่ออก ทว่าครั้งแรกที่ได้เห็นเขา หัวใจของจูเหลี่ยนกลับหดรัดตัว
ทุกคนที่มาปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงกับเรือนหลังนี้เวลานี้ มีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นนักรบเดนตายของต้าสุย
วิชาตระกูลเซียนเปลี่ยนแปลงได้นับพันนับหมื่น ยากที่จะป้องกัน
การประชันอาคมตระกูลเซียนเป็นทั้งการประชันสติปัญญาและประชันความกล้า จูเหลี่ยนเคยประมือกับชุยตงซานอยู่สองครั้ง รู้ดีถึงความมหัศจรรย์ของการที่ผู้ฝึกตนมีสมบัติอาคมติดตัวมากมาย ทำให้อดีตบุคคลอันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างเขาได้เปิดโลกทัศน์ครั้งใหญ่
หากไม่ได้ติดตามเฉินผิงอัน อีกทั้งสำมะโนครัวยังเป็นของราชวงศ์ต้าหลี ด้วยนิสัยของจูเหลี่ยน หากยังอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ป่านนี้คงลงมือไปนานแล้ว นี่เรียกว่ายินดีฆ่าผิดคน แต่ไม่ยินดีปล่อยคนผิดตัว
ทว่าการที่ฝืนนิสัยตัวเองไม่เข่นฆ่าผู้คนก็ไม่ได้หมายความว่าจูเหลี่ยนไม่มีวิธีในการหยั่งเชิงความตื้นลึกของอีกฝ่าย
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองต้นอู๋ถงต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่ริมทางของถนน ก้านของใบอู๋ถงเขียวชอุ่มใบหนึ่งหักลงมาอย่างเงียบเชียบแล้วพุ่งดิ่งตรงเข้าหาจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าที่มีกวางขาวเคียงข้าง
จ้าวซื่อไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย ยังเอาแต่เดินหน้ามาอย่างเดียว
ในขณะที่ใบอู๋ถงกำลังจะปาดคอผู้เฒ่า มันก็พลันเสียการควบคุม เปลี่ยนมาเป็นใบไม้ธรรมดาที่ลอยพลิ้วร่วงลงสู่พื้นดิน
จูเหลี่ยนเคยเดินทางผ่านสองทวีป รู้ดีถึงน้ำหนักของเจ้าขุนเขาในสำนักศึกษาแห่งหนึ่งของลัทธิขงจื๊อ ต่อให้ไม่ใช่เจ็ดสิบสองสำนักศึกษา แต่เป็นสำนักศึกษาที่ผู้รอบรู้ของแต่ละแคว้นก่อตั้งขึ้นเป็นการส่วนตัว ทว่านั่นก็คือยันต์คุ้มกันกายที่ดีที่สุดแผ่นหนึ่ง
สถานะเช่นนี้ไม่ต่างจากกษัตริย์และอ๋องเชื้อพระวงศ์ในโลกมนุษย์เท่าใดนัก พวกเขาต่างก็ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากลัทธิขงจื๊อ
หากผู้ฝึกตนกล้าลอบฆ่าพวกเขา สำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อก็จะส่งคนมาไล่จับตัว ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนมีลัทธิขงจื๊อเป็นผู้บัญชาการณ์ จะหนีไปไหนได้? หากไม่อาศัยช่องทางลับหลบเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่ปริแตกและไม่มีชื่อเสียง ก็ได้แต่ต้องหนีไปให้ห่างจากโลกใบนี้ แต่หากเป็นขุนนางกังฉินขันทีฉ้อโกง หรือพวกแม่ทัพแคว้นใต้อาณัติญาติฝ่ายนอกคิดทำร้ายกษัตริย์ จะช่วงชิงบัลลังก์ก็ดี หรือจับเป็นหุ่นเชิดก็ช่าง เจ็ดสิบสองสำนักศึกษาจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก
หากจูเหลี่ยนปาดคอเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาส่วนตัวผู้นี้ แล้วถ้าจ้าวซื่อไม่ใช่นักรบเดนตายอะไร แต่เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งที่วันนี้แค่เกิดความสนใจอยากจะมาเยี่ยมพบชุยตงซานจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องซวยก็คือเขาจูเหลี่ยน
แต่จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมเลิกรา เขาใช้ปลายเท้าเตะหินไข่ห่านก้อนหนึ่งที่อยู่ข้างทางโจมตีไปที่น่องเล็กของจ้าวซื่อ
ควบคุมแรงให้อยู่ในตบะขอบเขตเจ็ดร่างทองอย่างพอเหมาะพอดี
อาจารย์ผู้เฒ่าที่น่าสงสารร้องโอ้ย ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเนื้อด้านข้างน่องเล็กฉีกเป็นรอยเลือด เขาพลันเหงื่อแตกเต็มศีรษะ
จ้าวซื่อเงยหน้าขึ้นพูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าเป็นใคร?! เหตุใดต้องลงมือทำร้ายคนอื่น? รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือสำนักศึกษาซานหยา!”
จูเหลี่ยนทำสีหน้าประหลาดใจแฝงไว้ด้วยความตระหนกเล็กน้อย เขาสบถกับตัวเองเบาๆ ว่า “ไหนบอกว่าเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาต่างก็เป็นผู้ฝึกลมปราณฝีมือสูงส่งที่ปากอมกฎสวรรค์อย่างไรเล่า ในเมื่อมีสัตว์วิเศษอย่างกวางขาวตัวนี้อยู่เคียงข้าง เหตุใดถึงทนรับการโจมตีไม่ได้ขนาดนี้ เศษสวะแท้ๆ น่าอนาถ น่าอนาถนัก…”
จากนั้นจ้าวซื่อก็มองเห็นคนผู้นั้นวิ่งเหยาะๆ มาหา ยิ้มขออภัยเอ่ยว่า “ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย เมื่อครู่นี้ข้ากำลังเตะก้อนหินเล่นอย่างใจลอย ไม่ทันระวังเลยไปโดนท่านเจ้าขุนเขาจ้าว ช่างสมควรตายจริงๆ …”
จ้าวซื่อเจ็บปวดจนต้องค้อมเอวลง สีหน้าซีดขาว เหงื่อแตกเต็มใบหน้า คงเป็นเพราะไม่กล้ามองบาดแผลที่เลือดสดไหลนองจึงได้แต่หันมาถลึงตาใส่ผู้เฒ่าหลังค่อมที่มีท่าทางหวาดหวั่นคนนั้นแทน
จูเหลี่ยนเดินมาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวซื่อ ยื่นมือมาประคองเขา “เจ้าขุนเขาจ้าว ข้าจะประคองเจ้าไปรักษาบาดแผลที่เรือน”
จ้าวซื่อปล่อยให้จูเหลี่ยนจับแขนตัวเอง ปากก็พูดทอดถอนใจไปด้วยว่า “มีคนฝึกยุทธที่ไหนวู่วามอารมณ์ร้อนอย่างเจ้า ในเมื่อพอจะเป็นวิชาการต่อสู้อยู่บ้างก็ควรหัดควบคุมตัวเอง เทียบเด็กน้อยงอแงกลิ้งไปตามพื้นกับต่อยตีกับบุรุษชายฉกรรจ์จะเหมือนกันได้หรือ? คำกล่าวที่ว่าพวกจอมยุทธชอบใช้กำลังละเมิดกฎ ก็พูดถึงคนอย่างพวกเจ้านี่แหละ!”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับปากก็พูดติดๆ กันว่าใช่
เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบ
จูเหลี่ยนที่เดิมทีเคยชินกับการอยู่ในท่าค้อมเอวหลังค่อมพลันหดตัวจนร่างเหมือนวานรตัวหนึ่ง ขยับตัวเบี่ยงไปด้านข้าง กระทืบเท้าลงพื้นหนักๆ หนึ่งทีแล้วกระแทกชนเข้าที่หน้าอกของจ้าวซื่ออย่างอำมหิต
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งที่เดิมทีควรแทงเข้าที่หว่างคิ้วของจูเหลี่ยน พอจูเหลี่ยนกลายร่างมาเป็นวานรก็ได้แต่แทงทะลุไหล่เขาไปเท่านั้น
จ้าวซื่อถูกพละกำลังอันหนักหน่วงของจูเหลี่ยนพุ่งชนจนร่างกระเด็นหวือออกไป ชนเอากวางขาวที่อยู่ด้านหลังให้ลอยคว้างตามไปด้วย
จ้าวซื่อพลันพลิกตัวหมุนตัวกลับ พลิ้วกายลงพื้นอย่างมั่นคง อารมณ์เสียสุดขีด
เหตุใดในสำนักศึกษาถึงยังมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่งแฝงตัวอยู่ที่นี่!
จูเหลี่ยนไม่สนใจบาดแผลตรงไหล่ที่เลือดสดไหลนองเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเขาฉายประกายร้อนแรง แสยะยิ้มกว้างกล่าวว่า “ในที่สุดก็ได้สัมผัสกับความสามารถของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินคนหนึ่งเสียที สะใจนัก!”
ในลานบ้าน อวี๋ลู่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงสูง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มาแล้ว”
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “เป่าผิง หลี่ไหว เผยเฉียน พวกเจ้าสามคนเข้าไปหลบในห้องหนังสือของห้องหลักก่อน จำไว้ว่าปิดประตูให้ดี เว้นเสียจากว่าข้าเป็นคนเปิดประตู ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าก็ห้ามออกมาจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว!”
เด็กทั้งสามวิ่งฉิวเข้าไปในห้องโดยไม่ถามอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
หลินโส่วอีเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าในตอนนี้อาจจะยังช่วยอะไรได้ไม่มากนัก”
อวี๋ลู่จ้องอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อที่คุมเชิงกับจูเหลี่ยนอยู่บนถนนเขม็ง “หาโอกาสเอาเองแล้วกัน”
เซี่ยเซี่ยเดินมาที่ลานบ้าน ในใจท่องคาถา สองมือทำมุทรา ก้าวเท้ารวดเร็วปานลมกรด เริ่มเข้าควบคุมปราณวิญญาณในเรือนเล็กโดยใช้เวทคาถาที่ชุยตงซานถ่ายทอดให้ สร้างสถานที่แห่งนี้ให้เป็นฟ้าดินขนาดเล็กจิ๋วชั่วคราว ส่วนนางเองก็มีโอกาสลิ้มรสชาติของการควบคุมแม่น้ำแห่งกาลเวลาดั่ง ‘อริยะของพื้นที่หนึ่ง’ หากจะบอกว่ากาลเวลาที่เหมาเสี่ยวตงบังคับคือแม่น้ำสายหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเซี่ยเซี่ยก็ได้แต่บังคับลำธารเส้นหนึ่ง
โชคดีที่บริเวณของเรือนแห่งนี้ไม่กว้างนัก จึงไม่ง่ายที่จะเกิดช่องโหว่ที่ใหญ่เกินไป
อาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นนักฆ่าคนนั้นไม่ได้บังคับกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับจูเหลี่ยน
รุ้งยาวแต่ละเส้นที่กระบี่บินวาดออกมากลางอากาศพากันพุ่งเข้าหาเรือนหลังนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ทุกครั้งที่กระบี่บินพยายามจะบุกเข้าไปในเรือน จะต้องถูกม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กกางกั้น ระเบิดประกายแสงพร่างพราวประหนึ่งแก้วหลากสีหลายเม็ดที่ปริแตก
อวี๋ลู่ถอยกลับเข้าไปในลานบ้านแล้ว เขาถามเบาๆ ว่า “สามารถประคองตัวอยู่ได้นานแค่ไหน?”
หน้าผากของเซี่ยเซี่ยมีเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมา เสียงของนางสั่นสะท้านน้อยๆ ยิ้มขื่นตอบว่า “ต่อให้จูเหลี่ยนสามารถถ่วงเวลาผู้ฝึกกระบี่คนนี้ไว้ได้ ไม่ปล่อยให้เขาบังคับกระบี่บินได้อย่างเต็มกำลัง อย่างมากสุดข้าก็ยังได้แค่ประคองตัวไว้ครึ่งก้านธูปเท่านั้น…กระบี่บินจู่โจมแรงเกินไป ปราณวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในเรือนเล็กแห่งนี้ถูกเผาผลาญเร็วเกินไป!”
เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญการทำลายสิ่งกีดขวางนานัปการในโลกที่สุดอยู่แล้ว
หนึ่งกระบี่ทำลายหมื่นอาคม ไม่ใช่แค่คำพูดที่ผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าคุยโวโอ้อวดตนเท่านั้น
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างจนใจ “น่าเสียดายที่เจ้าขุนเขาเหมาออกไปจากภูเขาตงหัว”
อวี๋ลู่ส่ายหน้า “หากเจ้าขุนเขาเหมาไม่ออกไปจากภูเขาตงหัว ศัตรูก็ยังมีแผนการอื่นมารับมือกับการที่เขาไม่จากไป ไม่แน่ว่าเวลานี้เจ้าขุนเขาเหมากับเฉินผิงอันอาจจะล่อกำลังหลักของศัตรูไปได้สำเร็จแล้ว และตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่งกว่าที่นี่ก็เป็นได้”
บนทางสายเล็กนอกเรือน ร่างของจูเหลี่ยนเคลื่อนไหวรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาของกลุ่มควัน ส่วนผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็พยายามหลบเลี่ยง เอาสมาธิที่มากกว่าไปวางไว้กับการควบคุมกระบี่ทะลวงฟ้าดินขนาดเล็ก กลางอากาศเหนือเรือนเล็กมีแสงแก้วห้าสีสว่างวาบแตกตัวครั้งแล้วครั้งเล่า
เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่ได้เปรียบด้านชัยภูมิและเชี่ยวชาญการต่อสู้แบบประชิดตัว อาจารย์ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกกระบี่จึงรับมือได้ค่อนข้างเปลืองแรง
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวกับผู้ฝึกลมปราณที่ศักยภาพเท่าเทียมกัน แล้วถ้าถูกฝ่ายแรกดึงระยะห่างขยับเข้ามาใกล้ ฝ่ายหลังก็มีแต่จะต้องร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ระทมเท่านั้น
ทว่าการที่ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับผู้ฝึกกระบี่ก็เพราะไม่ว่าจะโจมตีไกลๆ หรือต่อสู้ประชิดตัว การระเบิดพลังพิฆาตรุนแรงออกมาในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีของพวกเขาก็ล้วนทำให้คนกริ่งเกรงได้ทั้งสิ้น
จูเหลี่ยนเหวี่ยงขาฟาดไป ทำให้ศีรษะของผู้ฝึกกระบี่คนนั้นกระแทกลงบนต้นอู๋ถง ต้นไม้ใหญ่หักกลางทันที
แต่จูเหลี่ยนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ เพราะถูกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่ายแทงทะลุหน้าท้อง
ไม่เสียแรงที่จูเหลี่ยนคือคนคลั่งวรยุทธ เขาปาดเลือดสดที่ไหลพรูออกมาจากหน้าท้อง ยื่นมือมาดูแล้วหัวเราะร่าเสียงดัง ยกมือเช็ดหน้า ก่อนจะไล่กวดตามผู้ฝึกกระบี่ไป
ศึกใหญ่กำลังปะทุเดือด เสี้ยวเวลาระหว่างความเป็นความตาย จูเหลี่ยนยังมีอารมณ์เอ่ยเตือนทางเรือนเล็กอย่างผ่อนคลาย “ระวังตาแก่นี่จะอำพรางตบะ ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่ขอบเขตก่อกำเนิดทั่วไป หากใช้เวทลับผายลมสุนัขอะไรขึ้นมา…”
อาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ พอได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้ม หยิบเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารออกมาสวมลงบนร่าง เขาเตรียมตัวจะเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองแล้ว
จากนั้นก็มองไปทางเรือนหลังเล็ก คำรามกร้าวอย่างเดือดดาล “จงเปิดออกให้ข้า!”
หนึ่งกระบี่พุ่งออกไป
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เลื่องชื่อด้านความเร็ว ตัวกระบี่มีเปลวไฟที่บริสุทธ์อย่างถึงที่สุดล่องลอยออกมา
หลังจากกระแทกชนเข้ากับปราการแห่งฟ้าดินขนาดเล็กแล้วก็เกิดเสียงดังครืนครั่น สายน้ำแห่งกาลเวลาที่ห่อหุ้มตลอดทั้งเรือนหลังเล็กเริ่มส่ายสะบัดอย่างรุนแรง ในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง อวี๋ลู่ยังพอจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ทว่าหลินโส่วอีที่อยู่ตรงระเบียงแผ่นไม้ไผ่ยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลาง จึงรู้สึกทรมานยากจะทนรับอย่างยิ่ง
มุมปากของเซี่ยเซี่ยมีเลือดไหลซึม แต่กระนั้นนางก็ยังยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ในฐานะตาของค่ายกลฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ถึงอย่างไรตบะของเซี่ยเซี่ยก็ตื้นเขินเกินไป นางไม่กล้าขยับเขยื้อน ไม่อย่างนั้นฟ้าดินของเรือนเล็กก็อาจเกิดความไม่มั่นคงและมีรอยปริแตกมากกว่าเดิม
เซี่ยเซี่ยยกสองมือทำมุทรา ในดวงตาเริ่มมีหยดเลือดกลิ้งไหลออกมา
อาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อที่พอสวมเสื้อเกราะของสำนักการทหารแล้ว ระหว่างที่เข่นฆ่าอยู่กับจูเหลี่ยนก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คิดจะต่อสู้โรมรันอยู่กับข้า ปล่อยให้กระบี่บินของข้าแหวกทำลายม่านปราการได้ตามใจชอบ ไม่คิดจะไปช่วยพวกเขาหน่อยหรือ?”
กระบี่บินหลีหว่อ (ดวงไฟที่หลุดลอย หมายถึงไฟของห้าธาตุ) เล่มนี้ หากถูกผู้ฝึกกระบี่นำมาหลอมให้ได้ถึงขีดสุด จากนั้นรอให้ตัวเขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ต่อให้ลงแม่น้ำเดือดทะเลสาบเพลิงก็ยังไม่ใช่เรื่องยาก กะอีแค่ฟ้าดินขนาดเล็กที่ไม่สมชื่อ ซ้ำร้ายยังมีแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ถึงขอบเขตประตูมังกรนั่งพิทักษ์ จะนับเป็นอะไรได้?
ใบหน้าของเซี่ยเซี่ยเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่นางก็ยังยืนหยัด เพียงแต่ว่าคนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง หลังจากกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ นางก็หงายหลังตึงล้มลงกับพื้น หมดสติไปทันที
กระบี่บินไม่เพียงแต่แทงทะลุฟ้าดินขนาดเล็กเข้ามาทีละชุ่น ดูจากท่าทางแล้วเมื่อถูกเปลวเพลิงในตัวของกระบี่เผาไหม้ก็ยังจะชักนำให้เกิดช่องโพรงใหญ่ขนาดเท่ากระด้งด้วย
ดังนั้นฟ้าดินขนาดเล็กที่มีเซี่ยเซี่ยเป็นผู้ควบคุมแห่งนี้ ไม่ว่านางจะมีสติหรือหมดสติไปก็ล้วนไม่มีความหมายเท่าใดนัก
อวี๋ลู่ทะยานตัวขึ้นสูง ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่กระบี่บิน
พายุหมัดระเบิดกระจุยกระจาย กระบี่บินของเซียนดินก่อกำเนิดเล่มนั้นแทงทะลุนิ้วมือ จากนั้นก็ ‘ผุดพ้นหน้าดิน’ มาจากหลังมือ ตรงดิ่งเข้าหาห้องหลัก
หลินโส่วอีที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็ทรมานเต็มกลืนแล้ว อยู่ๆ ฟ้าดินขนาดเล็กก็สลายไป ความรู้สึกที่ฟ้าดินพลิกกลับรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้จิตสำนึกของหลินโส่วอีพร่าเลือน ร่างส่ายโอนเอน ต้องยื่นมือมาจับเสาระเบียงเพื่อประคองตัว แต่กระนั้นก็ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ขวางเอาไว้!”
ร่างของสือโหรวมาปรากฏตรงหน้าต่างห้องหนังสือ นางหลับตาลง ปล่อยให้กระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นแทงทะลุเข้ามาที่หน้าท้องของคราบร่างเซียนเหริน
เสียงดีดนิ้วเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ แต่กลับดังกังวานอยู่ริมหูของทุกคนในเรือนเล็ก
ตรงตีนเขาของภูเขาตงหัว หน้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา อาจารย์ผู้เฒ่าแซ่เหลียงมอบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไปแล้วก็จ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวที่ข้างกายมีกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งหมุนคว้างเขม็ง พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบกร้าว “ชุยตงซาน ข้าจะเชื่อใจเจ้าสักครั้ง ยอมมอบสำนักศึกษาไว้ในมือเจ้าชั่วคราว หากเกิดปัญหาใดๆ …”
เจ้าคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกำแผ่นหยกไว้แน่น สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มตาหยีพูดว่า “รู้แล้วน่า รู้แล้วน่า เจ้าแซ่เหลียงผู้นี้พูดมากซะจริง”
กระบี่บินที่มีนามว่า ‘จินชิว’ และรูปลักษณ์เป็นดั่งรวงข้าวสีทองสมชื่อเล่มนั้นก็คือกระบี่บินที่ก่อนหน้านี้ไปเตือนเหมาเสี่ยวตงว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ภูเขาตงหัวแล้ว
ชุยตงซานก้าวข้ามประตูใหญ่ของสำนักศึกษามาหนึ่งก้าว หลับตาเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม “กี่ปีมาแล้วที่ไม่ได้ใช้สถานะของเทพเซียนห้าขอบเขตบนสูดกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมนี้?”
ชุยตงซานลืมตาขึ้น ดีดนิ้วหนึ่งที ภูเขาตงหัวพลันกลายมาเป็นฟ้าดินของตัวเขาเอง “ปิดประตูตีหมากันก่อน”
จากนั้นก็ก้าวออกไปอีกก้าว ก้าวถัดไปมาอยู่ตรงกลางเรือนหลังเล็ก ถูมือหัวเราะร่า “จากนั้นก็ถึงเวลาตีหมา คำพูดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ถูกเผงเลย ถ้าจะตีก็ต้องตีหมาที่เกเรที่สุดก่อน”
เซี่ยเซี่ยหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว จากนั้นหลินโส่วอีที่จู่ๆ ก็ถูกโยนกลับเข้ามาในฟ้าดินขนาดเล็กอีกครั้งก็หมดสติตามไป
ต่อให้อวี๋ลู่จะมีขอบเขตร่างทอง แต่กลับไม่อาจขยับเขยื้อนไปไหนได้เลย
สภาพของสือโหรวตอนนี้น่าตลกที่สุด แม้จะได้ครอบครองคราบร่างเซียนเหริน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว จิตวิญญาณของนางกลับรับการชะล้างจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กได้ไม่ง่ายสักเท่าไหร่
หลังจากกระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นแทงหน้าท้องของนาง กระบี่บินก็เหมือนจมเข้าสู่กรงขังบ่อสายฟ้า พุ่งชนสะเปะสะปะอย่างบ้าคลั่งเหมือนแมลงวันไร้หัว
ทำเอาสือโหรวที่ขวางอยู่ตรงหน้าต่างเดี๋ยวๆ ก็ถูกกระชากไปข้างหน้า เดี๋ยวๆ ก็ผงะหงายไปด้านหลัง พลิกคว่ำคะมำหงาย
เห็นสภาพนี้ของสือโหรว ชุยตงซานก็เหลือกตามองบน รู้สึกอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก จึงยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาตบลงกลางอากาศเบาๆ
ร่างเซียนเหรินของสือโหรวถูกตบเข้าไปในระเบียงไม้ไผ่มรกต พื้นกระดานปริแตกเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน
มองดูเหมือนเป็นฝ่ามือที่โบกตบอย่างง่ายๆ แต่กลับทำให้จิตวิญญาณและจิตสำนึกของสือโหรวที่หลบซ่อนอยู่ในคราบร่างเซียนสลบไปทันที
ชุยตงซานกระทืบหน้าท้องของสือโหรวหนึ่งที กระบี่บินหลีหว่อที่จับผลัดจับผลูถูกสือโหรว ‘พาตัวไปติดร่างแห’ พลันสงบนิ่งทันควัน
ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง เตรียมจะใช้เวทลับ ‘เก็บ’ กระบี่บินที่ระดับขั้นไม่เลวเล่มนั้นออกมาจากหน้าท้องของสือโหรว
—–