กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 434.2 หมัดและกระบี่ล้วนวางลงได้ เพื่อไปมองเส้นสายหนึ่ง
- Home
- กระบี่จงมา! Sword of Coming
- บทที่ 434.2 หมัดและกระบี่ล้วนวางลงได้ เพื่อไปมองเส้นสายหนึ่ง
วันนี้เฉินผิงอันพายเรือมาเยือนเกาะแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเกาะจูไช ห่างจากเกาะชิงเสียมาค่อนข้างไกล ตัวเกาะมีขนาดไม่ใหญ่ ลูกศิษย์ในสำนักก็มีน้อยบางตา ดังนั้นเจ้าของเกาะที่จะไปหรือไม่ไปร่วมงานประชุมบนเกาะกงหลิ่วก็ได้ผู้นั้น จึงไม่ทำเหมือนเจ้าเกาะขนาดเล็กหลายคนที่ด้วยความหัวแหลมจึงเลือกไปยึดพื้นที่แห่งหนึ่งให้กับตัวเองบนเกาะกงหลิ่ว แต่เลือกจะอยู่บนเกาะ ไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองที่มีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถตัดสินสถานการณ์ในอนาคตอีกร้อยปีของทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งนี้
เฉินผิงอันจอดเรือเทียบท่า ท่าเรือมีสตรีวัยผู้ใหญ่ที่หน้าผากโหนกกว้าง มวยผมสูง เรือนร่างอวบอิ่ม สวมอาภรณ์เปิดเผยเนื้อตัวมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันพอจะเดาตัวตนของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตประตูมังกรท่านนี้ออกแล้ว สตรีแต่งงานแล้วที่เล่าลือกันว่ามีนามเดิมว่าหลิวจ้งรุ่นผู้นี้เคยเป็นเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์แห่งหนึ่งในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ล่มสลายไปแล้ว ว่ากันว่าฮ่องเต้น้อยองค์สุดท้ายของราชวงศ์ถูกสตรีที่เรียกตัวเองว่าป้าผู้นี้อุ้มส่งขึ้นไปบนบัลลังก์มังกร ในเกร็ดพงศาวดารของนครน้ำบ่อยังมีคำเล่าขานกันว่า ตอนนั้นฮ่องเต้น้อยยังเยาว์วัยไม่รู้ประสา ยังหัวเราะร่าพลางตบบัลลังก์มังกรตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ใต้ก้น เรียกให้ท่านป้ามานั่งด้วยกัน และตอนนั้นสตรีผู้นี้ก็นั่งลงไปจริงๆ นางอุ้มฮ่องเต้น้อยไว้ในอ้อมกอด ขุนนางบุ๋นบู๊ในท้องพระโรงเงียบกริบเป็นจักจั่นหน้าหนาว ไม่มีใครกล้าแสดงความกังขาแม้แต่น้อย
เถียนหูจวินเองก็เคยพูดถึงเจ้าเกาะจูไชท่านนี้ เคยเอ่ยชื่นชมนางด้วยประโยคว่า ‘มีความองอาจเหมือนชายชาตรี’
หลิวจ้งรุ่นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เจ้าก็คือนักบัญชีที่พักอยู่ตรงประตูภูเขาของเกาะชิงเสีย?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง อยู่ที่เกาะชิงเสีย ไม่เคยมีใครกล้าเรียกเขาว่านักบัญชีซึ่งๆ หน้ามาก่อน
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “ถือว่าใช่กระมัง”
หลิวจ้งรุ่นถามเข้าประเด็นทันที “คงไม่ใช่ว่าเกาะชิงเสียของพวกเจ้าเห็นเกาะจูไชแห่งนี้เกะกะตา ฉวยโอกาสที่เจ้าเกาะต่างก็พากันไปที่เกาะกงหลิ่วกันหมด เลยคิดจะมาทำอะไรบางอย่างที่นี่กระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “มีแค่ข้าคนเดียวที่มาเยือนเกาะจูไช คงต้องรบกวนแล้ว แค่อยากจะถามหลิวฮูหยินเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยน หากหลิวฮูหยินไม่ยินดีให้ข้าขึ้นเกาะ ข้าก็จะไปที่อื่น”
หลิวจ้งรุ่นหรี่ดวงตาหงส์ที่เรียวยาวคู่นั้นลง “หากข้าบอกว่าเกาะจูไชไม่ต้อนรับท่านนักบัญชีเล่า? บนเกาะนี้ของข้ามีแต่สตรี ทุกคนต่างก็มีตบะไม่สูง หากใครถูกเจ้าหมายตาแล้วจับไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อที่เกาะชิงเสีย ถึงเวลานั้นข้าควรจะปล่อยไปหรือไม่ปล่อยไปดีล่ะ?”
เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลาด้วยสีหน้าเป็นปกติ แล้วจึงหมุนตัวเดินขึ้นเรือ มุ่งหน้าไปที่อื่นอย่างที่บอกจริงๆ
หลิวจ้งรุ่นยืนอยู่ที่เดิม คราวนี้นางสับสนแล้วจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้ว นางเองก็ได้เตรียมลูกศิษย์หญิงอายุน้อยที่หน้าตาโดดเด่นไว้คนหนึ่งแล้ว คิดเสียว่าเป็นการฟาดทรัพย์ดับเคราะห์
บนเกาะเฟยชุ่ยที่อยู่ใกล้เคียงกัน เฉินผิงอันก็ต้องกินน้ำแกงประตูปิดเช่นกัน เจ้าเกาะไม่อยู่ ผู้ดูแลไม่กล้าปล่อยให้ ‘ผู้ถวายงาน’ คนหนึ่งของเกาะชิงเสียขึ้นมาบนฝั่ง ถึงเวลานั้นหากถูกผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์เอาหายนะมาให้ เขาจะไปร้องไห้กับใคร? หากมีแค่ตัวคนเดียว เขาย่อมไม่กล้าปฏิเสธ ทว่าบนเกาะยังมีครอบครัวใหญ่ที่เขาแตกกิ่งก้านสาขาเอาไว้ จึงไม่กล้าประมาทจริงๆ แต่จะไม่เห็นแก่หน้าของผู้ถวายงานหนุ่มเกาะชิงเสียผู้นี้เลยก็ไม่ได้ ผู้ฝึกตนเฒ่าจึงหาทางลงให้คนผู้นั้นด้วยการเดินส่งไปตลอดทาง ปากก็พูดขออภัยไม่หยุด แทบอยากจะลงไปคุกเข่าโขกหัวให้เฉินผิงอันเสียด้วยซ้ำ เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยปลอบใจอะไรอีกฝ่าย เพียงแค่ก้าวเร็วๆ ขึ้นเรือจากไปไกลเท่านั้น
เกาะที่สามคือเกาะฮวาผิง เจ้าเกาะผู้เป็นเซียนดินโอสถทองไม่อยู่ เพราะไปปรึกษาหารือเรื่องใหญ่ที่เกาะกงหลิ่ว แล้วเขาก็เป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ช่วยชูธงร้องสนับสนุนสกัดคงคาเจินจวินมากที่สุด มีเจ้าเกาะน้อยอยู่บนเกาะคอยดูแลถิ่นของตัวเอง ได้ยินว่าแขกของมารใหญ่กู้ ผู้ถวายงานที่หนุ่มที่สุดของเกาะชิงเสียจะมาเป็นแขกบนเกาะตัวเอง พอรู้ข่าวเข้าก็รีบกระโดดออกมาจากรังอันอบอุ่นอ่อนหวานที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของเครื่องประทินโฉม รีบร้อนสวมเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วตรงดิ่งไปที่ท่าเรือ ปรากฎตัวต้อนรับคนผู้นั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตรด้วยตัวเอง
เมื่อได้พบกับผู้ถวายงานหนุ่มที่เกาะชิงเสียปกปิดเรื่องราวของเขาเอาไว้เข้าจริงๆ อันที่จริงเจ้าเกาะน้อยอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ มองดูแล้วไม่เหมือนยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าสังหารอะไร กลับเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนแถบบ้านนอกบ้านนามากกว่า ตอนนี้เกาะน้อยใหญ่โดยรอบเกาะชิงเสียต่างก็กำลังแอบพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ทางฝ่ายของเกาะชิงเสียปิดปากแน่นสนิท ไม่มีข่าวแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย แค่ได้ยินว่าเป็นคนอำมหิตที่ตบบ้องหูมารใหญ่กู้ไปสองทีต่อหน้าฝูงชนในนครน้ำบ่อ กู้ช่านเองก็ไม่เอาคืน กลับยังปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท รับตัวมาที่จวนชุนถิงเกาะชิงเสีย ตอนนี้พวกสหายจิ้งจอกมิตรสุนัขทั้งหลายซึ่งรวมถึงเจ้าเกาะน้อยเองต่างก็กำลังลงเดิมพันกันว่าคนผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ได้กี่วัน นายน้อยแห่งเกาะฮวาผิงลงเดิมพันไว้ว่าเขาต้องตายภายในหนึ่งเดือนแน่นอน ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพญามารกู้ช่านขึ้นชื่อในเรื่องอารมณ์แปรปรวน ชอบสังหารคนตามใจชอบ? ผู้ฝฝึกลมปราณของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ต้องกลายเป็นอาหารในท้องของหนีชิวใหญ่ตัวนั้น ไม่ได้มีแค่ศัตรูคู่แค้นของเขาเท่านั้น แขกของเกาะชิงเสีย หรือแม้แต่เพื่อนกินในวงเหล้าทั้งหลายก็ถูกฆ่าตายไปไม่น้อย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่บนเกาะฮวาผิงครู่หนึ่ง เขาดื่มน้อย แต่อีกฝ่ายกลับดื่มอย่างสมกับคำว่า พบคนรู้ใจ ดื่มพันจอกก็ยังน้อยไป แล้วก็เล่า ‘ความจริงหลังดื่มเหล้า’ จากเจ้าเกาะน้อยไปหลายเรื่อง
ตอนที่กลับมาขึ้นเรือ เฉินผิงอันที่บังคับเรือใคร่ครวญถึงความน่าเชื่อถือของคำพูดเหล่านั้น แล้วก็ได้รู้ว่าทะเลสาบซูเจี่ยนไม่มีตะเกียงดวงใดที่ประหยัดน้ำมัน เมื่อออกห่างมาจากเกาะฮวาผิงแล้วก็หยุดเรืออยู่กลางทะเลสาบ เฉินผิงอันหยิบกระดาษและพู่กันออกมาเขียนเกี่ยวกับผู้คนและเรื่องราวลงไป
หลังจากนั้นทุกวันเขาก็เดินๆ หยุดๆ อยู่เช่นนี้ ได้เห็นเรื่องราวและทัศนียภาพที่แตกต่างกันจากเกาะต่างๆ ส่วนเกาะที่ปิดประตูไม่รับแขก ปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันขึ้นไปบนภูเขาอย่างเกาะจูไชก็มีมากเช่นกัน
ภาพวาดแผนที่ของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เฉินผิงอันยัดไว้ในสาบเสื้อหน้าอกถูกเฉินผิงอันวาดวงกลมลงไปตามเกาะต่างๆ บนแผนที่อย่างต่อเนื่อง
ทุกวันฟ้ายังไม่ทันสางก็พายเรือออกไปจากเกาะชิงเสีย ดึกดื่นค่ำคืนถึงจะกลับมายังห้องบนเกาะชิงเสีย
นอกจากทะเลสาบซูเจี่ยนจะเป็นจุดศูนย์รวมผู้ฝึกตนอิสระจากทั่วสารทิศของแจกันสมบัติทวีปแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเชื่อเรื่องพ่อมดภูตผี วิชานอกรีตที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ยิ่งมีมากมายหลายหลาก
และยังมีอย่างเกาะฮวาผิงที่ผู้ฝึกตนต่างก็ชื่นชอบความหรูหรา ใช้ชีวิตเสพสุขดื่มด่ำอย่างเต็มที่ ทุกวันจะจมจ่อมอยู่กับชีวิตเปี่ยมสุขที่หลงมัวเมาอยู่ในความฝัน บนถนนหนทางของพวกเขาเจาะทองมาแกะสลักเป็นดอกบัว เอาบุปผามาปูพื้น
มีเกาะอีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเย่เฉิง เจ้าของเกาะเปิดสนามประลองสัตว์ ใครที่กล้าเอาหินโยนใส่สัตว์ร้ายก็เท่ากับว่ามีความผิดมหันต์ที่ ‘ล่วงเกินสัตว์’ จะต้องถูกลงทัณฑ์ ทุกวันจะต้องมีผู้ฝึกตนของเกาะแห่งอื่นเอาตัวลูกศิษย์ในสำนักที่ทำผิดหรือไม่ก็ศัตรูคู่แค้นที่ถูกจับตัวมา มาโยนใส่กรงขังของลานประลองสัตว์หลายแห่งที่ชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในเมืองเย่เฉิง และเมืองเย่เฉิงแห่งนี้ยังจัดหาสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามเปี่ยมเสน่ห์มาคอยปรนนิบัติผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศที่มาหาความบันเทิง มาชื่นชมพฤติกรรมอำมหิตนองเลือดของสัตว์ร้ายบนเกาะ
และยังมีเจ้าของเกาะอีกวานที่ว่ากันว่าเคยเป็นผู้รอบรู้ของแคว้นหนึ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป ทว่าตอนนี้กลับชื่นชอบเสาะหาเอาหมวกและกวาน (ที่ครอบผมในสมัยโบราณ) ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อจากสถานที่ต่างๆ มาทำเป็นกระโถนฉี่ยามค่ำคืน
มีวันหนึ่งเฉินผิงอันออกมาจากเกาะแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเกาะอวิ๋นอวี่ บนเกาะมีสำนักตระกูลเซียนอยู่สองแห่ง ซึ่งทั้งสองสำนักต่างก็เชี่ยวชาญการฝึกตนแบบสองผสานในห้องหับ
เมื่อเห็นเฉินผิงอัน สตรีของสำนักหนึ่งในนั้น ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย สายตาของพวกนางล้วนเหมือนหมาป่าที่หิวกระหาย เพียงแต่ป้ายหยกผู้ถวายงานเกาะชิงเสียที่คนหนุ่มห้อยไว้ตรงเอวทำให้พวกนางไม่กล้าทำตัวเหลวไหลมากนัก
ตอนที่เฉินผิงอันเดินลงเขาขึ้นเรือ เขาสะบัดร่างเบาๆ หนึ่งครั้ง กลิ่นหอมอบอวลของเครื่องประทินโฉมที่ยังคงลอยอ้อยอิ่งวนเวียนใกล้กับชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็ล้วนสลายหายไปเกลี้ยง
ระหว่างที่เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนเกาะถัดไป ในที่สุดก็เจอกับนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในทะเลสาบ มีกันสามคน
ชูอีและสืออู่ช่วยกันปั่นทำลายช่องโพรงลมปราณซึ่งเป็นที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตของนักฆ่าสองคน นักฆ่าที่บาดเจ็บสาหัสจึงพลัดตกลงไปในน้ำ
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งฉวยโอกาสนี้ขยับเข้าใกล้เฉินผิงอัน ในขณะที่เขาคิดว่ากุมชัยชนะไว้ในมือแล้วนั่นเอง กลับถูกคนหนุ่มที่สีหน้าอิดโรยคล้ายคนขี้โรคต่อยหมัดเดียวร่วงตูมลงทะเลสาบ
เฉินผิงอันพายเรือ ใช้ไม้พายที่ทำจากไม้ไผ่ตวัดเอาคนทั้งสามขึ้นมาบนเรือเพื่อถามคำถามบางอย่าง นักฆ่าคนหนึ่งในนั้นฉวยโอกาสที่เฉินผิงอันตกอยู่ในภวังค์ความคิดพยายามลอบโจมตีอีกครั้ง แต่กลับถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวอย่างง่ายๆ
จากนั้นเฉินผิงอันก็นำคนมีชีวิตสองคนกับศพที่เย็นชืดหนึ่งศพไปส่งที่ริมฝั่งใกล้กับนครอวิ๋นโหลวของทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากที่คนผู้หนึ่งแบกศพ และอีกคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซขึ้นฝั่ง เฉินผิงอันก็หันหัวเรือพายกลับไปช้าๆ
ครึ่งชั่วยามต่อมา ผู้ฝึกลมปราณหลายสิบคนที่พกพาปราณสังหารเต็มเปี่ยมก็พากันบุกออกจากนครอวิ๋นโหลวอย่างเอิกเกริก
มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดคนหนึ่งเป็นผู้นำ
ล้อมเฉินผิงอันและเรือลำนั้นไว้ตรงกลาง
เฉินผิงอันถามผู้ฝึกกระบี่คนนั้นว่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ชื่อว่าอะไร? เจ้าออกจากเมืองมาสังหารข้าเพราะต้องการทวงความเป็นธรรมแทนสหาย หรือมีความแค้นกับเกาะชิงเสียนานแล้ว?
ผู้ฝึกกระบี่เอ่ยถ้อยคำอันห้าวหาญ บอกว่าเขาไม่สนิทกับคนทั้งสองด้วยซ้ำ พวกเขาถือเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าใครในทะเลสาบซูเจี่ยนก็อยากสังหารทั้งนั้น
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลัง
แต่ใช้สองนิ้วคีบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา
ยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี
สังหารให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดและ ‘ผู้ผดุงธรรม’ ของนครอวิ๋นโหลวสองสามคนที่บุกนำมาด้านหน้าสุดตายคาที่ จากนั้นก็ใช้กระบี่บินชูอีสังหารหนึ่งในนักฆ่าที่รอดชีวิตไปได้ในตอนแรก
ไม่สนใจผู้ฝึกตนของนครอวิ๋นโหลวที่แตกฮือเหมือนนกแตกรัง เฉินผิงอันที่ยิ่งเหนื่อยล้าไม่ได้กลับไปที่เกาะชิงเสียทันที เขาตัดหัวคนสองคนมาห้อยไว้ตรงเอว พาเรือไปจอดเทียบท่าอีกครั้ง หลังจากผูกเรือไว้ที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปในนครอวิ๋นโหลว มาหยุดที่นอกจวนประตูสูงหลังหนึ่ง บอกว่าต้องการมาพบคน คนคุ้นเคยผู้หนึ่งที่เพิ่งจะได้รู้จักกันใกล้กับเกาะอวิ๋นอวี่ของทะเลสาบซูเจี่ยน
ไม่มีใครขัดขวาง หลังจากเฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป เขาก็เจอนักฆ่าคนที่ตอนนั้นแบกศพคนตายขึ้นฝั่ง ข้างกายเขามีกระบี่บินสืออู่ที่ติดตามเขาเข้าเมืองมาอย่างเงียบเชียบลอยตัวอยู่
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางมุมหนึ่งแล้วตะโกนเรียกเบาๆ “ถานเซวี่ย”
เด็กสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวบนหัวกำแพง
เฉินผิงอันกล่าว “วันหน้าไม่ต้องคอยตามข้าแล้ว ไปคุ้มครองกู้ช่านให้ดี อีกอย่างบอกกู้ช่านด้วยว่า เรื่องพวกนี้เขาไม่ต้องมายุ่ง ห้ามพาลโกรธเอากับนครอวิ๋นโหลว”
หนีชิวน้อยพยักหน้ารับอย่างแรง มันรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษจึงรีบพุ่งวูบจากไป
เฉินผิงอันวางศีรษะทั้งสองลงบนโต๊ะหินกลางลานบ้าน เขานั่งลงฝั่งหนึ่ง มองนักฆ่าที่ไม่กล้ากระดุกกระดิกคนนั้นแล้วถามว่า “มีอะไรจะพูดไหม?”
บุรุษผู้นั้นคงรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่แล้ว ความหวังสุดท้ายว่าตัวเองจะโชคดีหายวับไปไม่มีเหลือ ความกล้าพลันผุดขึ้นมาแทนที่ เขาหัวเราะเหี้ยมเสียงดัง “ข้าผู้อาวุโสจะไปรอเจ้าในนรก!”
เฉินผิงอันถาม “แล้วถ้าข้าเปลี่ยนใจ สังหารคนทั้งหมดในนครอวิ๋นโหลวที่เจ้ารู้จักจนสิ้นซากเล่า?”
บุรุษจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “ข้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องสนใจเรื่องพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองคนหลายคนของจวนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือน พอดึงสายตากลับมาแล้วก็ลุกขึ้นยืน “ผ่านไปอีกสองสามวันข้าจะมาหาเจ้าใหม่”
เฉินผิงอันแตะปลายเท้าหนึ่งครั้ง กระโดดขึ้นไปเหยียบบนหัวกำแพง คล้ายว่าไปจากนครอวิ๋นโหลวแล้ว
เพียงแต่ว่าตอนก่อนจะจากไป กระบี่บินสืออู่ได้จ้วงแทงทำลายช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เหลืออยู่ของนักฆ่าคนนั้นจนสิ้นซาก
ทว่าในความเป็นจริงแล้วเฉินผิงอันกลับแอบย้อนกลับมาที่จวนแห่งนั้นอย่างลับๆ
แล้วเขาก็ได้เห็นเหตุการณ์วุ่นวาย
ที่แท้นักฆ่าผู้นั้นไม่ใช่คนของจวน แต่เป็นคนในกลุ่มของเทพเซียนที่สนิทสนมกับเจ้าประมุขคนก่อนของตระกูล คือผู้ฝึกตนที่หลุดรอดจากการฆ่าล้างสำนักแห่งหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนไปได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มาแฝงตัวอยู่ในนครอวิ๋นโหลวที่ง่ายต่อการเปิดเผยร่องรอย แต่ไปอยู่ในนครริมชายแดนแคว้นสือหาวซึ่งห่างจากทะเลสาบซูเจี่ยนไปประมาณสามร้อยกว่าลี้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้เฉินผิงอันพาพวกเขามาทิ้งไว้ที่นี่ นักฆ่าจึงมาพักรักษาตัวที่จวนแห่งนี้ พอดีกับที่นักฆ่าอีกคนหนึ่งมีคนรู้จักและความสัมพันธ์ควันธูปกับนครอวิ๋นโหลวอยู่พอดี จึงรวบรวมผู้ฝึกตนให้ออกจากเมืองไปไล่ฆ่าคนหนุ่มแห่งเกาะชิงเสียได้หลายคน นอกจากมีบุญคุณความแค้นกับเกาะชิงเสียแล้ว ก็หวังจะใช้โอกาสนี้ทำให้หลิวจื้อเม่าที่ตอนนี้ตัวอยู่บนเกาะกงหลิ่วต้องเสียหน้าด้วย หากทำสำเร็จ ไม่แน่ว่ากองกำลังของทะเลสาบซูเจี่ยนที่เป็นศัตรูกับเกาะชิงเสียก็อาจจะปกป้องคุ้มครองพวกเขาบ้าง หรืออาจถึงขั้นที่ช่วยให้พวกเขากลับมาผงาดได้อีกครั้ง ดังนั้นตอนที่คนทั้งสองวางแผนกันอยู่ในจวนจึงรู้สึกว่าแผนนี้น่าจะใช้ได้ผล เป็นทั้งการแสวงหาความร่ำรวยจากความเสี่ยง มีโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงให้ระบือไปทั่ว แล้วยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่ร้ายกาจมากของเกาะชิงเสียได้ เหตุใดจะไม่ยินดีทำเล่า?
เทพเซียน ‘เฒ่า’ ขอบเขตชมมหาสมุทรที่เคยได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนในจวนท่านนี้จึงถูกผู้ถวายงานสองคนที่เป็นแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสี่ร่วมมือกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวห้าขอบเขตกลางอีกคนหนึ่งทรมานอยู่ครึ่งวัน ด้วยกลัวว่าเจ้าคนที่นอนจมอยู่ในกองเลือดจะยังมีท่าไม้ตาย กว่าจะกล้าลงมือจับอีกฝ่ายมัดไว้ได้ คนทั้งสามก็เหงื่อแตกพลั่กเต็มตัว และประมุขของตระกูลคนปัจจุบันถึงได้กล้าผรุสวาทด่าทอว่าคนผู้นี้เป็นพวกเนรคุณ เกือบจะเดือดร้อนให้คนร้อยกว่าชีวิตในจวนต้องตายไปด้วย เจ้าประมุขผู้นี้มีสีหน้าดุร้าย บอกว่าต่อให้ต้องขุดดินลึกลงไปสามฉื่อก็จะต้องไปหาตัวบุตรสาวหน้าตางดงามที่เคยมาเป็นแขกที่จวนเมื่อไม่กี่ปีก่อนของเจ้ามาให้ได้ ถึงเวลานั้นจะให้เจ้าได้ชื่นชมภาพวังวสันต์ที่มีชีวิตทั้งวันทั้งคืนกับตาตัวเอง
ในที่สุดนักฆ่าที่ถูกมัดมือไพล่หลังก็เริ่มดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เนื้อหนังทั่วร่างของเขาปริแตก เลือดสดไหลนองเปรอะเปื้อน
เจ้าประมุขคนนั้นมีความสุขมากเป็นพิเศษ ดวงตาของเขาแดงก่ำ เอ่ยถ้อยคำที่เป็นดั่งการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอย่างเช่นว่า อย่านึกว่าลูกสาวที่เจ้าได้มาตอนแก่คนนั้นจะหาตัวยากนัก คนอื่นไม่รู้รากฐานของเจ้า แต่ข้ารู้ดี เจ้าชอบไปซ่อนตัวอยู่ในเมืองของด่านต่างๆ ตามชายแดนแคว้นสือหาวนักไม่ใช่หรือ? ได้ยินมาว่านางคือเศษสวะที่ไม่มีคุณสมบัติในการฝึกตน แต่ดันเกิดมาหน้าตางดงาม เชื่อว่าหญิงสาวที่มีรูปโฉมเช่นนี้ หากทุ่มเงินก้อนใหญ่คงหาตัวเจอได้ไม่ยาก หากไม่ได้จริงๆ ก็จะปล่อยข่าวออกไปแถวนั้นว่าเจ้าใกล้จะตายอยู่ที่นครอวิ๋นโหลวแล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าลูกสาวคนนั้นของเจ้าจะยังหลบซ่อนตัวไม่ยอมเผยกาย!
—–