กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 412.2 ข้าขอคิดอีกหน่อย
เฉินผิงอันเดินกลับมาที่เรือนของชุยตงซาน
จูเหลี่ยนทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นอกจากกลิ่นเลือดจางๆ ที่โชยออกมาจากร่างแล้ว ใบหน้าจูเหลี่ยนก็ยังคงมีรอยยิ้มแต้มบางๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เขานั่งอยู่บนขั้นบันได กำลังเล่าให้เด็กแก่นแก้วสองคนอย่างหลี่ไหวกับเผยเฉียนฟังว่าศึกใหญ่เมื่อครู่นี้น่าประหวั่นพรั่นพรึง และเขาต่อสู้อย่างห้าวเหิมแค่ไหน
หลินโส่วอีพยายามทำจิตวิญญาณและลมปราณให้สงบนิ่งมั่นคงอยู่ตลอดเวลา นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเขา เพียงแต่ว่าการเข้าออกแม่น้ำแห่งกาลเวลาสองสามครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนทุกคนแล้ว ขอแค่ไม่ทิ้งต้นตอโรคร้ายเอาไว้ก็ล้วนถือว่าได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองในอนาคตอีกด้วย
เซี่ยเซี่ยสีหน้าซีดขาว ได้รับบาดเจ็บไม่เบา ที่มากกว่านั้นคือจิตวิญญาณที่กระเด้งกระดอนขึ้นลงไปตามฟ้าดินขนาดเล็กและแม่น้ำแห่งกาลเวลา แต่นางกลับไม่ได้นั่งรักษาบาดแผลอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แต่มานั่งอยู่ห่างจากเผยเฉียนไม่ไกล สายตาคอยเหลือบมองไปทางประตูของเรือนเล็กอยู่เป็นระยะ
สือโหรวถูกอวี๋ลู่แงะออกมาจากพื้นที่ปริแตก นอนราบอยู่บนระเบียง นางฟื้นคืนสติแล้ว เพียงแต่ว่าในท้องมีกระบี่บินหลีหว่อของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ‘อาศัย’ อยู่ เวลานี้มันกำลังพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ทำให้หน้าท้องของนางเจ็บปวดเหมือนถูกบีบเค้น ได้แต่รอคอยให้ชุยตงานกลับมาช่วยนางออกไปจากห้วงมรรณพแห่งความทุกข์ทรมานนี้
หลี่เป่าผิงนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกาย ‘ตู้เม่า’ ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “เผยเฉียนบอกว่าข้าควรเรียกเจ้าว่าพี่หญิงสือโหรว ทำไมล่ะ?”
สือโหรวกำลังจะพูด หลี่เป่าผิงกลับพูดขึ้นอย่างคนที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นดีเสียก่อน “รอให้กระบี่บินในท้องของเจ้าวิ่งออกมาก่อนแล้วพวกเราค่อยคุยกันดีกว่า”
สือโหรวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน
อวี๋ลู่กำลังถือไม้กวาดปัดกวาดลานบ้าน มือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของเขาก็ทำแผลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เฉินผิงอันถอนหายใจโล่งอก
ตอนที่มาถึงก็เห็นว่ากวางขาวที่เป็นของจ้าวซื่ออาจารย์ผู้เฒ่าถูกคนที่อยู่เบื้องหลังร่ายเวทลับใส่จึงยังคงนอนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันไม่กล้าขยับมันส่งเดช ได้แต่รอให้ชุยตงซานมาจัดการ
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอวี๋ลู่ ยกมือขึ้น เป็นมือข้างที่เลือดเปรอะเลอะอาบมือเพราะก่อนหน้านี้จับด้ามกระบี่ของเจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง เขาทายาสมุนไพรห้ามเลือดที่เก็บมาจากป่าเขาและยากำเนิดเนื้อของตระกูลเซียนบนภูเขา ทำแผลให้ตัวเองอย่างเคยชินเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังยกมือข้างนั้นโบกให้อวี๋ลู่ ยิ้มกล่าวว่า “พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก?”
อวี๋ลู่ยิ้มถาม “เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างไร?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “พูดออกไปแล้วก็น่าอาย อย่าให้ข้าเล่าดีกว่า”
เฉินผิงอันหันไปมองพวกหลี่เป่าผิงและเผยเฉียน “เล่นของพวกเจ้าต่อไปเถอะ น่าจะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่ตอนนี้พวกเจ้ายังต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว อาศัยอยู่บ้านคนอื่น จำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นกันเองเกินไปนัก”
หลี่ไหวกล่าว “เฉินผิงอัน เจ้าพูดอะไรอย่างนั้น ชุยตงซานสนิทกับข้ามาก เพื่อนของข้าหลี่ไหวก็คือเพื่อนของเจ้าเฉินผิงอัน เพื่อนของเจ้าก็คือเพื่อนของเผยเฉียน ในเมื่อทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน ต้องทำตัวเป็นกันเองสิถึงจะถูก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหตุผลบิดเบี้ยวของเจ้า เอาไปไว้พูดกับคนอื่นเถอะ”
หลี่ไหวหันขวับไปพูดกับเผยเฉียน “เผยเฉียน เจ้าคิดว่าเหตุผลของข้ามีเหตุผลหรือไม่?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “อาจารย์พูดถูกแล้ว เหตุผลบิดเบี้ยว!”
หลี่ไหวเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก “เผยเฉียน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้ คุณธรรมในยุทธภพล่ะ พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าจะออกไปท่องยุทธภพ ขุดหาสมบัติไปทั่วสารทิศด้วยกัน? นี่พวกเรายังไม่ทันเริ่มท่องยุทธภพไปหาเงินก้อนใหญ่ใส่กระเป๋าก็จะวงแตกแล้วหรือ?”
เผยเฉียนหัวเราะร่า “กินข้าวแยกวงแล้ว หลังจากนั้นพวกเราค่อยมารวมกลุ่มกันใหม่”
หลี่ไหวลูบคลำปลายคาง “ฟังเหมือนจะมีเหตุผลอยู่มาก”
เฉินผิงอันเดินไปนั่งลงข้างกายหลินโส่วอี ถามเบาๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินโส่วอีถอนหายใจ พูดเย้ยหยันตัวเอง “เทพเซียนตีกัน มดตัวน้อยก็เดือดร้อน”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไรอีก
หลินโส่วอียิ้มบางๆ “เดี๋ยวถ้าชุยตงซานกลับมา เจ้าช่วยบอกกับเขาทีว่า วันหน้าข้าจะมาที่นี่บ่อยๆ จำไว้ว่าเลือกใช้คำดีๆ หน่อย เอาให้ฟังดูเหมือนเป็นความต้องการของเจ้า ชุยตงซานไม่อาจปฏิเสธคำสั่งของอาจารย์ ข้าจะได้มาที่นี่ได้”
เฉินผิงอันข่มกลั้นเอาไว้ ถึงอย่างไรเซี่ยเซี่ยก็ยังอยู่ตรงนี้ เขาจึงไม่ได้บอกความจริงว่าเป็นชุยตงซานที่เชื้อเชิญให้หลินโส่วอีมาฝึกตนที่นี่ เพียงพูดว่า “เจ้าพูดเองก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
หลินโส่วอีกดเสียงให้เบาลง “ติดค้างน้ำใจของเขาชุยตงซาน ไม่ช้าก็เร็วต้องใช้คืน แถมต้องให้เขาเป็นคนตัดสินใจเองด้วย ไม่สู้ติดค้างน้ำใจเจ้า ต้องใช้คืนเหมือนกัน แต่จะดีจะชั่วข้าก็ยังสามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “อย่างเจ้านี่เรียกว่ารังแกคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่งไหม?”
หลินโส่วอีส่ายหน้า “อย่างข้านี้เรียกว่ารังแกคนดี ไม่รังแกคนเลว”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอามาดื่มเหล้าข้าวหมักหวานหอมที่อยู่ข้างใน
หลินโส่วอีถาม “หอเก็บตำราของสำนักศึกษาไม่เลวเลย ข้าค่อนข้างคุ้นเคย หลังจากนี้ถ้าเจ้าอยากไปหาตำราที่นั่น ข้าช่วยนำทางให้ได้”
เฉินผิงอันกล่าว “คงไม่น่าจะไปหรอก รับเอาความรู้มากมายขนาดนั้นไม่ไหว”
หลินโส่วอีหัวเราะอย่างฉุนๆ “อย่างน้อยเจ้าก็ช่วยแสร้งทำเป็นพยักหน้าตอบรับ ให้ข้าได้คืนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ แก่เจ้าก่อนไม่ได้หรือไง เหตุใดถึงไม่เข้าใจหลักการใช้ชีวิตอยู่ในโลกบ้างเลย?”
เฉินผิงอันกระแอมไอ เช็ดมุมปากแล้วหันหน้ามาพูด “หลินโส่วอี เจ้าเข้ามาในสำนักศึกษาซานหยาปลอม แล้วก็เรียนตำราอริยะปราชญ์ปลอมมาหลายปีด้วยใช่ไหม?”
หลินโส่วอีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
เผยเฉียนใช้ศอกกระทุ้งหลี่ไหว ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ข้าสนิทกับหลินโส่วอีขนาดนี้เลยหรือ?”
หลี่ไหวไม่เงยหน้า เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดท่าทางให้กับหุ่นไม้หลากสี ปากก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เปล่าสักหน่อย เฉินผิงอันสนิทกับข้าที่สุดอยู่คนเดียว กับคนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยสนิทสักเท่าไหร่”
หลี่เป่าผิงมาหยุดอยู่ด้านหลังหลี่ไหวเงียบๆ แล้วยกเท้าถีบหลี่ไหวหน้าคว่ำลงกับพื้น
หลี่ไหวลุกขึ้นนั่ง พูดหน้าตาบูดบึ้ง “หลี่เป่าผิง หากเจ้ายังทำแบบนี้อีก ข้าจะจับมือพาเผยเฉียนไปก่อตั้งพรรคเป็นของตัวเองแล้ว จะไม่ยอมรับผู้นำแห่งยุทธจักรอย่างเจ้าอีก!”
หลี่เป่าผิงเบ้ปาก ทำสีหน้าดูแคลน
ตอนนี้หลี่ไหวกับเผยเฉียนนั้น ฝ่ายแรกได้ตำแหน่งเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักสาขาย่อยภูเขาตงหัวภายใต้อำนาจการปกครองศูนย์บัญชาการเขตการปกครองหลงเฉวียน เพียงแต่ว่าเคยถูกไล่ออกจากตำแหน่งมาก่อน ภายหลังเฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษา บวกกับที่หลี่ไหวดึงดันทำหน้าหนา รับประกันว่าคราวหน้าผลคะแนนการบ้านของตนจะไม่เป็นอันดับสุดท้ายอีกแล้ว หลี่เป่าผิงถึงได้แสดงความเมตตา ยอมคืนสถานะในยุทธจักรให้แก่หลี่ไหว
ส่วนเผยเฉียนนั้น หลี่เป่าผิงบอกว่าต้องแยกเรื่องส่วนตัวและส่วนรวมออกจากกันอย่างชัดเจน ประสบการณ์ของเผยเฉียนยังน้อยเกินไป ได้แต่เป็นลูกศิษย์ผู้ได้รับการบันทึกชื่อในนามของเจ้าประมุขน้อยแห่งหอพักในระดับล่างสุดเท่านั้น เผยเฉียนรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้ว หลี่ไหวก็ยิ่งรู้สึกว่าดี มีตำแหน่งขุนนางสูงกว่าองค์หญิงที่ระหกระเหินอยู่ในหมู่ชาวบ้านอย่างเผยเฉียนหนึ่งระดับ เป็นเหตุให้หลิวกวานกับหม่าเหลียนสองคนต่างก็กลายเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อภายใต้การปกครองของหลี่เป่าผิงผู้นำแห่งยุทธจักรไปด้วย แต่เพื่อนร่วมห้องสองคนนี้ของหลี่ไหวคือปราชญ์ดื่มสุราที่ไม่ได้หวังเสพรสชาติของสุรา หลิวกวานจอมเจ้าเล่ห์มารวมกลุ่มเพราะสถานะเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์ขององค์หญิงอย่างเผยเฉียน ส่วนหม่าเหลียนที่มาจากตระกูลระดับชั้นสูงสุดของต้าสุยแค่เห็นหลี่เป่าผิงก็หน้าแดง แม้แต่จะพูดก็ยังพูดไม่เป็นคำ
ชุยตงซานเดินอาดๆ เข้ามาในลานบ้าน ในมือกระชากขาข้างหนึ่งของกวางขาวที่น่าสงสารตัวนั้นเอามาโยนลงกลางลานบ้านด้วย
ดูเหมือนว่าชุยตงซานจะช่วยคลายตราผนึกให้กับกวางขาวแล้ว มันจึงกลับคืนมาเป็นสัตว์เทพที่มีสติปัญญาอีกครั้ง เพียงแต่ว่าจิงชี่เสินยังไม่ฟื้นกลับคืน ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงเล็กน้อย มันกลิ้งไถลอยู่ในลานบ้านช่วงระยะทางหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดไปด้วย
ไม่มีภาพความงดงามของเสียงกวางร้องอันไพเราะอย่างที่บันทึกไว้ในตำราแม้แต่น้อย
หลี่ไหวเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ “นี่ก็คือกวางขาวที่อยู่ข้างกายอาจารย์จ้าวท่านนั้น? ชุยตงซานเจ้าไปขโมยมาได้อย่างไร? ข้าวแยกวงของข้ากับเผยเฉียนคืนนี้จะให้กินเจ้านี่หรือ? ไม่ค่อยเหมาะกระมัง?”
เผยเฉียนเกือบจะน้ำลายไหล นางรีบยกมือเช็ดมุมปากแล้วหันไปขยิบตาให้หลี่ไหว
หลี่ไหวกระแอมอยู่สองสามที “กินเนื้อกวางย่างก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ข้ายังไม่เคยกินมาก่อนเลย”
หลี่ไหวหันไปตะโกนพูดกับเฉินผิงอันเสียงดัง “เฉินผิงอัน เจ้าพกน้ำมันกับเกลือมาด้วยใช่ไหม?!”
เฉินผิงอันด่ายิ้มๆ “กินเนื้อกวาง? เจ้าอยากกินไม้บรรทัดหรือไม้เรียวจากอาจารย์ของสำนักศึกษาทั้งปีบ้างหรือไม่?”
หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ “ชุยตงซานเป็นคนขโมย พ่อครัวผู้เฒ่าเป็นคนฆ่า เจ้าเฉินผิงอันเป็นคนย่าง ข้าก็แค่ห้ามความอยากกินไว้ไม่อยู่ แล้วยังถูกหลินโส่วอียุแยงอีก ก็เลยกินไปสองสามคำ นี่ก็ผิดด้วยหรือ?”
ชุยตงซานพลันร้องเอ๊ะขึ้นมา เขานั่งยองลงบนพื้น มองกวางขาวตัวนั้นถึงสังเกตเห็นว่ามันกำลังจ้องหลี่ไหวอยู่
หลี่ไหวก็สังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน เขารู้สึกว่าสายตาของกวางขาวเหมือนคนที่มีชีวิตเกินไปแล้ว จึงอดร้อนตัวขึ้นมาไม่ได้
กวางขาวโงนเงนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเข้าหาหลี่ไหวช้าๆ
ทำเอาหลี่ไหวตกใจจนฉี่ราด เขาหันตัวกลับ ใช้ทั้งมือทั้งเท้าตะเกียกตะกายพุ่งไปที่ห้องหลักอย่างรวดเร็ว
กวางขาวกระโดดเบาๆ หนึ่งทีก็ไปอยู่บนระเบียงไม้ไผ่มรกต แล้วตามหลี่ไหวเข้าไปในห้อง
เฉินผิงอันมองชุยตงซานด้วยสายตาเคลือบแคลง
ชุยตงซานยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง นี่คือโชคดีขี้หมาที่เจ้าเด็กหลี่ไหวผู้นี้มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่งอยู่ในบ้านก็มีเรื่องดีๆ หล่นจากฟ้ามาใส่หัว กวางขาวที่มีสติปัญญาตัวนี้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับหลี่ไหว รอให้ต้าสุยเจอตัวจ้าวซื่อแล้ว ข้าค่อยพูดเรื่องนี้กับเจ้าหมอนั่นให้ชัดเจน เชื่อว่าหลังจากนี้สำนักศึกษาซานหยาต้องมีกวางขาวเพิ่มมาอีกตัวแน่นอน”
เฉินผิงอันคลึงขมับ
ไม่เสียแรงที่เป็นหลี่ไหว
ครู่หนึ่งต่อมาหลี่ไหวที่ขี่อยู่บนกวางขาวก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาจากห้อง พูดโอ้อวดกับหลี่เป่าผิงและเผยเฉียนว่า “สง่างามน่าเกรงขามหรือไม่?”
หลี่เป่าผิงคร้านจะสนใจเขา เดินไปนั่งข้างกายอาจารย์อาน้อย
เผยเฉียนพยักหน้ารับ รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเฉินผิงอัน พูดอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์ เมื่อไหร่ข้าถึงจะมีลาน้อยกับเขาสักตัวล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ข้าจะช่วยดูให้เจ้าว่ามีลาตัวไหนที่เหมาะสมหรือไม่”
เผยเฉียนยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง
ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสือโหรว สือโหรวลุกขึ้นมานั่งพิงผนังของระเบียงแล้ว เพียงแต่คิดจะลุกขึ้นยืนยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับชุยตงซาน นางหวาดกลัวอย่างมาก ถึงขั้นไม่กล้าเงยหน้าสบตากับชุยตงซาน
ชุยตงซานนั่งยองลงแล้วขยับตัวหันแผ่นหลังเข้าหาเฉินผิงอันพอดี
ปากก็เอ่ยคำพูดปลอบใจ แต่กลับทำท่าทางบางอย่างที่ทำให้สือโหรวรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย อีกทั้งยังเปิดปากบอกใครไม่ได้
สือโหรวค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าตัวเองขยับไม่ได้แล้ว นางได้แต่มองใบหน้าน่าสะพรึงกลัวที่ค่อยๆ ผุดรอยยิ้มเย็นชาของชุยตงซาน
โชคดีที่เฉินผิงอันพูดประโยคหนึ่งซึ่งเมื่อดังเข้าหูสือโหรวแล้วก็ไม่ต่างจากเสียงสวรรค์ “เก็บกระบี่ก็เก็บกระบี่ อย่าเล่นตุกติกอะไร”
ชุยตงซานยู่หน้า ร้องเฮ้อหนึ่งที
เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ตรงนั้นดื่มเหล้าช้าๆ มองเรือนหลังเล็กที่ค่อนข้างแออัด เมื่อเทียบกับปีนั้นที่เดินทางมาขอศึกษาต่อในต้าสุย คราวนี้มีจูเหลี่ยนและเผยเฉียนเพิ่มขึ้นมา และยังมีสือโหรวอีกคน แต่ขาดมือกระบี่ที่สวมงอบห้อยดาบคนนั้น
เฉินผิงอันเก็บความคิดวุ่นวายทั้งหลายลง พลันหันไปมองแผ่นหลังของชุยตงซานแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอคิดดูอีกสักหน่อย”
ชุยตงซานกำลังตั้งใจกำราบกระบี่บินหลีหว่อที่เริ่มหลบซ้ายหลบขวาอยู่ในคราบร่างเทพเซียน ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินประโยคนี้
—–