กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 411.3 เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องรู้
เหมาเสี่ยวตงขมวดคิ้ว “มีสำนักการค้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย? กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอหรืออย่างไร?”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงหยัน “แค่นั้นเสียเมื่อไหร่ มีเจ้าคนผู้หนึ่งที่ใช้สถานะของจางไต้ปรากฎตัวอยู่ในต้าสุยมานานหลายปี มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้อาวุโสใหญ่สำนักจ้งเหิงบางคน เขาเองก็มีส่วนร่วมกับการทดสอบใหญ่ที่เป็นความลับครั้งนี้ด้วย”
เหมาเสี่ยวตงกล่าวอย่างฉงนสนเท่ห์ “มีนักฆ่าสองกลุ่ม? ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกันที่นัดหมายกันมานานแล้วหรอกหรือ? สามารถปิดบังอำพรางแผนการแต่ละก้าวได้อย่างแน่นหนา อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือโอกาสก็ล้วนกะได้เหมาะเหม็งแม่นยำขนาดนี้? ไม่พูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่เรื่องที่ข้ากับเฉินผิงอันออกไปเป็นเหยื่อล่อ…”
ชุยตงซานหัวเราะเหน็บแนม “จะไม่ยอมให้ในกลุ่มคนเลวมีคนฉลาดบ้างเลยหรือไง?”
อารมณ์ของเหมาเสี่ยวตงหนักอึ้ง โบกมือกล่าวว่า “ถึงคราวเจ้าแล้ว”
ชุยตงซานกระแอมอยู่สองสามทีเพื่อให้ลำคอชุ่มชื้น หันหน้ามาถามว่า “เสี่ยวตง ไม่มีชาให้ดื่มสักถ้วยเลยหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงไม่สนใจ หลับตาครุ่นคิดอย่างจริงจัง
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ยิ้มมองเฉินผิงอัน “รบกวนอาจารย์รับฟังความเห็นต่ำช้าจากศิษย์สักหน่อย”
เหมาเสี่ยวตงทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป ตวาดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าตะพาบน้อย! เจ้ามียางอายบ้างได้ไหม เลิกทำตัวให้คนอื่นสะอิดสะเอียนเสียที!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ชินแล้วก็ดีไปเอง”
ชุยตงซานชำเลืองตามองเหมาเสี่ยวตงอย่างลำพองใจ “ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเสี่ยวตงจากต้าหลีมาอยู่ต้าสุยจะมีพัฒนาการอย่างมาก ดูท่าอยู่กับข้านานวันเข้า พบเห็นและได้ยินจนเกิดความเคยชิน ความฉลาดเฉลียวของข้าจึงแพร่ไปสู่เจ้าไม่น้อย รู้จักเตรียมตัวย้ายขุนเขาไว้เสียแต่เนิ่นๆ ไม่เพียงแต่ได้เปรียบด้านฟ้าอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี ยังรู้จักสังหารอาจารย์ค่ายกลที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดก่อนด้วย ไม่อย่างนั้นการลอบโจมตีครั้งนี้ หากโดนโอสถทองที่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารซ่อนไว้ระเบิดใส่ เจ้าคงตายไปแล้ว เจ้าเหมาเสี่ยวตงตายแล้วก็ตายไปเถอะ แต่หากอาจารย์ของข้าบาดเจ็บแม้เพียงขนเส้นเดียว ข้าจะต้องถ่มน้ำลายรดใส่ศพเจ้า…”
ผลกลับกลายเป็นว่าชุยตงซานถูกเฉินผิงอันเตะ เขากล่าวว่า “พูดเรื่องเป็นการเป็นงาน”
ชุยตงซานรีบประสานมือคำนับ กล่าวอย่างนอบน้อมทันทีว่า “ข้าเชื่อฟังอาจารย์”
เหมาเสี่ยวตงหลับตาลงอีกครั้ง ตาไม่เห็น จิตใจก็ไม่ขุ่นเคือง
ชุยตงซานครุ่นคิดหาคำพูดอยู่ชั่วขณะ ลุกขึ้นยืน เดินวนรอบเก้าอี้ด้วยความเคยชินพลางพูดช้าๆ ว่า “แผนการครั้งนี้แบ่งบุคคลและขอบเขตได้คร่าวๆ เป็นสี่ระดับ”
ชุยตงซานยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว “ระดับแรก”
“หลานชายของไช่จิงเสินผู้ถวายการรับใช้แห่งต้าสุย คนอย่างพวกไช่เฟิงตำแหน่งขุนนางไม่สูง ทว่าเมื่อมีคนเยอะกลับสามารถก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่จากคนทั้งราชสำนัก คนเหล่านี้ฝากความหวังไว้ที่ชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ ในใจชื่นชมเลื่อมใสมาดของขุนพลมากความรู้ผู้บุกเบิกแคว้น ไช่เฟิงที่เป็นคนหนึ่งในนั้นถือว่ายังดี มีบรรพบุรุษเป็นก่อกำเนิด ทะเยอทะยานสูง หมายได้ครอบครองบรรดาศักดิ์ว่า ‘เหวินเจิ้ง’ หลังจากตายไป
ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือเป็นพวกโง่เง่าที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หากทำเรื่องใหญ่ได้สำเร็จจริงๆ นั่นก็ถือว่าได้เหยียบโชคดีขี้หมา หากไม่สำเร็จก็ไม่กลัวตาย ตายก็ตายไป สมกับคำว่าไม่มีเรื่องนิ่งดูดายพูดคุยเรื่องความรู้ เจออันตรายใกล้ตายพร้อมตอบแทนเจ้าเหนือหัว มีชีวิตอยู่อย่างสง่างาม ตายก็ตายอย่างเศร้าสลดระคนห้าวเหิม วางท่าราวกับว่าเรื่องของความเป็นความตายนั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง”
“ส่วนข้อที่ว่าจะทิ้งเศษซากเอาไว้หรือไม่ แล้วเศษซากที่ว่านั้นจะเละเทะแค่ไหน พวกเขาไม่สนใจ เพราะคิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้ โศกนาฎกรรมที่บอกว่าคนด้วยกันเอาคนไปขายกินเป็นอาหารซึ่งบันทึกไว้ในตำรา อ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างไกลจากพวกเขา”
“ที่ข้าเคยเห็นมาก็มีไม่น้อย”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าอาจารย์เองก็น่าจะเคยเห็นมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวเหมือนกัน”
ชุยตงซานยื่นนิ้วที่สองออกมา “ระดับที่สอง”
“พวกคนอย่างกัวซินรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิว หลังจากได้รับคุณูปการก็ใช้ชีวิตอยู่ในต้าสุยอย่างสงบสุขราบรื่นมานาน นานจนมองดูเหมือนมีหน้ามีตา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีแค่บรรดาศักดิ์เปล่าๆ มองเมืองหลวงและราชสำนักเป็นกรงขัง กระหายอยากให้ความองอาจแกล้วกล้าของบรรพบุรุษได้เฉิดฉายบนสมรภูมิรบอีกครั้ง บวกกับภายนอกมีความสัมพันธ์กับเหล่าแม่ทัพชายแดนหลายรุ่นหลายสมัยที่กุมอำนาจแท้จริงไว้ในมืออีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งคอยช่วยประสานรับกับเหมียวเริ่นอยู่ไกลๆ”
“เถาจวิ้นรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา ซ่งซ่านรองผู้บัญชาการณ์กองพลทหารราบผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยของเมืองหลวง หากพูดถึงในเรื่องของการลงมือปฏิบัติจริงแล้ว นับว่าพวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับการจัดวางกองทัพเคลื่อนกำลังพล หลังจากที่ซ่งเจิ้งฉุนฮ่องเต้ต้าหลีผู้อยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ‘ตายอย่างเฉียบพลัน’ เป็นโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่ผ่านมาเพียงชั่วแวบเดียว จะพลาดไปไม่ได้เด็ดขาด ทำลายสัญญาในตอนนี้ ฉวยโอกาสตอนที่คนทั้งแคว้นต้าสุยกำลังสะกดกลั้นความแค้นเคือง วางแผนทำให้ประชาชนสมหวัง อาศัยกองทัพต้าสุยที่พลังการต่อสู้ไม่ธรรมดามาทุ่มเดิมพันดูสักตั้ง ไม่ยินดีนั่งเฉยรอความตาย รอให้ต้าหลีที่ในอนาคตจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวันใช้วิธีเอาน้ำอุ่นต้มกบมาเปลี่ยนแซ่ของแคว้น จนกระทั่งกลายเป็นแคว้นใต้อาณัติของสกุลซ่งอย่างสิ้นเชิง คนประเภทนี้คือพวกที่ได้ข้อสรุปหลังจากชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้ว เมื่อเทียบกับพวกกัวซิน เหมียวเริ่นก็ถือว่าฉลาดมากกว่า แต่ก็ยังอยู่ในระดับขั้นเดียวกัน และรากฐานของแคว้นต้าสุยก็อยู่ที่คนประเภทนี้ ทั้งในราชสำนักและในชายแดนต่างก็มีอยู่ไม่น้อย นี่น่าจะพอถือว่าเป็นจุดศูนย์รวมของกองกำลังแคว้นได้อย่างถูไถ”
ชุยตงซานยื่นนิ้วที่สามออกมา “ระดับที่สาม อันดับต่อมาจึงจะเป็นฮ่องเต้ต้าสุยที่น่าสงสารคนนั้น”
“คนผู้นี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนที่สุด เดิมทีเตรียมใจพร้อมรับคำด่าประณาม เอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ตัดสินใจลงนามสัญญาในพันธมิตรที่หลู่เกียรติตัวเอง และยังฝากความหวังไว้ที่องค์ชายเกาเซวียน ส่งเขาไปเป็นตัวประกันที่สำนักศึกษาหลินลู่ภูเขาพีอวิ๋น ผลกลับกลายเป็นว่ายังคงดูแคลนสถานการณ์รุนแรงในราชสำนักเกินไป เจ้าลูกกระต่ายกลุ่มไช่เฟิงนั่นปิดบังเขาลอบสังหารเหมาเสี่ยวตงแห่งสำนักศึกษา หากทำสำเร็จก็จะใส่ร้ายเหมาเสี่ยวตงว่าเป็นสายลับต้าหลีที่ปล่อยข่าวลือให้คนเข้าใจผิด บอกแก่ราชสำนักต้าสุยว่าเหมาเสี่ยวตงมีเจตนาชั่วร้าย หวังจะใช้สำนักศึกษาซานหยามาขุดเอารากชะตาบุ๋นของต้าสุยไป ปีศาจบุ๋นที่มีจิตใจต่ำช้าเช่นนี้ ชาวบ้านต้าสุยทุกคน ไม่ว่าใครได้พบเห็นต้องสังหารให้ได้”
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้โต้แย้งอะไร
ปีศาจบุ๋น?
เขาเหมาเสี่ยวตงถึงขั้นรู้สึกว่ากำลังชื่นชมเขาด้วยซ้ำ
บุคคลในใต้หล้าไพศาลที่เคยถูกด่าว่าปีศาจบุ๋นตัวใหญ่ที่สุด คือใคร?
อาจารย์ของเขาและชุยฉานอย่างไรล่ะ
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าการกระทำของพวกไช่เฟิง ฮ่องเต้ต้าสุยอาจจะรู้ชัดเจนดี หรืออาจจะไม่รู้เลย ทว่าความเป็นไปได้ของข้อหลังมีมากกว่า ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ไม่ค่อยได้ใจคนเท่าใดนัก แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะพวกเขาไช่เฟิงไม่รู้ว่า ปีศาจบุ๋นเหมาเสี่ยวตงตายหรือไม่ สกุลซ่งต้าหลีก็ยิ่งไม่สนใจ ทว่าฮ่องเต้ต้าสุยกลับค่อนข้างจะใส่ใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีทางทำลายพันธมิตรขุนเขาร้อยปีนั่น นี่ก็คือจุดที่พวกไช่เฟิงคิดไม่ตก แต่พวกไช่เฟิงคงต้องคิดจะสังหารเหมาเสี่ยวตงก่อน แล้วค่อยมาจัดการกับลูกศิษย์ของต้าหลีอย่างพวกเป่าผิงน้อย หลี่ไหวและหลินโส่วอี เมื่อถึงเวลานั้น ฮ่องเต้ต้าสุยที่ไม่คิดจะฉีกสัญญาย่อมต้องขัดขวาง แต่ว่า…”
เสียงหัวเราะของชุยตงซานน่าสะพรึงกลัว “ดูท่าการตายของซ่งเจิ้งฉุนจะทำให้จิตใจของฮ่องเต้ต้าสุยสั่นคลอนจริงๆ ในฐานะฮ่องเต้ คิดว่าเขายินดีถูกตำหนิจากคนทั้งราชสำนักจริงๆ หรือ? คิดว่าเขาเต็มใจจะอาศัยอยู่ใต้ชายคาคนอื่น ปล่อยให้บริเวณโดยรอบของแคว้นเต็มไปด้วยกองทัพม้าเหล็กต้าหลี หรือไม่ก็ทหารม้าภายใต้บัญชาการณ์ของสกุลซ่ง โดยที่สกุลเกาเกอหยางอย่างพวกเขาต้องหลบลี้หนีห่าง พยายามให้มีชีวิตอยู่รอดพ้นไปวันๆ? เถาจวิ้นซ่งซ่านต่างก็มองเห็นโอกาส ฮ่องเต้ต้าสุยก็ไม่ใช่คนโง่ อีกทั้งยังมองไกลยิ่งกว่าพวกเขาด้วย”
“คนผู้นี้นั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวนั้น มองดูพวกไช่เฟิงกระทำการเหล่านี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ คงทั้งดีใจทั้งกังวลกระมัง ไม่ใช่ความผิดหวังและโกรธเคืองไปเสียทั้งหมด ดีใจก็เพราะสกุลเกาเกอหยางเลี้ยงดูผู้คนมานานหลายร้อยปี แล้วก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยินดีตายเพื่อแคว้น ยินดีตอบแทนสกุลเกาด้วยความกล้าหาญจริงๆ กังวลก็เพราะฮ่องเต้ต้าสุยไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเดิมพันชนะ หากฉีกสัญญาอย่างโจ่งแจ้งก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้สองแคว้นหวนย้อนกลับไปแก้ไข หากพ่ายแพ้ อาณาเขตของต้าสุยย่อมต้องแบกรับไฟโทสะจากราชสำนักต้าหลี”
มือข้างนั้นของชุยตงซานยกนิ้วค้างไว้สามนิ้วตลอดเวลา เขาคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนั้นที่ข้าพูดเกลี้ยกล่อมไม่ให้ซ่งจ่างจิ้งยกทัพมาตีต้าสุยต้องเปลืองแรงไปไม่น้อย ด้วยเรื่องนี้ซ่งจ่างจิ้งยังโมโหอย่างหนัก ทะเลาะกับฮ่องเต้เสียใหญ่โต บอกว่านี่เป็นการเลี้ยงพยัคฆ์ไว้เป็นภัย มองชีวิตของเหล่าทหารต้าหลีที่ออกรบเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของ ครึกครื้นนักล่ะ ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งตวาดสั่งสอนฮ่องเต้เสียงดังด้วยถ้อยคำของปัญญาชน”
“ตอนนั้นฮ่องเต้ปิดบังพวกเราทุกคน อายุขัยของเขากำลังจะหมดลง ไม่ใช่สิบปี แต่เป็นสามปี น่าจะเป็นเพราะกังวลถึงผู้ฝึกตนสองคนจากสำนักโม่และสำนักหยินหยาง เกรงว่าตอนนั้นแม้แต่เจ้าตะพาบเฒ่ายังถูกปิดหูปิดตา และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฮ่องเต้ตัดสินใจถูกต้อง ผู้ฝึกตนสกุลลู่จากสำนักหยินหยางคนนั้นมีเจตนาไม่ดีจริงๆ คิดจะค่อยๆ จับเขามาทำเป็นหุ่นเชิดที่สติปัญญาถูกบดบัง หากไม่เป็นเพราะอาเหลียงทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฮ่องเต้เรา เกรงว่าสกุลซ่งต้าหลีคงกลายเป็นตัวตลกที่ใหญ่ที่สุดในแจกันสมบัติทวีปไปแล้ว”
ชุยตงซานหรี่ตาลง ยื่นนิ้วที่สี่ออกมา “จากนั้นก็มาถึงบุคคลที่อยู่เบื้องหลังซึ่งแบ่งเป็นอีกสองกลุ่ม”
“ยอดฝีมือที่แท้จริงกลุ่มนั้น ข้าเดาเอาว่ามาจากสำนักการค้าและสำนักจ้งเหิง พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่เกินความจำเป็น ไม่ได้เล่นงานเหมาเสี่ยวตง ยิ่งไม่เล่นงานอาจารย์ ไม่เล่นงานใครเลย เพียงแค่เอาผลประโยชน์มาหลอกล่อฮ่องเต้ต้าสุยตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น การเข้ามาแทนที่ต้าหลี ไม่พูดถึงเรื่องที่กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีบดขยี้แผ่นดินไปครึ่งทวีปแล้ว ครึ่งของครึ่งทวีปก็มากพอจะทำให้พวกบรรพบุรุษสกุลเกาต้าสุยที่อยู่ใต้ดินหัวเราะจนฝาโลงปิดไม่สนิทแล้วกระมัง”
“ที่น่าสนใจที่สุดกลับไม่ใช่ยอดฝีมือบนยอดเขากลุ่มนี้ แต่เป็นเจ้าคนที่ตีจ้าวซื่อลูกศิษย์สายอริยะลู่ให้สลบ ใช้สถานะของจางไต้จ้วงหยวนคนใหม่มาแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนระดับชั้นของไช่เฟิง หลังจากนั้นก็ออกจากเมืองไปยามค่ำคืน ทั้งต้าสุยและต้าหลีต่างก็อยากจะขุดดินลึกลงไปสามฉื่อเพื่อควานตัวเขาออกมา แต่ทำอย่างไรก็หาตัวเขาไม่เจอ ก็เหมือนอย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ การสืบทอดของสำนักจ้งเหิงใช้แผนการครั้งนี้มาเป็นบททดสอบในด้านการนำความรู้ที่เล่าเรียนมาไปใช้จริง”
“ความมหัศจรรย์ของจางไต้ผู้นี้อยู่ตรงไหน?”
“พูดในทางกลับกัน ขอแค่ฮ่องเต้ต้าสุยถูกคนเบื้องหลังกลุ่มแรกโน้มน้าวได้สำเร็จ ลองทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่ ไม่ว่าคนในสำนักศึกษาซานหยาจะตายหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเหมาเสี่ยวตงหรือพวกเป่าผิงน้อยก็เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใหญ่ไม่ได้แล้ว หากยังมัวลังเลใจ ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่จางไต้เจาะแผ่นฟ้าเป็นรูใหญ่จนซ่อมแซมไม่ได้ไปแล้ว ฮ่องเต้ต้าสุยก็ได้แต่เดินไปให้สุดทางอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นจางไต้ก็จะปัดก้นเดินจากไป ทว่าสถานการณ์ใหญ่ของตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปกลับเปลี่ยนไปเพราะเขาแล้ว”
“ผู้ฝึกตนลงมือสังหารกษัตริย์ในโลกมนุษย์อย่างพร่ำเพื่อ เป็นเหตุให้เกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน นั่นคือข้อห้ามใหญ่หลวง จะต้องถูกอริยะของสำนักศึกษาจัดการ แต่การควบคุมใจคน บ่มเพาะหุ่นเชิด ไม่ก็กักบริเวณฮ่องเต้ที่มีเพียงตำแหน่งว่างเปล่า หรือใช้ศาสตร์การประคับประคองมังกร อาศัยสิ่งนี้มาพลิกเมฆกลบฝน โดยทั่วไปแล้วสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อจะทำเพียงแค่บันทึกไว้ในเอกสารคดีเงียบๆ เหอะๆ ก็ต้องดูที่ว่าผู้ฝึกลมปราณคนนั้นจะปีนป่ายไปได้สูงเท่าไหร่ ยิ่งสูงก็ยิ่งตกลงมาเจ็บหนัก ปีนไปได้ไม่สูงกลับกลายเป็นความโชคดีในความโชคร้าย”
ชุยตงซานหุบนิ้วทั้งสี่กำเป็นหมัดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “การที่ปูพื้นมามากมายขนาดนี้ นอกจากจะช่วยไขข้อข้องใจให้เสี่ยวตงแล้ว อันที่จริงยังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านั้น”
ชุยตงซานนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ก่อกำเนิดฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แก่นของมันอยู่ที่คำว่า ‘สอดคล้องกับมรรคา’”
“การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับอาจารย์อย่างละเอียดก็เพราะหวังว่าอาจารย์จะมองโลกใบนี้ให้ครบทุกด้านและทะลุปรุโปร่ง รู้ว่ากฎเกณฑ์การโคจรของฟ้าดินในทุกวันนี้มีกรอบมีเส้นใดบ้าง ข้อไหนห้ามไปแตะต้อง ข้อไหนสามารถทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่ เมื่อสร้างขึ้นแล้วก็จะ ‘สอดคล้องกับมรรคา’! ได้รับการยอมรับจากระบบดั้งเดิมของใต้หล้าไพศาล ต่อให้อริยะของสถานศึกษาและสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อไม่ยอมรับ แต่ก็ต้องฝืนใจยอมรับ! เพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ยอม!”
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด
ชุยตงซานเดินมาที่ข้างหน้าต่าง มองทัศนียภาพของภูเขาแล้วพลันหันหน้ามาคลี่ยิ้ม “อาจารย์ ข้าเองก็มีคำถามที่อยากถาม หวังว่าอาจารย์จะช่วยไขข้อข้องใจให้ศิษย์”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น ยิ้มตอบ “ลองว่ามาสิ”
เหมาเสี่ยวตงมองเหมือนกำลังงีบหลับ แต่แท้จริงแล้วกลับตั้งท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ
ชุยตงซานถามว่า “หากใช้วิธีการที่ผิดไปแสวงหาผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ถูกหรือว่าไม่ถูก?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
เขาเคยพูดคุยเรื่องนี้กับหลิ่วชิงเฟิงมาก่อน
ชุยตงซานถามอีก “ถ้าอย่างนั้นหากใช้วิธีการที่ผิด แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องซึ่งหาได้ยากยิ่ง ผิด หรือว่าไม่ผิด?”
—–