กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 424.3 โลกมนุษย์เดินช้าๆ
อู๋อี้เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า “เซียนหลวน โชควาสนาใหญ่ถึงเพียงนน เจ้ากลับคว้าไว้ไม่อยู่ เจ้านี่มันไร้ประโยชน์จริงๆ”
ฮูหยินเซียวหลวนได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
อู๋อี้พลันถามขึ้นว่า “หรือเฉินผิงอันไม่สนใจสตรีอย่างเจ้า? สาวใช้คนนั้นของเจ้ามองดูแล้วอ่อนเยาว์กว่า หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ ให้นางไปลองดูดีไหม?”
ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า “คาดว่าแม้แต่หอเรือนหลังนั้นของหยวนจวินนางก็ยังเข้าไปไม่ได้ เจ้าคนที่ชื่อจูเหลี่ยนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล เขามาตอแยข้าอยู่นาน มองดูเหมือนต้องการหยอกเย้า แต่แท้จริงแล้วในช่วงเวลาสุดท้ายกลับเกิดจิตคิดสังหารข้า อีกทั้งจูเหลี่ยนจงใจเปิดเผยความคิดนั้นให้ข้าเห็น ดังนั้นหากเปลี่ยนให้นางไป ไม่แน่ว่าอาจจะตายอยู่นอกหอเรือนเลยก็ได้ ถ้าอย่างนั้นศพของนางหากไม่ถูกโยนทิ้งไว้นอกตำหนักจื่อชี่ก็อาจถูกโยนลงลำคลองเถี่ยเชวี่ยน ปล่อยให้ไหลตามกระแสน้ำไปถึงแม่น้ำป๋ายกู่ของข้าได้พอดี”
อู๋อี้นวดคลึงหว่างคิ้ว “เฉินผิงอันผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่?”
สีหน้าของฮูหยินเซียวหลวนเผยความจนใจ ตอนนั้นเจ้าคนผู้นั้นไม่พูดไม่จาก็ปิดประตูใส่หน้านางแล้ว นางจะไม่รู้สึกอับอายจนพานเป็นความโกรธได้หรือ?
อู๋อี้มองประเมินฮูหยินเซียวหลวน “ด้วยรูปโฉมของเจ้าเซียวหลวนก็ถือว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของแคว้นหวงถิงเราแล้วกระมัง? แล้วข้าจะไปหาสตรีที่หน้าตาดีจากไหนมาให้เขาได้อีก? สตรีในหมู่ชาวบ้านด้านล่างภูเขา แม้ว่ามองดูแล้วจะไม่เลว แต่ใครบ้างที่เนื้อหนังมังสาไม่เหม็นคาวจนเกินจะทน เซียวหลวน เจ้าว่าจะเป็นเพราะสตรีวัยกลางคนหุ่นอวบอิ่มอย่างเจ้าไม่ใช่รสนิยมของเฉินผิงอันหรือไม่? หรือเขาจะชอบแต่สาวน้อยร่างเล็กกะทัดรัด หรือไม่ก็คนที่รูปร่างสูงโปร่งมากเป็นพิเศษ?”
ฮูหยินเซียวหลวนส่ายหน้า
นางไม่รู้จริงๆ
อู๋อี้ถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าว่าเฉินผิงอันใช่บุรุษปกติหรือไม่?”
ฮูหยินเซียวหลวนเอ่ยเบาๆ “น่าจะใช่กระมัง”
อู๋อี้พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าข้าเป็นอย่างไร?”
ฮูหยินเซียวหลวนเย็นวาบไปทั้งสันหลัง นับแต่เฉินผิงอันไปจนถึงจูเหลี่ยนผู้ติดตามของเขา มาจนถึงบรรพจารย์จวนจื่อหยางตรงหน้าท่านนี้ ล้วนเป็นพวกคนบ้าที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้จริงๆ
นางจึงได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่เหมาะสม เอ่ยประโยคน่าฟังอย่างระมัดระวัง “หยวนจวินมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ จะย่ำยีตนเองด้วยการทำเช่นนั้นไปไย?”
อู๋อี้โบกมือ รู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย “ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่ควรต้องให้ถึงขั้นที่เจ้าเซียวหลวนบุกเข้าไปในหอเรือนแล้วขืนใจเฉินผิงอันผู้นั้น”
อู๋อี้ลุกขึ้นยืน “ถึงแม้ว่าการค้าครั้งนี้จะไม่สำเร็จในคืนนี้ แต่ก็ยังมีผลในช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกระยะหนึ่ง เจ้ายังมีโอกาส เซียวหลวน เจ้าตัดสินใจเอาเองแล้วกัน”
ทันใดนั้นอู๋อี้และเซียวหลวนต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมไล่ตามกันมาติดๆ ทั้งคู่ต่างก็สัมผัสได้ถึง…ลมปราณแห่งมหามรรคาที่ไม่ปกติขุมหนึ่ง
สูงส่งยาวไกล ล่องลอยแผ่วพลิ้ว มากอำนาจบารมี ยิ่งใหญ่ไพศาล มากมายหลากหลาย มหัศจรรย์จนมิอาจบรรยาย
คนทั้งสองต่างก็พอจะคาดเดาต้นสายปลายเหตุได้บางส่วน
อู๋อี้พลันเอ่ยเสียงเฉียบ “เซียวหลวน! ว่าอย่างไร?”
จิตวิญญาณของเซียวหลวนหวั่นไหวไม่อยู่นิ่ง นางไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป พลันเปลี่ยนมาเป็นห้าวเหิม คำตอบในใจของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ท่านนี้แข็งแกร่งมิสั่นคลอน
เมื่อเทียบกับปีนั้นตอนที่พบกับบรรพบุรุษฮ่องเต้สกุลถังที่ ‘พบกันโดยบังเอิญ’ ริมแม่น้ำป๋ายกู่แล้ว ความรู้สึกของฮูหยินเซียวหลวนกลับกระตือรือร้นเร่าร้อนกว่ามาก
อู๋อี้ก้าวยาวๆ จากไป ฮูหยินเซียวหลวนก็กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง นางนอนพลิกตัวอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง มิอาจข่มตาหลับ
คืนนี้จวนจื่อหยางมีฝนตกลงมาอีกครั้ง
จูเหลี่ยนที่ยืนอยู่ในระเบียงใต้ชายคาของชั้นที่สองหัวเราะเสียงแปลกแปร่ง “ดีนักนะ คราวนี้ของจริงแล้ว”
……
เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องพวกนี้
เขากลับเข้ามาในห้อง ตะเกียงบนโต๊ะยังคงสว่างไสว
เฉินผิงอันเริ่มอ่านหนังสือ อ่านไปอ่านมาก็อาศัยแสงตะเกียงเหลืองนวล เงยหน้ามองไปรอบด้าน
ในตำราบอกว่าจิตใจของคนบางคนก็เหมือนกระจกส่องมารบานหนึ่งที่ทำให้ภูตผีปีศาจรอบด้านไร้ที่ให้หลบเร้นกาย
แต่เฉินผิงอันกลับคาดหวังให้จิตใจของตัวเองเป็นเพียงแค่ตะเกียงดวงหนึ่ง วางมันไว้บนโต๊ะของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงที่มีเพียงผนังสี่ด้าน ตนสามารถอาศัยแสงสว่างเพียงน้อยนิดนั้นมองไปเห็นฝุ่นผงและแมลงวันที่อยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างตน หากมีแขกมาเยือนที่บ้านก็จะมองเห็นว่าบนขอบหน้าต่างดินเหนียว เขาเฉินผิงอันวางอ่างดินเผาขนาดเล็กที่ปั้นอย่างหยาบๆ เอาไว้หนึ่งใบ ด้านในมีต้นหญ้าต้นเล็กส่ายไหวไปตามลมอย่างมีชีวิตชีวา
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนโต๊ะ
วางคางไว้บนหลังมือของตัวเอง เขาจ้องนิ่งไปยังเปลวไฟในตะเกียงดวงนั้น
อันที่จริงเขาพอจะรู้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่กำลังรอให้ตนไปเผชิญหน้า
เฉินผิงอันคิดถึงความเป็นไปได้มากมายหลายอย่างโดยที่เขาไม่รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงเรื่องเดียวและคนคนเดียว
ที่เฉินผิงอันไม่กล้าคิดให้ลึกซึ้ง
หลักการเหตุผลของใต้หล้านี้ไม่แบ่งแยกว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เขาเฉินผิงอันเป็นคนพูดเอง
……
เผยเฉียนสะดุ้งตื่นลุกพรวดขึ้นนั่ง ดูเหมือนว่านางจะฝันร้าย
นางย้อนนึก แต่กลับลืมเนื้อหาในฝันนั่นไปแล้ว ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยังสะลึมสะลืออยู่เล็กน้อย จึงลุกไปหยิบยันต์แผ่นหนึ่งมาแปะไว้บนหน้าผากแล้วนอนหลับต่ออีกครั้ง
นางสามารถมองทะลุใจคนไปเห็นสภาพภายในจิตใจของคนผู้หนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นหอเรือนสูงตระหง่านเพียงหลังเดียวที่ตั้งอยู่ท่ามกลางลมคาวฝนเลือดของพ่อครัวเฒ่าจูเหลี่ยน ยกตัวอย่างเช่นบ่อน้ำดำมืดของชุยตงซานที่ข้างบ่อวางตำราสีทองกระจัดกระจายไว้หลายเล่ม
ในใจของนางซุกซ่อนความลับที่ใหญ่ที่สุดไว้อย่างหนึ่ง ต่อให้เฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์ นางก็ไม่เคยบอก
ขอแค่นางตั้งใจมองเฉินผิงอันก็จะเหมือนว่านางอยู่ในบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่งแล้วกำลังแหงนหน้ามองไป คงเป็นเพราะบนปากบ่อน้ำวางตะเกียงไว้ดวงหนึ่ง เดิมทีแสงสว่างกลุ่มเล็กๆ ควรทำให้นางที่เป็นคนขี้ขลาดกลัวผีกลัวความมืดสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและใฝ่หา ทว่านางกลับรู้สึกเหมือนหลายๆ ครั้งที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ร้อนแรงกลางท้องนภา นางจะต้องรู้สึกแสบตาจนน้ำตาไหลพราก แต่ทุกครั้งที่บาดแผลหายดีแล้วนางก็จะลืมความเจ็บปวด ทำให้อดไม่ไหวคอยแหงนหน้าขึ้นมองมันอยู่ตลอดเวลา
เมื่อนางก้มหน้าลงมอง ใต้บ่อปรากฏเป็นดวงจันทร์ที่กระเพื่อมไปตามผิวน้ำ ขยับลงไปด้านล่างอีกนิดก็จะมองเห็นได้รางๆ ว่าเหมือนจะมีเจียวหลงตัวหนึ่งที่เดิมทีควรจะน่ากลัวมาก แต่นางกลับรู้สึกใกล้ชิดคุ้นเคยกับมันมากเป็นพิเศษ
บ่อน้ำบ่อนี้ในใจของอาจารย์ น้ำในบ่อคอยไต่ระดับขึ้นสู่เบื้องบนอย่างเชื่องช้า
บางทีวันหนึ่งดวงจันทร์ในน้ำก็อาจจะได้ไปพบเจอกับตะเกียงดวงที่ตั้งอยู่บนปากบ่อ
เผยเฉียนที่กำลังหลับสนิทยื่นมือไปวางตรงหัวใจตามจิตใต้สำนึก ตรงนั้นซ่อนถุงผ้าแพรใบเล็กที่ชุยตงซานมอบให้กับนาง เขาบอกว่าวันใดที่อาจารย์ของนางเสียใจอย่างถึงที่สุด หรือโกรธมากๆ นางจะต้องเอามันออกมาให้อาจารย์
……
เฉินผิงอันไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน
เพราะความคิดที่เกิดขึ้นกะทันหัน เขาจึงเตรียมจะออกเดินทาง ไม่รั้งอยู่ในจวนจื่อหยางอีกต่อไป จึงบอกให้จูเหลี่ยนไปแจ้งแก่ผู้ดูแล ถือเป็นการบอกกล่าวแก่อู๋อี้
คิดไม่ถึงว่าเจ้าประมุขหวงฉู่จะมาถึงอย่างรวดเร็ว พยายามรั้งเฉินผิงอันไว้สุดกำลัง บอกว่าหากเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยางทั้งอย่างนี้ เจ้าประมุขอย่างเขาก็คงต้องลาออกจากตำแหน่งแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้เฉินผิงอันอยู่ต่อสักวันสองวัน เขาจะได้พาเฉินผิงอันไปชมทัศนียภาพบริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง นอกจากนี้ยังบอกข่าวหนึ่งแก่เฉินผิงอัน บรรพจารย์หยวนจวินเดินทางไปแม่น้ำหันสือแล้ว แต่ก่อนจะจากไปบรรพจารย์กล่าวว่า ตอนที่พวกเฉินผิงอันไปจากจวนจื่อหยาง สามารถเลือกของตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสี่ของหอเก็บสมบัติจวนจื่อหยางไปได้คนละชิ้น ถือเป็นของขวัญที่จวนจื่อหยางมอบให้ หากเฉินผิงอันไม่รับไว้ก็ได้ เขาที่เป็นเจ้าประมุขจะเลือกของที่แพงที่สุดสี่ชิ้นมาทุบให้เละต่อหน้าเฉินผิงอันไปเลยก็แล้วกัน
เฉินผิงอันยิ่งเดาไม่ออกว่าอู๋อี้คิดจะทำอะไรกันแน่
การต้อนรับขับสู้ที่กระตือรือร้นจนแทบจะเรียกได้ว่าหน้ามึนเช่นนี้ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ต่อให้เป็นเว่ยป้อก็ไม่มีทางได้รับเกียรติขนาดนี้
เฉินผิงอันย่อมอยากไปจากสถานที่ที่เป็นปัญหายุ่งยากแห่งนี้ในทันที จะสนไปไยว่าเจ้าหวงฉู่จะทุบทำลายสมบัติสี่ชิ้นหรือไม่ ก่อนหน้านี้อู๋อี้กระวีกระวาดมาต้อนรับเขาอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ภายหลังฮูหยินเซียวหลวนยังมาเคาะประตูยามค่ำคืน ในใจเฉินผิงอันจึงเกิดเงามืดต่อจวนจื่อหยางแห่งนี้
แต่ดูเหมือนหวงฉู่จะคาดการณ์ไว้ได้ล่วงหน้าแล้ว เขาถึงขั้นไม่คิดจะรักษาหน้าตาของตัวเองแม้แต่น้อย วางท่าหน้าด้านหน้าทนเลียนแบบบรรพจารย์ของตน บอกว่าข้าหวงฉู่จะยังเป็นเจ้าประมุขได้หรือไม่ล้วนอยู่ที่ความคิดเดียวของคุณชายเฉิน หรือแค่อยู่เที่ยวเล่นตามแม่น้ำและภูเขา ให้จวนจื่อหยางได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี คุณชายเฉินก็ยังไม่เต็มใจจะรับน้ำใจ? จะทนเห็นเขาหวงฉู่สูญเสียตำแหน่งประมุขได้คาตาตัวเองเชียวหรือ?
หลังจากที่เฉินผิงอันปรึกษากับจูเหลี่ยนและสือโหรวแล้วก็ตัดสินใจว่าจะรับมือไปตามสถานการณ์ ตอบรับหวงฉู่ว่าจะอยู่อีกหนึ่งวันเพื่อชมทัศนียภาพในบริเวณใกล้เคียง
ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อทางจวนจื่อหยางส่งคนผู้หนึ่งมาทำหน้าที่เป็นผู้นำทาง เฉินผิงอันก็ให้เสียใจจนไส้เขียว ส่วนจูเหลี่ยนก็ทำท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องร้ายอะไร
ที่แท้ฮูหยินเซียวหลวนที่กลับคืนมามีท่าทางสุภาพเยือกเย็นก็เป็นคนทำหน้าที่พาเฉินผิงอันท่องเที่ยว
เฉินผิงอันจึงแข็งใจนั่งโดยสารเรือหอเรือนลำหนึ่งที่จอดอยู่ริมตลิ่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนมุ่งหน้าไปยังตอนบนของลำคลอง
ท่ามกลางม่านราตรี
คนทั้งกลุ่มเดินทางกลับมายังจวนจื่อหยาง
อู๋อี้ยืนอยู่ในลานหลังเล็กที่พักของเซียวหลวน ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร?”
ฮูหยินเซียวหลวนทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
อู๋อี้กล่าวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “พูดมาตามตรง!”
ฮูหยินเซียวหลวนถอนหายใจ “ตลอดทางมานี้ ไม่ว่าข้าจะพยายามบอกเป็นนัยแค่ไหน หรือแม้กระทั่งภายหลังที่เปิดเผยความรู้สึกชื่นชมเขาอย่างตรงไปตรงมา เฉินผิงอันกลับไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ข้าเห็น แล้วก็ไม่พูดอะไร เพียงแต่ว่าก่อนที่จะลงจากเรือ เฉินผิงอันได้พูดกับข้าอยู่สองประโยค”
อู๋อี้ถามอย่างใคร่รู้ “สองประโยคไหน”
ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มขื่น “ประโยคแรก ‘ฮูหยินเซียวหลวน เจ้าคิดจะทำร้ายข้าให้ตายใช่หรือไม่?’”
อู๋อี้ได้ยินแล้วก็มึนงงไม่เข้าใจ
ส่วนฮูหยินเซียวหลวนกลับมีท่าทางหวาดหวั่นไม่สบายใจ “ประโยคที่สอง เฉินผิงอันพูดอย่างจริงจังมาก ‘หากเจ้ายังตอแยข้าไม่เลิก ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว’”
อู๋อี้ยื่นสองนิ้วมานวดคลึงจุดไท่หยาง
ฮูหยินเซียวหลวนปิดปากหัวเราะ เสน่ห์อันน่าหลงใหลในตัวนางพลันปรากฏเด่นชัด แต่จากนั้นนางก็เก็บสีหน้าเย้ายวนใจ ตบอกเอ่ยเบาๆ ว่า “รู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น ข้ากลัวก็จริง แต่กลับยังไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ ทว่าข้าเองก็รู้ว่าคราวนี้ข้าคงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องพลาดโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ไป”
ฮูหยินเซียวหลวนโค้งตัวคำนับขออภัยอู๋อี้อย่างนอบน้อม
อู๋อี้ชำเลืองตามองฮูหยินเซียวหลวน “นับว่าเจ้ารู้ความสามารถของตัวเอง”
เซียวหลวนอึ้งตะลึง ทันใดนั้นก็พลันกระจ่างแจ้ง แอบชำเลืองตามองอู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวออกผอม ก่อนที่นางจะรีบเก็บสายตา รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
อู๋อี้กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เขาเฉินผิงอันน่ะตาบอด!”
……
จูเหลี่ยนแอบขำอยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขายืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันในระเบียงชั้นสี่
สุดท้ายจูเหลี่ยนก็หลุดถามกลั้วเสียงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ว่า “นายน้อย เจอกับดวงความรักที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ยุทธภพอันตราย!”
—–