กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 421.2 สายน้ำและภูเขายังคงเดิม
สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นบุตรสาวของเจียวเฒ่า และยังเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาจวนจื่อหยางยิ้มกล่าวว่า “ย่อมไม่ แต่ข้าหวังจริงๆ ว่าคุณชายเฉินจะไปพักอยู่ที่จวนจื่อหยางสักวันสองวัน ทัศนียภาพของที่นั่นไม่เลวเลยจริงๆ ผลผลิตพิเศษบางอย่างบนภูเขาก็พอจะเอาออกมาโอ้อวดคนอื่นได้ หากคุณชายเฉินไม่รับปาก ข้าก็ไม่ถูกบิดาและเทพขุนเขาตำหนิ แต่หากคุณชายเฉินยินดีให้เกียรตินี้แก่ข้า คุณความชอบเล็กๆ น้อยๆ นี้ของข้าย่อมถูกบิดาผู้แยกแยะการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน และองค์เทพเว่ยจดจำไว้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องรบกวนผู้อาวุโสสักวันสองวัน?”
สตรีร่างสูงโปร่งที่เป็นเผ่าพันธ์เจียวหลงแคว้นสู่โบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันหยิบเรือลำน้อยแกะสลักจากผลเถาเหอขนาดเท่านิ้วก้อยออกมาแล้วโยนลงบนพื้น ไอน้ำพลันแผ่อบอวล เรือน้อยกลายเป็นเรือสูงสามชั้นที่ล้อมรอบด้วยราวไม้แกะสลักและภาพวาด บรรจุผู้คนสี่สิบห้าสิบคนได้ไม่เป็นปัญหา ยังดีที่ขณะที่หญิงสาวโยนสมบัติอาคมเหอเถาแกะสลักชิ้นนี้ออกไป นางได้โบกชายแขนเสื้อผลักให้คนเดินเท้าบนถนนล่องลอยไปอยู่สองฝากฝั่งของถนนเบาๆ ก่อนแล้ว
ขณะเดียวกันนางก็หยิบยันต์ปึกหนึ่งที่สีสันไม่เหมือนกันออกมาจากชายแขนเสื้อ พอปล่อยมือยันต์ก็ร่วงลงบนพื้น ปรากฏเป็นเด็กสาวรูปร่างสะโอดสะอง หน้าตางดงามหลายนาง มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา มองไม่ออกสักนิดเลยว่านาทีก่อนนี้พวกนางยังเป็นคนกระดาษปึกหนึ่ง
มือเท้าของพวกนางคล่องแคล่วว่องไว พุ่งขึ้นไปบนเรือแล้วพากันขนกระดานไม้ที่ใช้ขึ้นเรือออกมาอย่างรวดเร็ว
สตรีร่างสูงโปร่งยิ้มกล่าว “เชิญคุณชายขึ้นเรือ”
เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ รู้สึกว่าวันหน้าตนก็ต้องมีสมบัติสองชิ้นอย่างเรือหอเรือนและยันต์แบบนี้เช่นกัน ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อมาให้ได้ เพราะได้ครอบครองแล้วช่างมีหน้ามีตายิ่งนัก!
เฉินผิงอันตบศีรษะเผยเฉียนเบาๆ พานางเดินตามสตรีร่างสูงโปร่งขึ้นไปบนเรือด้วยกัน
ภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย เรือหอเรือนลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ ทะยานลมล่องไปด้วยความไวสุดขีด พริบตาเดียวก็ไปไกลสิบกว่าลี้
ยืนอยู่บนเรือตระกูลเซียนของบรรพบุรุษจวนจื่อหยางลำนี้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือแม่น้ำอวี้เจียงที่คดเคี้ยวทอดยาวเกือบพันลี้
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างราวรั้ว ทอดสายตามองภูเขาและแม่น้ำบนพื้นดินที่งดงามประหนึ่งภาพวาดไปพร้อมกับเผยเฉียน
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็คิดถึงบ้านเกิด คิดถึงเขตการปกครอง อำเภอและตลาดของเมืองเล็กจำนวนมากระหว่างเส้นทางที่มุ่งไปสู่เขตการปกครองหลงเฉวียน รวมไปถึงภูเขาสวยแม่น้ำใสระหว่างทางที่เฉินผิงอันจดจำไว้ในใจได้อย่างแม่นยำ
แล้วก็นึกถึงคนบางคนของที่บ้านเกิด
ตอนนั้นในบรรดาเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ติดตามสารถีหม่าของโรงเรียนออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู สุดท้ายหลี่ไหวกับหลินโส่วอีก็เลือกติดตามเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงมา
ต่งสุ่ยจิ่งกับสือชุนเจีย คนหนึ่งเลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด อีกคนหนึ่งติดตามครอบครัวย้ายไปอยู่เมืองหลวง
อันที่จริงความทรงจำที่เฉินผิงอันมีต่อพวกเขาก็ดีมาก คนหนึ่งนิสัยซื่อสัตย์เรียบง่าย สาเหตุคงจะเป็นเพราะมีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกัน ปีนั้นจึงทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยด้วยมากที่สุด ส่วนอีกคนหนึ่งคือแม่นางน้อยมัดผมแกละที่นิสัยร่าเริงน่ารัก มองดูแล้วก็รู้ว่าฉลาดเฉลียวงดงาม
เฉินผิงอันไม่รู้สึกว่าการเลือกของพวกเขานั้นผิด
ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังว่าภูเขาและแม่น้ำของบ้านเกิดยังคงเดิม ไม่ว่าจะคนอย่างต่งสุ่ยจิ่ง สือชุนเจียที่เลือกจะอยู่ต่อที่บ้านเกิด หรือคนอย่างพวกหลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่านและจ้าวเหยาที่เดินทางออกไปจากบ้านเกิด หวังว่าในใจพวกเขาจะยังคงมีภูเขาเขียวน้ำใสของบ้านเกิดอยู่ดังเดิม
แน่นอนว่าการเดินทางกลับบ้านเกิดครั้งนี้ เฉินผิงอันยังต้องไปเยือนจวนผีสาวสวมชุดแต่งงานที่แขวนป้ายอักษรคำว่าน้ำใสลมเย็นแห่งนั้นด้วย
กลับไปพูดคุยกับนางด้วยถ้อยคำที่ปีนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจมานาน
……
ท่ามกลางแสงสนธยา ร้านเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งแขวนป้ายปิดร้าน แต่กลับไม่ได้รีบร้อนปิดประตูหน้าร้านลง ค้าขายนานวันเข้าจึงรู้ว่าจะต้องมีผู้มีจิตศรัทธาบางส่วนที่ก่อนขึ้นเขาได้นัดหมายกับทางร้านไว้ก่อนแล้วว่าพอลงจากเขาแล้วจะมาซื้อเกี้ยวน้ำซึ่งจะต้องมาสายไปชั่วครู่ชั่วยาม ดังนั้นต่อให้ต่งสุ่ยจิ่งจะแขวนป้ายไม้ว่าร้านปิดแล้ว ก็ยังจะรออีกประมาณครึ่งชั่วยาม แต่สุยต่งจิ่งจะไม่ให้ลูกจ้างร้านสองคนที่เพิ่งจ้างมาใหม่มารอลูกค้าพร้อมกับเขาด้วย ถึงเวลานั้นหากมีลูกค้ามาเยือน ต่งสุ่ยจิ่งก็จะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง ต่อให้ลูกจ้างร้านที่มีชาติกำเนิดยากจนทั้งสองคนจะอยากร่วมทุกข์ร่วมสุขไปพร้อมกับเถ้าแก่ ต่งสุ่ยจิ่งก็ไม่ยอม
ร้านขายเกี้ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ คนมีเงินมากมายที่มาสร้างจวนใหม่ขึ้นในเขตการปกครองหลงเฉวียนต่างก็เชื้อเชิญให้ต่งสุ่ยจิ่งไปเปิดร้านเพิ่มอีกสองร้านที่เขตการปกครอง เพียงแต่ว่าต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม
นอกจากร้านเกี้ยวน้ำกึ่งกลางภูเขาที่บนยอดเขามีศาลเทพภูเขาแห่งนี้แล้ว เงินก้อนใหญ่ที่ปีนั้นต่งสุ่ยจิ่งได้จากการขายบ้านบรรพบุรุษหลังหนึ่งในเมืองเล็ก เขาก็ได้เอาไปซื้อบ้านครึ่งถนนที่เขตการปกครองแห่งใหม่ไว้ตั้งนานแล้ว นอกจากจะเก็บบ้านหลังหนึ่งเอาไว้ บ้านหลังอื่นๆ ล้วนปล่อยให้เช่าทั้งหมด
ต่งสุ่ยจิ่งยังคงเป็นคนในพื้นที่กลุ่มแรกสุดที่สามารถเก็บตกของดีได้ทั่วสารทิศ ในกลุ่มเพื่อนบ้านสองฝากฝั่งของบ้านบรรพบุรุษสองหลัง มีคนแก่และหญิงหม้ายไม่น้อยที่เกิดและเติบโตมาในเมืองเล็กที่นิสัยดึงดันถือทิฐิ ต่อให้คนนอกให้ราคาสูงเทียมฟ้าเพื่อขอซื้อวัตถุตกทอดจากบรรพบุรุษของพวกเขา ให้ตายพวกเขาก็ไม่ยอมขาย บอกว่าขายไปแล้วตอนกลางคืนจะนอนอยู่ในกองเงินหรือไง หรือว่าตายไปแล้วให้เอาเงินยัดใส่โลงจนเต็มเพื่อเอาไปใช้ชาติหน้าด้วย? ลูกหลานตระกูลเซียนบนภูเขาที่พยายามอดทนพูดคุยกับพวกคนแก่ที่ไม่แน่ว่าอีกไม่กี่ปีให้หลังอาจกลายเป็นกองกระดูกขาวโพลนใต้ดินรู้สึกเพียงว่าพวกเขาไร้เหตุผล แต่กลับไม่กล้าบังคับซื้อ จึงได้แต่พาเงินเทพเซียนก้อนใหญ่กลับไปด้วยความผิดหวัง
แต่พอต่งสุ่ยจิ่งไปเยือน ไม่รู้ว่าพวกคนแก่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนกับคนหนุ่มที่พวกเขาเห็นอีกฝ่ายเติบใหญ่มา หรือเป็นเพราะต่งสุ่ยจิ่งเข้าใจพูดเกลี้ยกล่อม สรุปก็คือพวกผู้เฒ่าลดราคาให้เขาต่ำกว่าที่พวกคนต่างถิ่นเสนอให้มากนัก แทบจะเรียกได้ว่ากึ่งขายกึ่งยกให้ ต่งสุ่ยจิ่งไปเยือนร้านผ้าห่อบุญที่ภูเขาหนิวเจี่ยวอยู่หลายครั้ง ก็ได้รายรับที่มากจนไม่อาจประเมินมาอีกก้อนหนึ่ง บวกกับฃผลเก็บเกี่ยวซึ่งได้มาโดยไม่คาดฝันจากการที่เขามุมานะขึ้นเขาลงห้วย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไปหาเจ้าเมืองอู๋ นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่เคยทยอยกันมาอุดหนุนร้านเกี้ยวน้ำ จนซื้อที่ดินไว้ได้อีกหลายแห่งอย่างเงียบเชียบ โดยไม่ทันรู้ตัวต่งสุ่ยจิ่งก็กลายเป็นเศรษฐีใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของเขตการปกครองหลงเฉวียนแห่งใหม่ บนภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนถึงขั้นแอบมีคำเรียกขานที่น่าตะลึงว่าเมืองครึ่งต่งให้ได้ยินแว่วๆ แล้ว
วันนี้ต่งสุ่ยจิ่งพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับลูกจ้างหนุ่มสองคนเสร็จแล้ว คนทั้งสองก็จากไป เถ้าแก่ร้านที่เติบโตกลายมาเป็นคนหนุ่มร่างสูงใหญ่อยู่ในร้านเพียงลำพัง เขาทำเกี้ยวน้ำร้อนๆ ให้ตัวหนึ่งชาม ถือเป็นการให้รางวัลตัวเอง เมื่อถึงยามพลบค่ำ อากาศของฤดูใบไม้ร่วงก็ยิ่งเย็นขึ้นทุกที ต่งสุ่ยจิ่งกินอิ่มแล้วก็เก็บชามเก็บตะเกียบ เดินมานอกร้าน มองไปยังเส้นทางที่ใช้ขึ้นเขาไปจุดธูปไหว้เทพเจ้า ไม่เห็นเงาร่างของคนที่มาทำบุญก็เตรียมจะปิดร้าน คิดไม่ถึงว่าไม่มีผู้มีจิตศรัทธาย้อนกลับมา แต่กลับมีคุณชายหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินขึ้นมาจากตีนเขาแทน ต่งสุ่ยจิ่งคุ้นเคยกับเขาเป็นอย่างดีจึงคลี่ยิ้มแล้วเชื้อเชิญให้เข้ามาในร้าน ทำเกี้ยวน้ำอีกชาม แล้วยกเหล้าข้าวหมักที่ทำเองมาหนึ่งกา คนทั้งสองตั้งใจใช้ภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนสนทนากันตั้งแต่ต้นจนจบ ต่งสุ่ยจิ่งพูดช้ามากเพราะกลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะฟังไม่เข้าใจ
ลูกค้าคนนี้เป็นคนประหลาด เขาชื่อว่าเกาเซวียน บอกว่าตัวเองคือนักท่องเที่ยวต่างถิ่นที่มาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ภาษาทางการของต้าหลีก็ยังพูดได้ไม่คล่อง แต่กลับอยากจะพูดภาษาท้องถิ่นหลงเฉวียนกับต่งสุ่ยจิ่ง
รอจนเกาเซวียนกินเกี้ยวน้ำหมด ต่งสุ่ยจิ่งก็รินเหล้าข้าวหมักสองถ้วย เหล้าข้าวนี้หากอยากจะให้หอมหวาน น้ำและข้าวเหนียวคือกุญแจสำคัญ และเขตการปกครองหลงเฉวียนก็ไม่เคยขาดน้ำดี ส่วนข้าวเหนียวนั้นต่งสุ่ยจิ่งไปขอให้ผู้ตรวจการงานเตาเผาแซ่เฉาขนส่งจากถิ่นกำเนิดของข้าวเหนียวแห่งหนึ่งของต้าหลีมายังหลงเฉวียน ราคาต่ำกว่าราคาตลาดมาก ดังนั้นตอนนี้ทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจึงสร้างร้านขายเหล้าข้าวหมักขนาดไม่เล็กขึ้นมาแล้ว และตอนนี้ก็เริ่มส่งไปขายที่เมืองหลวงต้าหลี กิจการยังไม่ถือว่ารุ่งเรืองนัก ทว่าอนาคตและรายรับที่ได้ย่อมถือว่าไม่เลว ร้านเหล้าของเมืองหลวงต้าหลีเริ่มยอมรับเหล้าข้าวหมักของหลงเฉวียน บวกกับการดำรงอยู่ของถ้ำสวรรค์หลีจูและข่าวลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับเทพเซียนก็ยิ่งทำให้สุรามีรสชาติหอมหวลขึ้นไปอีก ส่วนเรื่องช่องทางการจำหน่ายนั้น ต่งสุ่ยจิ่งได้ไปขอร้องนายอำเภอหยวน การค้าที่มีกำไรน้อยแต่อัตราการจำหน่ายสูงนี้จึงต้องเกี่ยวพันกับการพยักหน้าตอบรับของเจ้าเมืองอู๋ การเปิดประตูใหญ่เมืองหลวงของนายอำเภอหยวน และการขนส่งข้าวเหนียวของผู้ตรวจการเฉา
เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉา ในบรรดาคนทั้งสามนี้ ระดับขั้นของอู๋ยวนสูงสุด แม้ว่าจะเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสี่ชั้นเอก ยังไม่ถือว่าเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาอย่างแท้จริง ทว่าในฐานะคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองของต้าหลี อู๋ยวนจึงเป็นบุคคลที่ทางราชสำนักต้าหลีไม่กล้าดูแคลน ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับอู๋ยวนก็คือชุยฉานราชครูต้าหลี น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลังจากอู๋ยวนได้เลื่อนขั้นแล้ว ชื่อเสียงของเขากลับแย่กว่าตอนก่อนจะออกมาจากเมืองหลวงมาก เพราะว่ากันว่าระหว่างที่หลงเฉวียนยังไม่เลื่อนขั้นจากอำเภอเป็นเขตการปกครองนั้น นายอำเภออู๋ที่ถูกราชครูส่งตัวมาที่นี่พร้อมความคาดหวังสูง ได้ถูกตระกูลใหญ่ของท้องถิ่นหลายตระกูลผลักไสอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันจนวางตัวไม่ถูก
ทว่าอู๋ยวนมีอาจารย์ที่ดี คนนอกจึงได้แต่อิจฉาตาร้อน
แต่ถึงกระนั้นอู๋ยวนก็กลายเป็นตัวตลกของราชสำนักในเมืองหลวงต้าหลีไปแล้วไม่มากก็น้อย
หันกลับมามองสองคนหลังอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาที่กลายเป็นว่าวงการขุนนางต้าหลีชื่นชอบมากกว่า ไม่เพียงแต่เป็นลูกหลานสายตรงของสองแซ่สกุลใหญ่ที่ผู้เป็นเสาคานค้ำยันบ้านเมืองเท่านั้น เมื่อมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน คนทั้งสองต่างก็สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างผลงานจนรุ่งโรจน์อยู่ในถิ่นของตัวเองได้ด้วย นายอำเภอหยวนรับผิดชอบการสร้างจวนตระกูลเซียนส่วนหนึ่งบนภูเขาตะวันตก การที่ศาลบุ๋นและศาลบู๊ถูกสร้างขึ้นที่สุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องกระเบื้องได้อย่างราบรื่นเรียบร้อยก็เป็นความชอบของเขาเช่นกัน ตระกูลใหญ่ที่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ยอมรับเจ้าเมืองอย่างอู๋ยวน แต่กลับเต็มใจยอมรับนายอำเภอที่หมวกขุนนางเล็กกว่าผู้นี้
ส่วนหน่วยผู้ตรวจการงานเตาเผาของผู้ตรวจการเฉานั้น มองภายนอกคือที่ว่าการมือสะอาดที่ดูแลรับผิดชอบเตาเผามังกรสร้างเครื่องกระเบื้องที่จะต้องถูกส่งไปในวัง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีหน้าที่รับผิดชอบจับตามองความเคลื่อนไหวของขั้วอำนาจบนภูเขาเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างลับๆ
แต่หยวนและเฉาที่เป็นสองแซ่สกุลซึ่งสูงศักดิ์ที่สุดในต้าหลีนี้กลับเป็นน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกัน กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีที่เคลื่อนพลลงใต้แบ่งเป็นสามสาย เบื้องหลังของกองทัพม้าเหล็กสองสายในนั้นต่างก็มีเงาร่างของสองแซ่ใหญ่ที่เป็นเสาคานค้ำยันแคว้นยืนอยู่
ต่งสุ่ยจิ่งสามารถอาศัยการค้าขายเล็กๆ ไม่สะดุดตานี้ดึงคนทั้งสามให้มารวมกันได้ ก็จำต้องพูดว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ ‘จับผลัดจับผลู’ จนทำสำเร็จ
ในความเป็นจริงแล้วการขายเหล้าข้าวหมักนี้เป็นความคิดของต่งสุ่ยจิ่งก็จริง แต่แผนการอย่างละเอียด ขั้นตอนต่างๆ ที่ร้อยเรียงกันแนบแน่นกลับเป็นคนอื่นที่ช่วยวางแผนให้กับเขา
หลังจบเรื่องต่งสุ่ยจิ่งถามคนผู้นั้นว่า เหตุใดลูกหลานที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงอย่างนายอำเภอหยวนและผู้ตรวจการเฉาถึงไม่ปฏิเสธกำไรที่เล็กเท่าหัวแมลงวันนี้ ยกตัวอย่างเช่นกำไรปันผลของสามฝ่ายเมื่อปลายปีก่อน ต่งสุ่ยจิ่งได้เงินมาเจ็ดหมื่นตำลึงเงิน หยวนเฉาสองคนรวมกันได้มาแค่หนึ่งแสนสี่หมื่นตำลึงเท่านั้น เมื่อเทียบกับพ่อค้าในหมู่ชาวบ้านอาจถือว่าได้กำไรมหาศาล การแบ่งกำไรในอนาคตจะเพิ่มมากขึ้นอย่างมั่นคงก็จริง แต่พอต่งสุ่ยจิ่งรับรู้ถึงกิจการใหญ่เบื้องหลังสองแซ่หยวนและเฉาคร่าวๆ แล้ว เขาคิดแล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
คนผู้นั้นจึงบอกกับต่งสุ่ยจิ่งว่าการค้าขายใต้หล้านี้ นอกจากแบ่งเล็กใหญ่ รวยจนแล้ว ก็ยังแบ่งเป็นการค้าที่ได้เงินสกปรกกับกิจการที่สะอาดด้วย
ได้เงินก้อนใหญ่จากการค้าขายหัวขาดมาครอง ถือเป็นความสามารถ ได้เงินที่เป็นดั่งลำธารสายเล็กไหลยาวมาจากการค้าเล็กๆ ที่สะอาดก็ถือว่ามีฝีมือเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับที่การค้าขายเล็กๆ หลายอย่าง เมื่อทำไปจนถึงขีดสุดแล้วก็จะมีโอกาสกลายเป็นช่องทางหาเงินที่แท้จริง กลายมาเป็นกิจการร้อยปีที่สามารถสร้างรากฐานของตระกูลให้แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง
สุดท้ายคนผู้นั้นหยิบเงินเหรียญทองแดงธรรมดาเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะ ผลักมาตรงหน้าต่งสุ่ยจิ่งที่นั่งขอความรู้อยู่ตรงข้ามอย่างจริงใจ แล้วกล่าวว่า “ต่อให้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของใต้หล้าไพศาลอย่างสกุลหลิ่วแห่งธวัลทวีปก็ยังเริ่มสร้างตระกูลด้วยเงินเหรียญทองแดงเหรียญแรก เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ”
แล้วเจ้าคนที่ยังคงพาดกระบี่ไว้ด้านหลังในแนวขวางผู้นั้นก็ทะยานจากไป บอกว่าจะไปเมืองหลวงต้าสุยสักรอบ หากโชคดีไม่แน่ว่าอาจจะได้พบกับบรรพาจารย์ของสำนักการค้า ผู้เฒ่าที่มองดูเหมือนหน้าเด็ก แต่เคยใช้วิชาอภินิหารใหญ่ผสานมรรคาลดระดับต้นไม้สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งลงมา ช่วงชิงความไว้วางใจจากใต้หล้า สุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากหลี่เซิ่ง
ต่งสุ่ยจิ่งครุ่นคิดอยู่นานถึงนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นั้นกินเกี้ยวน้ำไปสองชามใหญ่ ดื่มเหล้าหมักข้าวไปหนึ่งไห สุดท้ายจ่ายด้วยเหรียญทองแดงแค่เหรียญเดียวแล้วก็เผ่นจากไป
แต่ครั้งนั้นต่งสุ่ยจิ่งที่เคยชินกับการทำการค้าแบบคิดเล็กคิดน้อยแล้วไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกขาดทุน กลับกันยังรู้สึกว่าเขาได้กำไรด้วยซ้ำ
เกาเซวียนเห็นว่าต่งสุ่ยจิ่งที่กำลังดื่มเหล้าเหมือนความคิดจะล่องลอยไปไกลจึงยิ้มถามว่า “มีเรื่องในใจหรือ? ไม่สู้พูดออกมา ข้าช่วยอะไรไม่ได้ แต่ให้รับฟังคำบ่นจากเถ้าแก่ต่งสองสามคำกลับยังทำได้”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้า พูดหยอกล้อว่า “คิดเรื่องในอนาคตไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรให้บ่นหรอก ทุกวันพอกลับไปถึงบ้านในเขตการปกครองก็เหนื่อยแทบตายแล้ว นับเงินเสร็จหัวถึงหมอนก็หลับทันที พอลืมตาก็เป็นวันใหม่แล้ว แล้วก็ต้องยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น”
เกาเซวียนพูดอย่างปลงอนิจจัง “อิจฉาเจ้าจริงๆ”
ต่งสุ่ยจิ่งพูดไม่ออก เขาไม่คิดว่าเกาเซวียนแสร้งทำเป็นกลัดกลุ้มทั้งที่ไม่มีเรื่องอะไร ทุกครอบครัวย่อมต้องมีคัมภีร์ที่อ่านยากอยู่หนึ่งเล่ม ไม่ได้เกี่ยวกับว่ามีเงินมากหรือน้อย ต่งสุ่ยจิ่งจึงไม่ได้รับคำ เพียงดื่มเหล้าหมักข้าวที่หมักเองหนึ่งอึก เหล้าของร้านเกี้ยวน้ำแห่งนี้ต่างก็ฉีกกระดาษแดงร้านตระกูลต่งทิ้งไปแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะก่อให้เกิดเรื่อง ทำให้ร้านเรียบง่ายที่ไว้ใช้อบรมขัดเกลาจิตใจกลายมาเป็นร้านที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ตอนนี้ตลอดทั้งเขตการปกครองหลงเฉวียนที่เทพเซียนแต่ละฝ่ายเป็นดั่งปลาและมังกรปะปนกันหลากหลาย คนที่รู้ว่าต่งสุ่ยจิ่งมีทรัพย์สมบัติมากน้อยแค่ไหนกลับยังคงมีเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น
—–