กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 433.2 ลองวางหลักการในตำราลงก่อน
ไปถึงห้องขนาดไม่ใหญ่ของเฉินผิงอัน กู้ช่านหิ้วม้านั่งตัวเล็กมานั่งตรงธรณีประตู ยิ้มพลางเล่าให้เฉินผิงอันฟังถึงเป้าหมายในการมาที่นี่ บอกว่าต้องการให้เขาช่วยตั้งชื่อให้หนีชิวน้อย ซึ่งไม่เกี่ยวพันถึงชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกภูตผีปีศาจและเผ่าพันธุ์เจียวหลงในโลกมนุษย์
เฉินผิงอันวางพู่กันลง เงยหน้าขึ้น ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “งั้นก็ชื่อถานเซวี่ย (ถ่านและหิมะ) แล้วกัน ถานเซวี่ยถงหลู (ถ่านและหิมะอยู่ในเตาเดียวกัน เปรียบเปรยถึงสองสิ่งที่ตรงข้ามกันแต่กลับสามารถมาอยู่ร่วมกันได้) ใกล้ชิดสนิทสนม ล้ำค่าหาได้ยากเป็นพิเศษ”
กู้ช่านพยักหน้ารับอย่างแรง ยิ้มพูดกับหนีชิวน้อย “เป็นอย่างไร?!”
หนีชิวน้อยกล่าวอย่างเขินอาย “เรียบง่ายไปสักหน่อย แต่ข้าก็ไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน จะถูกคนหัวเราะเยาะหรือไม่”
กู้ช่านหลุดหัวเราะพรืด “หากใครกล้าหัวเราะเยาะชื่อจริงของเจ้า ข้าก็จะ…”
กู้ช่านรีบปิดปากแน่นสนิท แอบหันหน้าไปมองด้านหลัง
พบว่าเฉินผิงอันได้หยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งและก้มหน้าเขียนตัวอักษรต่อแล้ว
กู้ช่านนั่งตากแดดอบอุ่นของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างเกียจคร้าน สุขสบายและผ่อนคลายยิ่งนัก สบายจนเขาใกล้จะเคลิ้มหลับแล้ว
ตนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะด้านหลัง กู้ช่านไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
กู้ช่านยืดแขนบิดขี้เกียจ หันหน้าไปถามว่า “ท่านแม่ข้าบอกว่าคืนนี้จะเข้าครัวทำอาหารพื้นบ้านที่เรียบง่ายยิ่งกว่าครั้งก่อนด้วยตัวเอง มีเวลาว่างไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณท่านอาหญิงแทนข้าสักคำ บอกว่าพอถึงเวลากินมื้อค่ำ ข้าจะรีบไปให้ทัน ใช่แล้ว บอกกับท่านอาหญิงด้วยว่าคืนนี้ไม่ดื่มเหล้าแล้ว”
กู้ช่านคลี่ยิ้มกว้าง “ได้เลย! ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำธุระของตัวเองก่อนล่ะ”
ตอนที่กู้ช่านวางม้านั่งตัวเล็กกลับไปในมุม เฉินผิงอันพลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าบอกกับเถียนหูจวินสักคำว่า ข้าอยากจะรวบรวมอักขรานุกรมท้องถิ่นของทะเลสาบซูเจี่ยน นอกจากตำราสำคัญที่ถูกเก็บสะสมอย่างดีของแต่ละเกาะแล้ว อาจจะยังมีตำราที่เกี่ยวพันไปถึงนครน้ำบ่อที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบซูเจี่ยน และอักขรานุกรมของอำเภอ มณฑลและเขตการปกครอง ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไม่ว่าต้องใช้กี่เหรียญเงินเทพเซียน ข้าจะเป็นคนจ่ายเอง เตือนนางอีกสักประโยคว่า การแจ้งราคาในท้ายที่สุดให้รวมค่าใช้จ่ายที่เกินมานอกเหนือจากหน้าบัญชีเข้าไปด้วย รวมถึงกำลังคนกำลังสิ่งของของเกาะชิงเสีย ทั้งหมดให้อิงตามเกณฑ์ของการทำการค้า เชื่อว่านี่น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับทะเลสาบซูเจี่ยน”
กู้ช่านยิ้มกล่าว “เรื่องเล็ก! ตอนนี้สิบสองเกาะซึ่งรวมถึงเกาะชิงเสียได้คัดเลือกพวกคนเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่โบกธงร้องไห้กำลังใจ แต่ไม่ยอมลงแรงไว้กลุ่มใหญ่ คราวนี้ก็ได้เวลาให้พวกเขาไปทำเรื่องเป็นการเป็นงานสักที”
เฉินผิงอันมองกู้ช่าน
กู้ช่านครุ่นคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้าจะบอกไว้ล่วงหน้าก่อนว่า นี่เป็นการซื้อขายที่ทำกันอย่างตรงไปตรงมา ห้ามเอาชื่อของเกาะชิงเสียไปบังคับซื้อขายกับใคร หรือทำอะไรที่เหลวไหล”
เฉินผิงอันกล่าว “หากยังมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจ้าต้องมาบอกข้าทันที ข้าจะจัดการเอง”
กู้ช่านยิ้มสดใส “วางใจเถอะ ไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นแน่ ที่นี่คือเกาะชิงเสีย คือทะเลสาบซูเจี่ยน มีกฎเกณฑ์อยู่มากมาย แล้วก็มีคนมากมายที่ชอบแหกกฎ แต่หากคิดจะทำลายกฎจริงๆ ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างไร แต่ละคนล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจ”
กู้ช่านพาหนีชิวน้อยไปจากประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย
แล้วจู่ๆ กู้ช่านก็เอ่ยขึ้นว่า “หนีชิวน้อย ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่าสายตาสุดท้ายของเฉินผิงอันดูแปลกๆ เจ้ารู้สึกใจวูบโหวงบ้างไหม?”
หนีชิวน้อยกล่าวอย่างขลาดๆ “ก็มีบ้างนิดหน่อย”
กู้ช่านเดินอาดๆ ต่ออีกครั้ง “ข้าก็บอกแล้วไงว่าเฉินผิงอันเหมาะที่จะอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนของพวกเรา มีเขาอยู่ อย่างมากข้าก็แค่ต้องกลัวเขาคนเดียว แต่ข้าสามารถฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงได้อย่างแท้จริง การค้าครั้งนี้ เจ้าว่าใครได้กำไรมากกว่า? แน่นอนว่าต้องเป็นข้า”
หนีชิวยิ้มอย่างเขินอาย “ถานเซวี่ยเห็นด้วย”
กู้ช่านหันหน้ากลับมา เห็นว่าหนีชิวน้อยกำลังก้มหน้าบิดชายอาภรณ์ก็ด่ายิ้มๆ ว่า “เจ้ามันผู้หญิงหน้าไม่อาย ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าชื่อเรียบง่ายเกินไป คราวนี้กลับรีบร้อนเอามาใช้แล้วรึ?”
แต่แล้วกู้ช่านก็ทำหน้าม่อยห่อเหี่ยว “แต่ว่าหนีชิวน้อย ช่วงนี้พวกเราคงต้องว่างกันหน่อยล่ะ ห้ามรบราฆ่าฟันเหมือนเมื่อก่อนอีก อย่าเห็นว่าตอนนี้เฉินผิงอันทำตัวเป็นนักบัญชีแล้ว แต่ความจริงเขาคอยจับตามองพวกเราอยู่ตลอดนั่นแหละ”
หนีชิวน้อยตบท้องตัวเอง “ตอนนี้ยังไม่หิว”
กู้ช่านมองค้อนใส่ “เพิ่งจะกินสตรีโอสถทองผู้นั้นเข้าไป หากเจ้ายังบอกว่าหิวอีก ข้าจะไปจับใครมาให้เจ้าได้? อาจารย์ข้าหรือไง?”
ดวงตาของหนีชิวน้อยเป็นประกายวิบวับ
กู้ช่านหัวเราะหึหึ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ แหงนหน้าขึ้น “หนีชิวน้อย ข้าอารมณ์ดีมาก อารมณ์ดียิ่งกว่าเวลาฆ่าคนอื่นเสียอีก”
ช่วงนี้หนีชิวน้อยก็เรียนรู้ที่จะ ‘ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมากับผู้อื่น’ แล้ว จึงพูดอย่างเข้าท่าเข้าทีว่า “หากท้องยังไม่หิว นายท่านอารมณ์ดี ข้าก็อารมณ์ดีมากเหมือนกัน”
กู้ช่านเอ่ยถาม “เจ้าว่าเฉินผิงอันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?”
หนีชิวน้อยส่ายหน้า “ข้าไม่กล้าเข้าใกล้เฉินผิงอันกับโต๊ะตัวนั้นมากเกินไป แล้วข้าก็ไม่ชอบคิดมากด้วย ข้าเลยไม่รู้”
กู้ช่านถอนหายใจ “ช่างเถอะ ขอแค่ได้เห็นเฉินผิงอันทุกวัน ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีกเล่า”
……
ในหอเรือนของนครน้ำบ่อ
ช่วงนี้ชุยตงซานเริ่มลุกขึ้นยืนแล้วเดินวนไปวนมาในบ่อสายฟ้าสีทองแห่งนั้นอยู่บ่อยๆ แล้ว
หันกลับมามองชุยฉาน เขาเริ่มหลับตาทำสมาธิ บางครั้งก็รับเอาข่าวจากกระบี่บินระดับขั้นสูงสุดที่มาแจ้งเรื่องบ้านเมืองและสงครามซึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในต้าหลีที่ต้องให้เขาจัดการด้วยตัวเอง
ชุยตงซานยืนอยู่ริมขอบของวงกลมนั้น ก้มหน้าลงมองภาพวาดทั้งสอง ภาพหนึ่งคือคำพูดและการกระทำของกู้ช่านกับสาวใช้หนีชิวน้อย ส่วนอีกภาพหนึ่งคือบรรยากาศในห้องของนักบัญชีเฉินผิงอัน
ชุยตงซานเริ่มวิจารณ์กู้ช่าน “คนที่กระดูกปูดโปน อายุสั้น คนที่กระดูกโผล่ มิอาจหยัดยืนได้ด้วยตัวเอง คนที่กระดูกลามเลื้อย ดุร้ายอำมหิต คนที่ข้อต่อกระดูกคล้ายหินทอง ชะตาแข็งอย่างถึงที่สุด นี่ เจ้าตะพาบเฒ่า เจ้าคิดว่าเจ้าลูกกระต่ายกู้ช่านผู้นี้ หากออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วไม่ได้พบเจอกับเฉินผิงอันอีก มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะกลายมาเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนที่สองของแจกันสมบัติทวีปตามหลังหลิวเหล่าเฉิงแห่งตรอกหางผึ้ง?”
ชุยฉานลืมตาขึ้น พยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้สูงมาก อยู่ท่ามกลางกลียุคอันวุ่นวาย กู้ช่านกลับจะยิ่งเป็นดั่งปลาได้น้ำ”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เจ้าตะพาบเฒ่า ทีนี้จะเอายังไงต่อ? แม้ว่าอาจารย์ข้าจะถูกทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิด ทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคา แต่ถึงอย่างไรสถานการณ์ตายครั้งนี้ก็ไม่ได้รุนแรงมากกว่าเดิม เจ้าจะผิดหวังมากกว่าอาจารย์ของข้าหรือเปล่า? ฮ่าๆ สี่ข้อยากที่เจ้าทุ่มเทสติปัญญาจัดวางเอาไว้ ผลกลับกลายเป็นว่าอาจารย์ของข้าดันยอมแพ้ในเรื่องของจิตดั้งเดิมอันเป็นข้อยากที่สามไปโดยตรง ในเมื่อจุดลึกในใจยืนกรานคิดว่ากู้ช่านทำผิด แต่กลับไม่อาจต่อยให้กู้ช่านตายด้วยหมัดเดียว ยิ่งไม่อาจทอดทิ้งกู้ช่านไม่เหลียวแล ถ้าอย่างนั้นก็ผ่านหลุมในใจไปให้ได้ก่อน จึงตัดสินใจทำลายวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองซึ่งกว่าจะหลอมสำเร็จได้ไม่ง่ายอย่างเด็ดขาด อาศัยโอกาสนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้สองข้อยากแรกของเจ้ากลายมาเป็นเรื่องตลก อาจารย์ของข้ายังทำการตัดขาดและวาดขอบเขตอีกครั้งหนึ่ง เลือกทางไส้แกะเส้นเล็กที่ไม่มีทางแยกออกไปไหน โยนความรู้สึกและกฎเกณฑ์ทิ้งไปชั่วคราว ไม่ไปสนใจกฎหมายและเหตุผลอันยิบย่อยอีก แต่เริ่มย้อนสืบเสาะไปยังจุดเริ่มต้น อีกทั้งขณะเดียวกันกับที่ใคร่ครวญถึงความเป็นไปเป็นมาเส้นนี้ อาจารย์ของข้ายังเริ่มทดลองเดินออกมาจากวงกลมที่ ‘ไร้ความผิด’ ของตัวเองเป็นครั้งแรก เท่ากับว่าฝ่าทำลายสิ่งกีดขวาง ไม่เอาเหตุผลมาสร้างกรงขังให้กับตัวเองอีกต่อไป เริ่มเดินเข้าไปยังฟ้าดินที่กว้างใหญ่ ขอแค่ต้องการ ใต้หล้านี้ก็ไม่มีที่ใดที่เขาไปเยือนไม่ได้!”
ชุยฉานตอบไม่ตรงคำถาม “ได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้าหยิบเอาวิชาคำนวณที่ปีนั้นพวกเราโยนทิ้งไปกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อีกทั้งยังเริ่มศึกษาเรื่องอุปสรรคด้านขั้นตอนแล้ว?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “แค่ประสบความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง ไม่มีค่ามากพอให้พูดถึง เทียบกับกิจการยิ่งใหญ่พันปีที่ตะพาบเฒ่าอย่างเจ้าวางแผนไว้ไม่ได้หรอก”
ชุยฉานหัวเราะหยัน “อยากจะพูดก็พูดมาสิ จะต้องกลั้นไว้ทำไม? หรือเจ้าคิดว่าข้าจะขอร้องให้เจ้าพูดถึงความมหัศจรรย์ของหลักการอันลี้ลับที่เพิ่งบรรลุมาได้ใหม่เหล่านั้น?”
ชุยตงซานถูมือกล่าวว่า “ในเมื่อตะพาบเฒ่าเปลี่ยนวิธีการมาขอร้องข้า งั้นข้าก็…จะพูดเรื่องน่าสนใจแค่เรื่องเดียว เชื่อว่าเจ้าจะต้องใคร่รู้มากเหมือนกัน ข้าถามเจ้า ตะพาบเฒ่าชุย เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าการเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวคราวนั้น อาจารย์ของข้าผ่านด่านของพ่อตาแม่ยายมาได้อย่างไร? ข้าสามารถบอกเป็นนัยๆ แก่เจ้าได้นิดนึงว่ามันเกี่ยวข้องกับกู้ช่านด้วย”
ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยเมย “ปีนั้นตอนอยู่บนหอเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่ว ท่านปู่เคยพูดถึง บอกว่าด่านใหญ่ที่อันตรายที่สุดที่เฉินผิงอันพบเจอที่ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ที่การฝ่าจากขอบเขตสี่ไปสองขอบเขตติด เลื่อนสู่ขอบเขตสูงสุดของวิถีวรยุทธที่หกในรวดเดียว ข้อนี้ เฉินผิงอันที่เป็นคนมีอุบายลึกล้ำย่อมต้องคิดได้ ดูจากที่ตอนนี้เฉินผิงอันสามารถปล่อยและเก็บปณิธานหมัดทั่วร่างได้อย่างเป็นธรรมชาติขนาดนี้ สิ่งที่เขาประสบพบเจอมาในพื้นที่มงคลดอกบัวอาจจะยังไม่เพียงพอ มีความเป็นไปได้ว่าจะได้มาจากการทดสอบที่พ่อตาใช้ทดสอบลูกเขยในคราวนั้นเสียมากกว่า อืม ภูเขาห้อยหัวมีร้านหนึ่งที่ขายเหล่าหวงเหลียง เมื่อดื่มเหล้าก็ลืมความทุกข์ ตอนนั้นเฉินผิงอันก็น่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหกแล้ว ทำได้อย่างไร แล้วย้อนกลับมาที่ขอบเขตเดิมได้อย่างไร หนึ่งพันโลกธาตุเต็มไปความมหัศจรรย์ ที่นั่นยังมีบรรพจารย์ของสำนักจ๋าเจียที่ขายเหล้ามานานหลายปีอยู่ด้วย แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ ต่อให้เฉินผิงอันเดินขึ้นฟ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินได้ในก้าวเดียว ข้าก็ไม่แปลกใจ ดังนั้นเฉินผิงอันผ่านด่านมาได้อย่างไร ง่ายมาก คู่รักเซียนกระบี่ใหญ่สองคนแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่แกล้งปลอมตัวเป็นคนที่ผ่านทางมา จงใจทำให้เฉินผิงอันโมโหตอนอยู่ในร้านเหล้าของพื้นที่มงคลหวงเหลียง เฉินผิงอันเลือดร้อนขึ้นหน้า ต่อให้ต้องสละอนาคตบนวิถีวรยุทธ์ก็ต้องพูดทวงความยุติธรรมให้แก่พ่อแม่ของสตรีผู้เป็นที่รักให้จงได้ นั่นจึงทำให้เขาฝ่าออกจากทางตัน ฝ่าทะลุขอบเขตไปได้สำเร็จ”
ชุยตงซานหัวเราะคิก “เจ้าตะพาบเฒ่า เจ้ายังร้ายกาจอยู่เหมือนเดิม แต่วันหน้าพูดจาให้ระวังหน่อย อย่างอาจารย์ข้านั่นไม่เรียกว่ากลอุบายลึกล้ำ แต่เรียกว่าไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนคิดให้เยอะ เพิ่มพูนสติปัญญา เมื่อเทียบกับพวกเราสองคนที่เกิดมาก็มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง คนหนึ่งคือฟ้า อีกคนก็คือดิน”
ชุยฉานหลุดหัวเราะพรืด “ข้าคาดว่าทุกคนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ต้องคิดว่าเฉินผิงอันไม่คู่ควรกับหนิงเหยา”
ชุยตงซานกล่าวอย่างกังขา “ตะพาบเฒ่า อะไรของเจ้า ทำไมถึงพูดจาดีๆ ถึงอาจารย์ข้าได้แล้วล่ะ ทำไม คิดจะยกธงขาวยอมแพ้ครึ่งทาง? หากเจ้าคิดอย่างนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าพวกเราเสมอกันดีไหม?”
ชุยฉานพูดกับตัวเอง “ตอนนั้นต้องเป็นเพราะเขายอมสละอนาคตบนวิถีวรยุทธของตัวเอง ถึงได้ผ่านด่านของภูเขาห้อยหัวมาได้ หากตอนนี้แม้แต่การอยู่ต่อเพื่อกู้ช่านยังไม่ยินดีทำ แล้วเฉินผิงอันจะมีคุณสมบัติเดินเข้ามาในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร คนฉลาดที่วันนี้ตัดใจไม่ลง คิดว่าวันหน้ารอให้ทรัพย์สมบัติมีมากแล้วค่อยเสียสละ พวกเราเคยเห็นกันมากี่มากน้อยแล้ว?”
ชุยตงซานยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ “ชุยฉาน เจ้าพูดถึงอาจารย์ข้าดีๆ อีกแล้วหรือ? เจ้าคงจะไม่เสียสติไปแล้วกระมัง? อย่าเป็นแบบนี้สิ หากจะเสียสติจริงๆ ก็ได้ แต่รอให้เรื่องใหญ่เรื่องนั้นสำเร็จลงก่อนเจ้าค่อยเป็นบ้า ถึงเวลานั้นอย่างมากข้าก็แค่ต้องเอาข้าวถ้วยเล็กๆ มาวางให้เจ้าตรงหน้าประตูเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว…”
ชุยฉานชี้ไปยังห้องในม้วนภาพวาด หันหน้ามามองชุยตงซาน มุมปากตวัดขึ้นหัวเราะหยัน “ก่อนหน้านี้ข้าบอกเจ้าไว้ว่าอย่างไร? ข้อยากที่สี่ ยากที่มีความยากนับไม่ถ้วน เจ้ารู้หรือไม่ ด่านที่สี่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ตอนนี้ยิ่งเฉินผิงอันตั้งใจเท่าไหร่ หลุมในใจหลังจากนี้ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงเวลานั้นข้าว่าคงเป็นเจ้าต่างหากที่ต้องขอยอมแพ้ข้าครึ่งทาง แล้วก็ต้องกังวลว่าเฉินผิงอันจะจิตมารเข้าแทรกอย่างสมบูรณ์หรือไม่”
ชุยตงซานไม่แสร้งทำเป็นผ่อนคลายอย่างเมื่อครู่นี้อีก เขากลับมานั่งที่เดิม เอ่ยเนิบช้าว่า “ความอ่อนแอและแข็งแกร่งอยู่ที่กำลังมากน้อยเพียงชั่วคราว ชัยชนะและพ่ายแพ้อยู่ที่เหตุผลอันยาวนาน”
ชุยฉานยิ้มกล่าว “หากคำว่า ‘ชั่วคราว’ นี้ก็คือหลายสิบปี หนึ่งร้อยปีล่ะ นั่นก็เป็นเวลาชั่วชีวิตของคนธรรมดาแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร เฉินผิงอันล่ะจะทำอย่างไร?”
ชุยตงซานสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าต้องหัดเรียนรู้จากอาจารย์ของข้าด้วยการปฏิบัติต่อคนบนโลกด้วยความดีเสียบ้าง และนายท่านชุยตงซานอย่างข้าก็คือคนหนึ่งบนโลกใบนี้ ดังนั้นเจ้าอย่าได้มาวางตัวบีบคั้นมารดาเจ้าอยู่ที่นี่”
ชุยฉานยิ้มบางๆ “พวกกลุ่มของหร่วนซิ่วเข้ามาในสถานการณ์แล้ว หลิวเหล่าเฉิง เจ้าของเกาะกงหลิ่วที่เกือบจะถูกคนของทะเลสาบซูเจี่ยนลืมเลือนก็ใกล้จะเข้ามาในสถานการณ์ ไม่แน่ว่ามาเร็วไม่สู้มาได้ถูกจังหวะ”
ชุยตงซานโคลงศีรษะ “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
ชุยฉานเอ่ยเนิบช้า “นี่ก็คือค่าตอบแทนของการใช้เหตุผล ตอนอยู่ตรอกหนีผิงมอบหนีชิวที่ต้องเป็นก่อกำเนิดอย่างแน่นอนตัวหนึ่งให้ไปเปล่าๆ ตอนอยู่ร่องเจียวหลงต้องสูญเสียตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุน ตอนอยู่นครมังกรเฒ่าเกือบจะถูกตู้เม่าแทงตาย ดูท่าอาจารย์ของเจ้ายังกินความยากลำบากไม่มากพอ ค่าตอบแทนไม่ใหญ่พอ ไม่เป็นไร มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนคราวนี้ เขากินรวบรวดเดียวได้จนท้องแตกตายเลยล่ะ”
ชุยตงซานยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น โคลงศีรษะไปมา “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์ ตะพาบท่องคัมภีร์ไม่น่าฟังที่สุด”
ชุยฉานหันหน้ามามอง ‘เด็กหนุ่มชุยฉาน’ ผู้นี้ “วันหน้าหากเจ้ายังมีโอกาสได้ไปภูเขาลั่วพั่ว จำไว้ว่าต้องทำตัวดีๆ กับท่านปู่ให้มากหน่อย หากข้าเป็นท่านปู่แล้วเห็นกิริยานี้ของเจ้า ปีนั้นคงตีเจ้าตายไปแล้ว”
ชุยตงซานไม่เพียงแต่ส่ายก้น ยังเริ่มโบกชายแขนเสื้อกว้างใหญ่สีขาวหิมะสองข้างด้วย
ชุยฉานพูดพึมพำกับตัวเอง “คิดจะบีบให้ตัวเองตายบนทางตายอย่างนั้นหรือ?”
—–