กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 413 ออกจากเมืองและขึ้นเขา
เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นในสำนักศึกษาซานหยาย่อมไม่มีทางที่จะไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด และต้นตอของหายนะก็คือจ้าวซื่อที่รองเจ้าขุนเขาบางท่านเชื้อเชิญให้มาสอนหนังสือ ดังนั้นพอเหมาเสี่ยวตงไปพูดคุยกับรองเจ้าขุนเขาซึ่งมีชาติกำเนิดจากตระกูลขุนนางของต้าสุยแล้ว สุดท้ายก็แยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ รองเจ้าขุนเขาท่านนั้นรู้สึกเหมาเสี่ยวตงกำลังกำจัดคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับตัวเอง จงใจสาดน้ำโคลนสกปรกมาใส่ตน จึงโยนภาระหน้าที่ทิ้ง บอกว่าจะไม่เป็นรองเจ้าขุนเขาแล้ว จะไปอยู่ในห้องหนังสือของตัวเอง ทางสำนักจะตั้งศาลเตี้ยลงโทษหรือเหมาเสี่ยวตงจะบอกให้ราชสำนักต้าสุยฆ่าล้างตระกูลของเขา เขาก็จะยอมรับ สุดท้ายโหวกเหวกเสียงดังว่าเจ้าเหมาเสี่ยวตงอย่าได้คิดจะใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
เหมาเสี่ยวตงถูกตาแก่คร่ำครึผู้นั้นทำให้โมโหไม่น้อย ดังนั้นจึงปล่อยหมาออกไปกัดคน บอกให้ชุยตงซานจัดการ
ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง กระโดดโลดเต้นไปพูดคุยเปิดอกกับอีกฝ่าย ไม่ถึงครึ่งชั่วยามชุยตงซานก็เดินตุปัดตุเป๋มาขอความดีความชอบที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง บอกว่ารองเจ้าขุนเขาคนนั้นไม่มีปัญหา จ้าวซื่อก็ไม่มีปัญหา นี่เป็นเพียงแค่หายนะที่มาเยือนโดยที่ใครไม่ทันตั้งตัวจริงๆ เหมาเสี่ยวตงไม่ค่อยวางใจนัก เขารู้สึกว่าสีหน้าของชุยตงซานเหมือนหนูที่แอบขโมยกินไก่น่องไก่ จำต้องเอ่ยเตือนไปคำหนึ่งว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความปลอดภัยของพวกหลี่เป่าผิง หากเจ้าชุยตงซานกล้าเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นของส่วนตัว ใช้อุบายต่ำช้าคิดทำร้ายคนอื่น…ไม่รอให้เหมาเสี่ยวตงพูดจบ ชุยตงซานก็ตบอกรับรองว่าเขาทำงานด้วยใจที่เที่ยงตรงเป็นกลางจริงๆ
เหมาเสี่ยวตงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
และเพียงไม่นานชุยตงซานก็เดินอาดๆ ออกมาจากสำนักศึกษา ใช้หนังหน้ากากที่เพิ่งปลดมาจากใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด บวกกับเวทอำพรางตาที่ไม่ธรรมดาอีกเล็กน้อยเดินเข้าไปในจุดพักม้าที่ต้าหลีสร้างขึ้นใหม่ในเมืองหลวงอย่างเปิดเผย ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ทูตของต้าหลีมาพักแรม
เหมาเสี่ยวตงลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังลงจากภูเขา แต่ไม่ได้แอบติดตามชุยตงซานไป
วัตถุดิบวิเศษที่เฉินผิงอันจะใช้ในการหล่อหลอมหัวใจบุ๋นสีทอง สองชิ้นสุดท้ายที่ขาดไปยังจำเป็นต้องอาศัยมิตรภาพส่วนตัวในการไปหามา
ทางศาลบุ๋นของเมืองหลวงต้าสุยก็ยังต้องไปเยือน
แต่ตอนนี้ต้องดูท่าทีของฮ่องเต้ต้าสุยเสียก่อนว่าจะจับกลุ่มคนที่เข้าร่วมการลอบสังหารอย่างไช่เฟิง เหมียวเริ่นขังคุกด้วยวิธีการที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เพื่อมอบคำอธิบายให้แก่สำนักศึกษาซานหยา หรือจะทำตัวเลอะเลือน คิดทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นไม่มีเรื่องเลย สำหรับเรื่องนี้เหมาเสี่ยวตงคิดอย่างเรียบง่าย หากราชสำนักต้าสุยจัดการอย่างคลุมเครือ ถ้าเช่นนั้นในเมื่อสำนักศึกษาสร้างอยู่บนภูเขาตงหัว สำนักศึกษาซานหยาจะยังคงทำการเปิดสอนดังเดิม เหมาเสี่ยวตงจะไม่มีทางใช้คำกล่าวว่าสำนักศึกษาดำรงอยู่รุ่งเรือง สำนักศึกษาทอดทิ้งตกต่ำไปข่มขู่สกุลเกาเกอหยางเด็ดขาด แต่เขาเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ที่ไม่มีโทสะ ภายใต้เปลือกตาของฮ่องเต้อย่างเจ้า ข้าเหมาเสี่ยวตงถูกนักฆ่าห้าคนล้อมสังหาร แล้วยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดบุกเข้าไปฆ่าคนถึงในสำนักศึกษา เมืองหลวงแห่งนี้เป็นห้องส้วมผุพังที่ลมพัดเข้าได้จากแปดทิศหรืออย่างไร?
ขโมยขโจรนึกอยากจะเข้าก็เข้า นึกอยากจะออกก็ออกงั้นรึ?
ถ้าอย่างนั้นเหมาเสี่ยวตงก็ไม่ถือสาหากจะไปเยือนศาลบุ๋นและสถานที่อื่นๆ ที่มีโชคชะตาบุ๋นรวมตัวกัน แล้วกวาดเอาโชคชะตาบุ๋นของสถานที่เหล่านั้นมาโดยไม่เลือกวิธีการ ส่วนข้อที่ว่าเหมาเสี่ยวตงที่ขนย้ายสิ่งของไปแล้วจะยังทิ้งประโยคว่า ‘เหมาเสี่ยวตงเคยมาเยือนที่นี่’ ไว้บนผนังหรือไม่ ก็ต้องดูที่อารมณ์ของเขา ถึงอย่างไรสกุลเกาเกอหยางก็ทำตัวหน้าไม่อายก่อน
ชุยตงซานไม่ได้รั้งรออยู่ที่จุดพักม้านานนัก เพียงไม่นานเขาก็กลับมาถึงสำนักศึกษา
เฉินผิงอันกำลังศึกษาพิจารณาเรื่องการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการ ‘ขอยืม’ ชะตาบุ๋นมาจากต้าสุยที่จำเป็นต้องวางแผนกันใหม่ หลินโส่วอีไปขอคำตอบไขปัญหายากในการฝึกตนจากต่งจิ้งผู้รอบรู้ เด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิงหลี่ไหวเริ่มเข้าเรียนกันต่อ เผยเฉียนถูกหลี่เป่าผิงลากให้ไปเรียนด้วยกัน บอกว่าอาจารย์ยอมอนุญาตให้เผยเฉียนไปนั่งเรียนด้วย ปากเผยเฉียนพูดขอบคุณพี่หญิงเป่าผิง แต่อันที่จริงในใจกลับทุกข์ระทม
จูเหลี่ยนไปเดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาเพียงลำพังต่ออีกครั้ง
ดังนั้นในเรือนพักตอนนี้จึงเหลือแค่เซี่ยเซี่ยกับสือโหรว
ตอนที่ชุยตงซานเดินยิ้มตาหยีกลับเข้ามาในเรือน เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวต่างก็รู้ว่าท่าไม่ดี มีความรู้สึกว่าจะต้องเจอกับหายนะ
กระบี่บินหลีหว่อเล่มที่อยู่ในหน้าท้องของสือโหรวถูกชุยตงซานใช้เวทลับดึงออกไปจากคราบร่างเซียนแล้ว ตอนนั้นสือโหรวรู้สึกไม่ต่างจากสตรีให้กำเนิดบุตร เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่ง นึกสงสัยว่าชุยตงซานจงใจทำเช่นนั้น เพียงแต่สือโหรวกลับไม่กล้าแสดงออก
ชุยตงซานสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง เดินขึ้นบันไดไปนอนอยู่บนระเบียง ปากก็พูดบ่นว่า “คนมีความสามารถต้องเหนื่อยยาก ลำบากคุณชายของเจ้าแล้วจริงๆ”
เซี่ยเซี่ยกับสือโหรวนั่งอยู่บนระเบียงห่างไปไม่ไกล ไม่กล้าหายใจเสียงดัง
ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง “พวกเจ้าไปเอาโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีสองใบและกระดานหมากมาสิ”
หัวใจเซี่ยเซี่ยหดรัดตัว สีหน้าซีดขาว ได้แต่ไปยกกระดานหมากและโถเครื่องเคลือบลายครามสองใบมาพร้อมกับสือโหรว
ชุยตงซานเปิดฝาโถแล้วคีบเม็ดหมากออกมาหนึ่งเม็ด เป่าลมใส่หนึ่งที เช็ดถูอย่างระมัดระวังแล้วพลันเบิกตากว้าง สองนิ้วคีบเม็ดหมากเมฆหลากสีที่ได้มาจากวิธีการหลอมใหญ่ ‘กลั่นเป็นหยด’ ของหอแก้วหลากสีนครจักรพรรดิขาวชูขึ้นสูง ภายใต้แสงแดดสาดส่อง มันสะท้อนประกายแสงเรืองรอง เขาใช้สองนิ้วบิดหมุนเบาๆ ไม่รู้ว่าทำไม บริเวณโดยรอบของเม็ดหมากเมฆหลากสีที่อยู่บนปลายนิ้วของชุยตงซานถึงมีไอหมอกแผ่อบอวล ไอน้ำลอยกรุ่น คล้ายก้อนเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวที่สมชื่ออย่างแท้จริง
ชุยตงซานหันหน้ามาจ้องเซี่ยเซี่ย
ในใจเซี่ยเซี่ยประหวั่นพรั่นพรึง หรือว่าเม็ดหมากเมฆหลากสีนี้ถูกพวกหลี่ไหวเผยเฉียนกระทบกระแทกจนเกิดตำหนิ?
ชุยตงซานพลันหัวเราะร่าเสียงดัง “เรื่องนี้เจ้าทำได้ดีนัก ช่วยเพิ่มหน้าตาให้แก่คุณชายไม่น้อย ไม่อย่างนั้นอาศัยฝีมือในการควบคุมใจกลางค่ายกลที่ห่วยแตกของเจ้าเซี่ยเซี่ยครั้งนี้ ข้าคงทนไม่ไหวขับไล่เจ้าออกจากบ้านไปแล้ว เลี้ยงดูมานานขนาดนี้ ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้อยปียากจะพานพบของราชวงศ์สกุลหลู ผู้มีคุณสมบัติที่จะเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอนอะไรนั่น จะดีกว่าหลินโส่วอีได้แค่ไหนกันเชียว? ข้าว่าเป็นแค่คนมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญนี่แหละ”
เซี่ยเซี่ยกล่าวอย่างขลาดๆ “คุณชายไม่โทษที่ข้าปล่อยให้พวกเผยเฉียนหลี่ไหวย่ำยีเม็ดหมากเมฆหลากสีหรอกหรือ?”
ชุยตงซานตบหน้าผากตัวเอง “เจ้านี่มันโง่จริงๆ แต่คนโง่ก็มีโชคของคนโง่”
หากเซี่ยเซี่ยแสดงออกถึงความตระหนี่ถี่เหนียว นั่นก็ไม่เท่ากับว่าเขาชุยตงซานอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวด ชักนำนางไปในทางที่ดีไม่ได้หรอกหรือ? ถึงสุดท้ายแล้วอาจารย์ของตนจะตำหนิใคร?
สำหรับในใจของอาจารย์แล้ว เม็ดหมากเมฆหลากสีสองโถมีค่าสำคัญเท่ากับขนเส้นหนึ่งของหลี่เป่าผิง เผยเฉียนและหลี่ไหวหรือไม่?
ชุยตงซานอารมณ์ดีอย่างยิ่ง โยนเม็ดหมากเมฆหลากสีกลับเข้าไปในโถ เสียงกริ้งดังกังวานคล้ายจะไปสัมผัสโดนตราผนึกของเวทลับบางอย่าง โถใบนั้นจึงปรากฏภาพอันมหัศจรรย์ มีเมฆหลากสีลอยขึ้นมาเหนือโถเก็บเม็ดหมาก ในกลุ่มเมฆพอจะมองเห็นเค้าโครงร่างของนครจักรพรรดิขาวขนาดจิ๋วได้อย่างเลือนราง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสายรุ้งพาดผ่านท้องนภา กระเรียนเซียนสีขาวหิมะขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหลายตัวพากันส่งเสียงร้องแหลมยาวดังสะท้อนไปทั่วนภากาศ
สือโหรวที่มองอยู่ถึงกับจิตใจแกว่งส่าย ชุยตงซานผู้นี้ซุกซ่อนความลับไว้มากมายเพียงใดกันแน่?
ชุยตงซานคลี่ยิ้มจริงใจให้เซี่ยเซี่ยได้เห็นเป็นครั้งแรก เขากล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร เรื่องนี้เจ้าทำได้ดี แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายอย่างข้าก็แบ่งแยกการลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจน ว่ามาเถอะ อยากได้อะไรเป็นรางวัล ขอแค่เจ้าพูดมาก็พอ”
เซี่ยเซี่ยมองพญามารชุดขาวที่เหมือนคนแปลกหน้าสำหรับนาง ความคิดนับร้อยตีกันให้วุ่น
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที ลุกขึ้นยืน ยื่นนิ้วมาชี้เซี่ยเซี่ยแล้วเอ่ยสั่งสอนว่า “บุคคลยิ่งใหญ่พูดจาโอภาปราศรัยอย่างอ่อนโยนแค่ไม่กี่คำก็ทำให้คนมากมายซาบซึ้งในพระคุณ จดจำไว้ขึ้นใจ แบบนี้ดีจริงๆ หรือ?”
เซี่ยเซี่ยรู้สึกเหมือนตกสู่หลุมน้ำแข็ง
ชุยตงซานเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเซี่ยเซี่ย ฝ่ายหลังแขนขาแข็งทื่อ ชุยตงซานยื่นมือมาตบข้างแก้มของนาง แต่ไม่ได้ออกแรงมากนัก “ไม่เป็นไร เมื่อเทียบกับช่วงแรกแล้ว ถือว่าเจ้ามีพัฒนาการไปมาก แค่นี้ก็พอแล้ว”
ชุยตงซานยกมือขึ้น แบฝ่ามือออกมา กระบี่บินหลีหว่อที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาเล่มนั้นหมุนคว้างอยู่บนฝ่ามือของเขาช้าๆ กระบี่บินทั้งเล่มเป็นสีแดงสด มีประกายไฟอันเป็นแก่นแท้บริสุทธิ์แวววาวล้อมวน
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ไม่มีเจ้าของเล่มนี้ ข้ามอบให้เจ้า จงตั้งใจฝึกตนให้ดี ไม่คาดหวังว่าจะหลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยากเกินไป เจ้าแค่ต้องเก็บซ่อนมันไว้ในช่องโพรงลมปราณบางแห่ง สามารถเอามาใช้เป็นท่าไม้ตายที่เก็บไว้ก้นกรุ ถึงเวลานั้นแม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่เวลารับมือกับศัตรู โอกาสชนะก็จะมีมากขึ้น อย่าทำให้คุณชายของเจ้าต้องขายหน้า อย่าเห็นว่าตอนนี้ขอบเขตของหลินโส่วอีไม่สูง นั่นเป็นเพราะต่งจิ้งจงใจกดขอบเขตของหลินโส่วอีเอาไว้ หากเจ้าไม่ตั้งใจให้มากหน่อย สักวันย่อมต้องถูกหลินโส่วอีไล่ตามมาทัน”
เซี่ยเซี่ยเห็นว่าชุยตงซานไม่เหมือนกำลังล้อเล่น จึงปรับปราณวิญญาณบังคับกระบี่บินหลีหว่อให้พุ่งมาที่มือของตัวเองอย่างระมัดระวัง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง
นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าทรัพย์สมบัติแทบทั้งหมดและแรงกายแรงใจเกือบทั้งชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดท่านหนึ่งล้วนมารวมอยู่ในวัตถุเล็กๆ ชิ้นนี้เกือบหมดแล้ว
หากเอามาหักเป็นเงินเทพเซียน อย่างน้อยก็มีค่าถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืชหรือมากกว่านั้น!
ตอนที่ราชวงศ์สกุลหลูเจริญรุ่งเรืองสุดขีดและยังไม่ล่มสลาย ภาษีของแคว้นในหนึ่งปีได้สักกี่มากน้อยกันเชียว?
ชุยตงซานมองเซี่ยเซี่ยที่น้ำตานองหน้า เป็นเพราะบนใบหน้าสวมหน้ากากหนัง ใบหน้าของนางจึงเป็นใบหน้าดำเกรียมอัปลักษณ์
ชุยตงซานหุบสองขาเข้าด้วยกัน กระโดดเหยงถอยไปด้านหลัง สถบด่าเสียงดัง “หน้าตาทุเรศทุรังแบบนี้ยังจะร้องไห้อีก เจ้าคิดจะทำให้คุณชายของเจ้าอย่างข้าตกใจตายหรือไร?!”
เซี่ยเซี่ยอับอายสุดขีด รีบหันหน้าไปเช็ดน้ำตาทางอื่น
ชุยตงซานโน้มตัวลง งอนิ้วกระดิกเรียกสือโหรว “น้องสาว มานี่ พวกเรามาพูดคุยกันหน่อย ตลอดทางมานี้เจ้าปกป้องอาจารย์ของข้า ไม่มีคุณความชอบก็ถือว่าพอจะมีคุณความเหนื่อยยาก ครั้งนี้ยังช่วยข้าจับกระบี่บินหลีหว่อมาได้เล่มหนึ่ง ข้าต้องตอบแทนเจ้าดีๆ ซะแล้ว”
สือโหรวขนลุกขนชัน ส่ายหน้าอย่างแรง
ลางสังหรณ์บอกกับนางว่า หากเดินเข้าไปหาเขาจะเจอกับสถานการณ์ที่อยู่ไม่สู้ตาย
ชุยตงซานแสยะยิ้ม พลันบิดหมุนข้อมือ เห็นเพียงว่าตรงหน้าท้องของเซี่ยเซี่ยระเบิดบุปผาเลือด ตะปูกักมังกรตัวหนึ่งถูกชุยตงซานใช้วิธีการที่ป่าเถื่อนดึงออกมาจากช่องโพรงลมปราณ จากนั้นเขาก็คว้าจับความว่างเปล่า กระชากสือโหรวมาด้านหน้า แล้วตบเข้าที่หน้าผากของนาง ตอกตะปูกักมังกรตัวนั้นผลุบเข้าไปในหว่างคิ้วของตู้เม่า เข้าไปในแสงมืดมนท่ามกลางจิตวิญญาณของสือโหรว
เซี่ยเซี่ยนอนพังพาบอยู่กับพื้น เอามือกุมหน้าท้อง แม้ว่าจะเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า สีหน้าท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง แต่ในใจกลับปิติยินดี
ชุยตงซานงอห้านิ้วจับศีรษะสือโหรว ก้มหน้าลงมองสือโหรวที่จิตวิญญาณคร่ำครวญหวนไห้ไม่หยุด ทว่ากลับไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่น้อย เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รสชาติเป็นอย่างไร?”
จิตวิญญาณของสือโหรวถูกชักดึง แม้แต่คราบร่างเซียนเหรินของตู้เม่าก็ยังเริ่มชักกระตุกอย่างรุนแรง
ชุยตงซานจ้องนิ่งไปที่ดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยแวววิงวอนร้องขอของสือโหรว ถามเบาๆ ว่า “ต้องให้ข้าบอกเจ้าหรือไม่ว่าควรทำอย่างไร?”
สติสัมปชัญญะของสือโหรวเริ่มเลือนราง หากชุยตงซานยังทำต่อ ไม่แน่วาจิตวิญญาณของนางอาจแหลกลาญ และบนโลกนี้ก็ไม่มีสือโหรวอยู่อีกต่อไป เมล็ดพันธ์สีทองแห่งสติปัญญาเสี้ยวสุดท้ายของสายเต๋าเมล็ดนั้น เกรงว่าคงแห้งเหี่ยวไปตาม ‘ผืนนาในหัวใจ’ ของสือโหรวและย่อยสลายอย่างสิ้นเชิงตามไปด้วย
ชุยตงซานแค่นเสียงหยันเบาๆ หนึ่งที ยื่นมือมากลางอากาศแล้วกดเบาๆ ร่างของสือโหรวก็กระแทกลงบนระเบียงไผ่มรกต “หากกล้าพูดออกไป จุดจบของเจ้าในวันหน้าจะอเนจอนาถกว่าตอนนี้เป็นพันเป็นหมื่นเท่า”
ร่างของสือโหรวที่อยู่ในระเบียงกระตุกเยือกๆ อยู่เป็นระยะ
เซี่ยเซี่ยที่อยู่ด้านข้างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามแม้แต่น้อย
ชุยตงซานเตะสือโหรวจนร่างของนางวาดวงโค้งร่วงเข้าไปในห้องหลัก จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับเซี่ยเซี่ย “เตรียมตัวรับแขก”
ไม่นานต่อมา หลี่ไหวและอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งก็มาปรากฎตัวที่หน้าประตูเรือน ด้านหลังคือกวางขาวตัวนั้น
เขาก็คือจ้าวซื่อผู้รอบรู้ แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาส่วนตัว ลูกศิษย์ในสายของอริยะใหญ่ลู่แห่งสำนักศึกษาเอ๋อหูทักษินาตยทวีปตัวจริง
ชุยตงซานยืนเท้าเปล่าอยู่บนขั้นบันได กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “จ้าวซื่อ ครั้งนี้เจ้าออกจากบ้านคงไม่ได้ดูปฏิทินเหลืองสินะ? ไม่เพียงแต่ถูกคนตีสลบเอาถุงผ้าป่านคลุมหัว แม้แต่สมบัติประจำตัวที่มีชื่อเสียงในหมู่ปัญญาชนก็ยังทำหายไปด้วย”
จ้าวซื่อที่บนหน้าผากยังมีรอยบวมแดงยิ้มบางๆ “ได้มาครองคือความโชคดีของข้า สูญเสียไปคือโชคชะตาของข้า”
ชุยตงซานแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “ทำไม แม้แต่กวางขาวตัวนี้ก็ยังตัดใจมอบให้หลี่ไหวได้จริงๆ หรือ?”
จ้าวซื่อพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะอย่างไร ครั้งนี้มีคนเอาข้ามาเป็นจุดเชื่อมโยงของการลอบฆ่า ก็เป็นเพราะข้าจ้าวซื่อบกพร่องต่อหน้าที่ เดิมทีก็ควรมอบของขวัญแสดงการขออภัย ในเมื่อกวางขาวถูกชะตากับหลี่ไหว ด้วยเหตุด้วยผล ข้าก็ย่อมไม่มีทางรั้งกวางขาวเอาไว้”
ชุยตงซานลากเสียงอ้อยาวๆ หนึ่งทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าใคร่รู้อย่างยิ่งว่า เจ้าถูกคนตีสลบแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ไหน? แล้วทางการต้าสุยหาตัวเจ้าเจอได้อย่างไร?”
ตีคนไม่ตบหน้า ด่าคนไม่เปิดโปงข้อเสีย
แม้ว่าจ้าวซื่อจะอบรมบ่มเพาะตัวเองมาอย่างดีเยี่ยม ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้เป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาส่วนตัวที่ราชวงศ์จูอิ๋งให้ความเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด แต่ชุยตงซานพูดเรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเอาเรื่องนี้ สีหน้าของเขาจึงไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าใดนัก
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “หากผ่านหายนะครั้งใหญ่มาได้แล้วไม่ตายย่อมต้องมีโชคดีในภายหลัง จ้าวซื่อไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นคนมีโชควาสนา”
หลี่ไหวรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหว ถลึงตากล่าวว่า “ชุยตงซาน เจ้าพูดกับเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าจ้าวแบบนี้ได้อย่างไร?! เรียกชื่อของเขาออกมาตรงๆ เช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะกลับไปฟ้องเฉินผิงอัน?”
ชุยตงซานหัวเราะอย่างฉุนๆ “หลี่ไหว มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือไร ใครเป็นคนช่วยให้เจ้าได้โชควาสนาครั้งนี้มาครอง? อีกอย่างเจ้าสนิทกับใครมากกว่ากันแน่ เข้าข้างคนอื่นมากกว่าคนกันเองงั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะบอกให้หลี่เป่าผิงถอดชื่อเจ้าออก?”
หลี่ไหวแอบขยิบตาให้ชุยตงซาน บอกเป็นนัยให้รู้ว่าตัวเองกลัวว่าอาจารย์ผู้เฒ่าจะเปลี่ยนใจเอากวางขาวกลับไป เจ้าชุยตงซานรีบให้ความร่วมมือหน่อย
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเจ้าขุนเขาจ้าวดื่มชา” ชุยตงซานเดินลงมาจากขั้นบันได เซี่ยเซี่ยรีบยกอุปกรณ์ชงชามาวางบนโต๊ะหิน
ชุยตงซานเงยหน้ามองสีท้องฟ้า
สวี่รั่วคงจะได้พบกับคนเบื้องหลังแล้วกระมัง
พูดคุยกันดี ทุกเรื่องก็ล้วนพูดง่าย พูดคุยกันไม่ดี รักษาเมืองหลวงต้าสุยไว้ได้ครึ่งหนึ่งก็ถือว่าบรรพบุรุษสกุลเกาเกอหยางสั่งสมบุญกุศลไว้มากแล้ว
เพียงแต่ว่าคุยกันดีหรือไม่ดีก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาซานหยาสักเท่าไหร่
ตอนนี้ชุยตงซานไม่ใช่ชุยฉานอีกแล้ว
เขาต้องการดินแดนที่สงบ ต้องการให้ในใจมีดินแดนสุขาวดีอยู่แห่งหนึ่ง
……
ในขณะที่ชุยตงซานกับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้าวซื่อดื่มชากัน
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนหนึ่งคุยกับคนผู้หนึ่งเสร็จแล้วก็ไปหาอาจารย์ฟ่านท่านนั้นเพื่อออกจากเมืองไปด้วยกัน
อาจารย์ฟ่านที่มองดูแล้วอายุยังน้อยถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุยกันรู้เรื่องแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “คุยกันได้พอสมควรแล้ว แค่ความสะดวกส่วนตัว ก็เลยไม่ค่อยจะสะใจเท่าไหร่”
อาจารย์ฟ่านถามอย่างประหลาดใจ “หมายความว่ายังไง?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “บัญชีเลอะเลือนเก่าเก็บมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ไม่กล้าเอามาพูดให้ระคายหูอาจารย์ฟ่าน”
อาจารย์ฟ่านยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
คำพูดสกปรก?
ต้องรู้ว่าเขาถูกด่ามานานหลายปีขนาดนี้ อีกทั้งคนที่ด่าเขาหากไม่ใช่อริยะลัทธิขงจื๊อ ก็ต้องเป็นบรรพบุรุษของสำนักอื่นในเมธีร้อยสำนัก หากเปลี่ยนมาเป็นคนปกติ ป่านนี้ก็คงถูกด่าจนตายไปแล้ว
ผู้เฒ่าเองก็คงตระหนักได้ถึงข้อนี้ จึงไม่ปิดบังอะไรอีก ยิ้มเล่าว่า “อาจารย์ฟ่านคงจะรู้กระมังว่าเจ้าเด็กสวี่รั่วมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนผู้นั้นมาโดยตลอด?”
อาจารย์ฟ่านพยักหน้ารับ “เคยได้ยินมาก่อน สวี่รั่วเลื่อมใสคนผู้นั้นมาก”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “แต่ข้าจะพูดต่อหน้าสวี่รั่วผู้นั้นว่าอาเหลียงไม่เห็นจะมีอะไรร้ายกาจตรงไหน ไม่ได้เก่งกาจเกินจริงอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันเลยสักนิด!”
อาจารย์ฟ่านถามอย่างสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงจะพูดอย่างนั้น?”
ดูเหมือนผู้เฒ่าจะนึกถึงวีรกรรมครั้งหนึ่งที่มีค่าในการนำมาคุยโวกับคนอื่นมากที่สุดในชีวิต เขาจึงพูดกลั้วหัวเราะอย่างฮึกเหิมและภาคภูมิใจ “ปีนั้นพวกเราสิบคนวางแผนล้อมสังหารเขา แต่ข้าก็ยังรอดมาได้ไม่ใช่หรือ?!”
อาจารย์ฟ่านอึ้งตะลึง ก่อนกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าจนคำพูดแล้ว”
……
นอกประตูตรงตีนภูเขาของสำนักศึกษาซานหยา
ชายหญิงสองคนที่ลักษณะเหมือนนายกับบ่าวมีท่าทางลังเลใจว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่
เขาอยากจะเข้าไปดู ไม่รู้ว่าเมื่อเทียบกับสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นบ้านเกิดของตนแล้วจะดีกว่าหรือไม่ ส่วนนางไม่ค่อยอยากจะเข้าไปเท่าไหร่ บอกว่าสถานที่อย่างสำนักศึกษานี้ นางไม่ชอบยิ่งกว่าโรงเรียนเสียอีก
สุดท้ายจึงมีเพียงเขาคนเดียวที่ขึ้นเขาเข้าไปในสำนักศึกษา
ส่วนนางรออยู่ตรงหน้าประตูเพียงลำพัง
คนเฝ้าประตูแซ่เหลียงแสร้งทำเป็นหรี่ตางีบหลับ จงใจทำเป็นมองไม่เห็นคนทั้งสอง
ช่างเป็นปราณมังกรที่เข้มข้นยิ่งนัก
แต่บนร่างของหญิงสาวกลับมีปราณมังกรที่เข้มข้นยิ่งกว่า
—–