กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 435.2 แม่นางชุดเขียวกินขนม
ต่อให้ยิ่งขบคิดจะยิ่งมีโทสะ แต่ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็ยังไม่กล้าฉีกหน้ากับเฉินผิงอัน หากนักบัญชีที่ลึกลับตรงหน้าผู้นี้แทงตนให้ตายด้วยกระบี่เดียวก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก สกัดคงคาเจินจวินหรือจะยินดีทวงความยุติธรรมจากลูกศิษย์คนเล็กกู้ช่านและ ‘เซียนกระบี่’ หนุ่มตรงหน้าผู้นี้เพื่อผู้ถวายงานระดับสองที่ไร้ชีวิตไปแล้วคนหนึ่ง? แต่ผู้ฝึกตนผีก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง จึงตอบกลับไปว่า เขาเป็นผู้ฝึกตนผีที่กักดวงจิตพันธนาการวิญญาณก็จริง แต่คนที่มีผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์มากที่สุดกลับไม่ใช่เขา แต่เป็นอวี๋กุ้ยที่แต่งตั้งตัวเองเป็นราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบซึ่งอยู่บนเกาะตะขอจันทร์อันเป็นหนึ่งในเกาะใต้อาณัติ ในฐานะแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การปกครองของอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ เขาไม่เพียงแต่เป็นฝ่ายทรยศเกาะตะขอจันทร์ก่อน หลังจากนั้นยังติดตามสองอาจารย์และศิษย์อย่างสกัดคงคาเจินจวินกับกู้ช่าน ทุกครั้งที่สงครามปิดฉากลง เขาจะรับหน้าที่เป็นคนเก็บกวาดสถานที่ ตอนนี้เกาะเหมยเซียนที่หูเถียนจวินเป็นผู้ยึดครอง รวมไปถึงเกาะใหญ่อีกหลายแห่งซึ่งมีเกาะซู่หลินเป็นหนึ่งในนั้น ดวงวิญญาณของคนที่ตายไปในการต่อสู้ เจ็ดแปดในสิบส่วนล้วนถูกเขากับผู้ฝึกตนเซียนดินสำนักหยินหยางอีกคนหนึ่งที่เฝ้าพิทักษ์เกาะกาหยกแบ่งสรรปันส่วนกันจนหมดสิ้นแล้ว เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปแตะต้อง ได้แต่อาศัยการทุ่มเงินซื้อภูตผีบางส่วนที่ปราณหยินเข้มข้น ปราณกระดูกแข็งแรงมาจากพวกผู้ถวายงานอันดับต้นสองคนนี้ของเกาะชิงเสียเท่านั้น
บนโลกนี้ไม่มีการค้าใดที่นั่งลงพูดคุยกันไม่ได้ ถึงท้ายที่สุดแล้วก็ยังต้องดูว่าเงินที่ควักมากพอหรือไม่ มีความจริงใจเพียงพอหรือไม่ ใจเด็ดพอที่จะทุ่มเงินหรือไม่
สุดท้ายผู้ฝึกตนผีเอ่ยว่า ในเมื่อท่านเฉินให้ราคาโดยอิงตามขอบเขตสูงต่ำตอนที่วัตถุหยินและดวงวิญญาณเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่ายุติธรรมมากพอ แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญบนมหามรรคาในการฝึกตนของตน ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเห็นแก่หน้ากันหรือไม่ เว้นเสียจากว่าท่านเฉินสามารถทำเรื่องหนึ่งได้สำเร็จ เขาถึงจะยินดีรับปาก หลังจากนั้นเขาจะค่อยๆ คัดเลือกวัตถุหยินและภูตผีที่อยู่ในธงเรียกวิญญาณและในบ่อลมหยินออกมาให้ และนั่นจึงจะถือว่าได้เริ่มทำการค้ากันอย่างจริงจังแล้ว
เมื่อเฉินผิงอันฟังเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการให้ทำก็พยักหน้าตอบรับ
ออกมาจากจวน ตอนที่เดินผ่านประตูเรือน เฉินผิงอันบอกลา ‘หญิงชรา’ คนเฝ้าประตูที่มีนามว่าหงซูผู้นั้นหนึ่งคำ
เฉินผิงอันกลับไปที่ประตูภูเขาเกาะชิงเสีย ไม่ได้กลับไปที่ห้อง แต่ไปที่ท่าเรือ พายเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะจูไช
ได้พบกับหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะ สตรีงดงามที่มีเรือนกายสูงใหญ่อวบอิ่มผู้นั้นอีกครั้ง
ที่แท้ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าก็มาจากแคว้นเดียวกับสตรีแต่งงานแล้วผู้นี้ เพียงแต่ว่าสถานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คนหนึ่งคือป้าแท้ๆ ของฮ่องเต้น้อยองค์สุดท้าย คือสตรีที่มีอำนาจปกครองราชสำนัก ขาดก็แค่ไม่ได้ขึ้นครองราชย์ด้วยตัวเองเท่านั้น แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นแค่คนแบกอาหารในบรรดานักการของวังหลวง ส่วนเรื่องที่ว่าปีนั้นทั้งสองฝ่ายไปรู้จักกันได้อย่างไร เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เฉินผิงอันไม่ได้ถามอย่างละเอียด ถึงอย่างไรการที่ผู้ฝึกตนผีสวามิภักดิ์ต่อหลิวจื้อเม่า เลือกเกาะชิงเสียเป็นสถานที่ก่อตั้งจวนของตัวเองก็เพื่อให้ได้ใกล้ชิดหลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไชผู้นี้
เดิมทีวันนี้หลิวจ้งรุ่นที่เถียนหูจวินเอ่ยชมว่า ‘มีมาดองอาจดุจชายชาตรี’ คิดจะทำความดีชดใช้ความผิด เนื่องจากคราวก่อนไม่รู้ว่าตบะของนักบัญชีตรงหน้าลึกล้ำหรือตื้นเขิน ด้วยความระมัดระวังรอบคอบจึงเลือกจะปฏิเสธไม่ให้เฉินผิงอันขึ้นมาบนเกาะ ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อข่าวลือเรื่องการเข่นฆ่าที่เกาะอวิ๋นอวี่และนครอวิ๋นโหลวแพร่ออกมา หลิวจ้งรุ่นก็ให้รู้สึกเสียใจภายหลัง ด้วยตบะที่ลึกล้ำเกินจะคาดเดาของคนผู้นี้ เกรงว่าต่อให้ใช้กำลังของตัวเขาเองคนเดียว คิดจะทำให้คนบนเกาะจูไชบาดเจ็บล้มตายกันไปเกินครึ่งก็ยังไม่ยาก ดังนั้นนางจึงรีบให้คนไปส่งเทียบเชิญที่เกาะชิงเสีย เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้ท่านเฉินมาเป็นแขกที่หอไข่มุกของเกาะจูไช ถือเป็นการล้อมคอกหลังวัวหาย หลีกเลี่ยงไม่ให้นางหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชกลายมาเป็นหนามตำใจของนักบัญชีท่านนั้น
เพียงแต่เมื่อหลิวจ้งรุ่นได้ยินว่าผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าบนเกาะชิงเสียต้องการพบหน้านางสักครั้ง นางก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ทิ้งเฉินผิงอันให้ยืนอยู่ตรงนั้น ตัวเองหมุนตัวกลับเดินขึ้นเขา พูดเสียงเย็นว่า “หากท่านเฉินอยากจะมาเที่ยวชมเกาะจูไช ข้าหลิวจ้งรุ่นย่อมต้องพาเที่ยวอย่างแน่นอน แต่หากจะมาทำหน้าที่เป็นคนช่วยพูดแทนเจ้าคนชั่วช้าที่ยังไม่เลิกคิดชั่วผู้นั้น ท่านเฉินมาทางไหนก็ขอเชิญกลับไปทางนั้นเถิด”
เฉินผิงอันจึงได้แต่พายเรือจากมา ไปหาอวี๋กุ้ยที่เรียกตัวเองว่าราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบ เขาคือผู้ฝึกตนผีใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ตบะโอสถทอง ไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าซึ่งเป็นเพียงขอบเขตประตูมังกรจะเทียบเคียงได้
ตอนนี้เขายึดครองทั้งเกาะตะขอจันทร์ สถานะเท่าเทียมกับเถียนหูจวิน ต่างก็เป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาภายใต้การปกครองของหลิวจื้อเม่า เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังและค่อยๆ เงียบหายไปตามกาลเวลาแล้ว อวี๋กุ้ยนั้นต้องเรียกว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่กระฉ่อนไกล ยิ่งนานวันก็ยิ่งเลื่องลือไปทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน เกาะตะขอจันทร์คือเกาะใหญ่ที่มีศักยภาพไม่ธรรมดา เจ้าเกาะที่เป็นโอสถทองเฒ่าก็ยิ่งเป็นพวกกระดูกแข็งที่ขึ้นชื่อว่าแทะได้ยาก แต่สุดท้ายกลับถูกอวี๋กุ้ยทรยศหักหลัง ทำลายค่ายกลภูเขาแม่น้ำของเกาะตะขอจันทร์ ทำให้หลิวจื้อเม่า กู้ช่านและหนีชิวน้อยฉวยโอกาสบุกเข้ามาได้ เปิดฉากเข่นฆ่าจนผู้ฝึกตนพันว่าคนบนเกาะตะขอจันทร์รับมือไม่ทัน คนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก อวี๋กุ้ยที่พรสวรรค์เลิศล้ำกลับกลายเป็นเศรษฐีภายในค่ำคืนเดียว เก็บรวบรวมดวงวิญญาณของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมาเป็นจำนวนมาก แล้วใช้เวทลับเฉพาะค่อยๆ หล่อหลอมไปทีละดวง เล่าลือกันว่ามีความเป็นไปได้มากที่เขาจะกลายเป็นก่อกำเนิดที่เลื่อนขั้นใหม่คนถัดไปของทะเลสาบซูเจี่ยน อีกทั้งยังครอบครองภรรยาและบุตรสาวของอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามีชีวิตอย่างสุขสบายประดุจเทพเซียน แม้แต่หลิวจื้อเม่าก็ยังเคยสัพยอกในงานเลี้ยงฉลองของเกาะชิงเสียว่า อวี๋กุ้ยต่างหากถึงจะเป็นคนที่รู้จักเสวยสุขที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยน
กู้ช่านก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้คนผู้นี้ในงานเลี้ยงฉลอง นี่ทำให้อวี๋กุ้ยมีหน้ามีตาอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นดื่มคารวะกู้ช่านกลับถึงสามจอกใหญ่
ต้องรู้ว่ามารน้อยกู้ช่านที่ฝีมือร้ายกาจไร้ผู้ใดทัดเทียมแทบไม่เคยทำสีหน้าดีๆ ให้ผู้ถวายงานคนใดได้เห็น
ตอนที่เรือจอดเทียบท่า เฉินผิงอันก็คีบยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นออกมา เรียกหุ่นเชิดองค์เทพสองตนที่ฟูมฟักสติปัญญาเสี้ยวหนึ่งอยู่กลางหัวใจของยันต์ออกมา
แล้วก็เดินขึ้นเขาทั้งอย่างนี้
การกระทำของเขา สมกับเป็นทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างมาก
ไม่ใช่นักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียที่ไม่ว่ากับใครก็ล้วนเป็นมิตรผู้นั้นอีกต่อไป
ทำเอาอวี๋กุ้ยที่เดิมทียังคิดจะวางท่าตกใจจนต้องรีบออกมาต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติท่านนี้ด้วยตัวเอง
พอรู้ว่าท่านเฉินที่ทำท่าทางคล้ายจะเปิดศึกสังหารครั้งใหญ่บนเกาะตะขอจันทร์ผู้นี้แค่มาที่นี่เพื่อซื้อวัตถุหยินดวงวิญญาณที่ไม่มีความสำคัญเหล่านั้น อวี๋กุ้ยก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมพูดถึงความยากลำบากมากล้นของตนกับนักบัญชีอ้อมๆ ยกตัวอย่างเช่นตนมีความแค้นอันลึกล้ำกับอดีตเจ้าเกาะตะขอจันทร์ที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นั้นอย่างไร แล้วตนได้รับความอัปยศดูหมิ่นอย่างไรกว่าจะได้กลับมาครองรักกับอนุภรรยาคนหนึ่งที่ถูกเจ้าเฒ่าบ้ากามผู้นั้นรังแก
เฉินผิงอันรับฟังความทุกข์ที่ราชาผีแห่งภูเขาและทะเลสาบท่านนี้ระบายออกมาเงียบๆ รอจนกระทั่งแม้แต่ตัวอวี๋กุ้ยเองก็รู้สึกว่าไม่มีคำพูดอะไรให้เอามาพูดอีกแล้ว เฉินผิงอันถึงได้เริ่มทำการค้าวิญญาณหยินกับอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าอวี๋กุ้ยรู้สึกว่าตัวเองมีกิจการใหญ่โต หรือมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและใจกว้างมากกว่าหรือไม่ เขาถึงได้พูดง่ายกว่าผู้ฝึกตนผีแซ่หม่าแห่งเกาะชิงเสียอยู่มาก แทบจะยกวิญญาณและวัตถุหยินจำนวนมากที่สามจิตเจ็ดวิญญาณแทบไม่เหลืออยู่แล้วให้กับนักบัญชีท่านนั้นไปเปล่าๆ วัตถุหยินประเภทนี้ หากไม่เป็นเพราะอวี๋กุ้ยไม่ใช่ผู้ฝึกตนน้อยน่าสงสารที่ต้องไปตามหาภูตผีชั้นต่ำตามสุสานในชนบทและสุสานไร้ญาติเพื่อนำมาหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่นานแล้ว ป่านนี้ก็คงถูกเขาหลอมจนหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว ถึงอย่างไรขุนพลผีและราชาผีที่ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าก็ยังจำเป็นต้องกินดวงวิญญาณกระจัดกระจายเหล่านี้เป็นอาหาร
เฉินผิงอันถามถึงยันต์บางส่วนที่ช่วยบำรุงความอบอุ่นให้กับดวงวิญญาณเหล่านี้มาจากอวี๋กุ้ยเพิ่มเติม
อวี๋กุ้ยคอยระวังและป้องกันหุ่นเชิดสองตนที่ยืนอยู่ด้านหลังคนหนุ่มผู้นี้อยู่ตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าหากพูดจาไม่เข้าหูกัน พวกมันจะเปิดฉากสังหารโหด ได้ยินคำถามที่ไม่เจ็บไม่คันพวกนี้ เขาก็ย่อมตอบทุกเรื่องที่รู้อย่างไม่มีกั๊กไว้
นอกนครอวิ๋นโหลว ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเจ็ดที่มีผู้ฝึกตนสิบกว่าช่วยคุมขบวนอยู่ด้านข้างยังถูกเจ้าสองตัวนี้ฆ่าตายคาที่ สำหรับเรื่องนี้ เชื่อว่าผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนในทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งแม้แต่เขาอวี๋กุ้ยเองก็ยังเริ่มมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการขบคิดแผนการรับมือ ไม่แน่ว่าทางเกาะกงหลิ่วที่มีเจ้าเกาะหลายคนไปรวมตัวกันอยู่ก็อาจจะยังต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายสถานการณ์ครั้งนี้
ผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนของทะเลสาบซูเจี่ยนได้ยึดกฎข้อหนึ่งไว้เป็นบรรทัดฐานมาตลอดเวลา นั่นก็คือไม่มีสมบัติอาคมใดที่ไร้ศัตรูอย่างแท้จริง วันนี้มี เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่มี อย่างมากสุดก็วันมะรืน จะต้องหาวิธีแก้ไขคลี่คลายได้แน่นอน
เฉินผิงอันไม่ได้ให้อวี๋กุ้ยไปส่ง เมื่อไปถึงท่าเรือเขาก็เก็บยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีซึ่งรัศมีจิตแห่งยันต์เริ่มหม่นแสงลงทุกทีแผ่นนั้นไว้ในชายแขนเสื้อ ครั้นจึงพายเรือจากไป
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทะเลสาบซูเจี่ยน ทัศนียภาพงดงาม เกาะนับพันเกาะที่กระจายตัวกันอยู่ในมุมต่างๆ ล้วนมีภาพความงามที่แตกต่างกันออกไป
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนกลับไปเกาะชิงเสีย
แล้วเขาก็หยุดเรืออยู่บนทะเลสาบ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่า
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยก็กวาดตามองทัศนียภาพของทะเลสาบที่อยู่รอบด้าน
ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งเคยกล่าวไว้ว่า นิสัยและคุณสมบัติของวิญญูชนไม่ต่างจากคนทั่วไป ก็แค่วิญญูชนเก่งในการยืมใช้วัตถุนอกกายเท่านั้น
ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้เขียนจดหมายสามฉบับ ส่งกระบี่บินไปยังสามทิศทาง
ไม่เสียดายที่ต้องเผาผลาญรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของจิตแห่งยันต์ เอายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีมาใช้อย่างเด็ดเดี่ยว และยังมีการบังคับให้วัตถุกึ่งเซียนเล่มนั้นออกจากฝัก
ตอนนี้เฉินผิงอันก็รู้แล้วว่าที่แท้หลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ก็มีธรณีประตูเหมือนกัน สูงเกินไป ไม่เต็มใจจะเดินเข้าไป ต่ำเกินไปก็มักจะไม่เห็นความสำคัญ ไม่สูงไม่ต่ำ เดี๋ยวทิ้งเดี๋ยวเก็บ ไม่เคยเอามาเป็นหลักการเหตุผลที่แท้จริง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงต้องไล่ตามเส้นทางระดับล่างสุดของส่วนลึกในหัวใจ ร่องดินที่ตัดสลับอยู่ในผืนนาหัวใจซึ่งคนคนหนึ่งใช้มองและปฏิบัติตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นบนโลกใบนี้ ยกตัวอย่างเช่นมารดาของกู้ช่าน นางไม่เคยเชื่อว่าทำชั่วได้ชั่ว แต่เฉินผิงอันเชื่อมาโดยตลอด นี่ก็คือความต่างทางรากฐานจิตใจของคนทั้งสอง ถึงได้ชักนำให้เกิดความต่างที่มากขึ้นในด้านการคิดคำนึงถึงผลได้และผลเสียของคนทั้งสอง คนหนึ่งให้ความสำคัญกับวัตถุที่จับต้องได้จริง ส่วนเฉินผิงอันนั้นยินดีที่จะคิดถึงผลได้ผลเสียนอกเหนือจากวัตถุที่จับต้องได้จริงไปอีก นี่ไม่เกี่ยวเลยว่าหลังออกจากบ้านเกิดแล้วพบเจออะไรมา หรือได้รู้หลักการเหตุผลในตำรามากน้อยเท่าไหร่
หากสืบสาวให้ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม นั่นก็จะเกี่ยวพันไปถึงทัศนคติที่เรียบง่ายที่สุดที่คนคนหนึ่งมีต่อโลกใบนี้ เกี่ยวพันกับหนึ่งนั้นที่ราชครูชุยฉานพูดถึง
อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินผิงอันก็คิดมาถึงขั้นนี้แล้ว เพียงแต่เขาเลือกที่จะหยุดนิ่งไม่เดินหน้าต่อ และหันหลังเดินย้อนกลับไป
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์
การรับรู้พื้นฐานทั้งหมดที่จะตัดสินนิสัยและการกระทำของคนคนหนึ่ง ไม่ว่าจะแคบหรือกว้าง เล็กหรือใหญ่ ผิดหรือถูก หนาหรือบาง สุดท้ายแล้วก็ไปรวมอยู่ที่คำว่าปฏิบัติ แข่งกันที่ความสามารถของแต่ละฝ่าย
ทุกวันนี้เฉินผิงอันจำเป็นต้องไม่ฝึกหมัด แล้วก็วางการฝึกกระบี่ลงด้วย แม้แต่อนาคตสำคัญที่มีสัญญาสิบปีและหกสิบปีก็ยังต้องไม่ไปคิดถึงพวกมันให้มากความ นี่จึงทำให้เขามีเวลาว่างมากพอที่จะทำให้จิตใจสงบเพื่อใช้ครุ่นคิดและหันกลับมามองทะเลสาบซูเจี่ยนใหม่อีกครั้ง เมื่อเทียบกับตอนนั้นที่ยืนอยู่บนราวระเบียงของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงแล้ว สิ่งที่เขาคิดมีมากกว่าเดิม และสิ่งที่เขามองก็ยาวไกลยิ่งกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันมั่นใจเลยว่าทะเลสาบซูเจี่ยนก็คือสถานที่ที่สำนักการทหารต้องช่วงชิงมาให้จงได้ ก่อนที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะลงใต้ นี่คือสถานที่เหนือกฎหมายที่เหล่าผู้ฝึกตนอิสระพากันมาหลบภัย คือสถานที่อันเป็นดั่งซี่โครงไก่ที่จะกินก็ยุ่งยาก แต่หากไม่กินก็เกะกะในสายตาของราชวงศ์จูอิ๋ง ตอนนี้สมดุลถูกทำลายลงแล้ว แน่นอนว่าต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน
เฉินผิงอันเองก็กำลังรออยู่เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลใกล้มดอย่างราชวงศ์จูอิ๋งที่จะได้ยึดครองทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะเป็นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ไกลถึงตอนเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปที่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือจะเป็นคนกลางอย่างสำนักศึกษากวานหูที่ไม่อยากเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นใหญ่เพียงลำพัง ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมต้องเกิดความสมดุลอันละเอียดอ่อนอย่างใหม่
แล้วก็ย่อมมีลางว่ากฎหมายของแคว้นหนึ่งใหญ่พอที่จะกลบทับขนบธรรมเนียมประเพณีของสถานที่หนึ่ง
—–