กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 438.1 ฟ้าสว่างแล้ว
ในหอสูงของนครน้ำบ่อ
คืนนี้ชุยฉานได้รับกระบี่บินส่งข่าวถึงสามเล่มติด ทว่าเขาที่มีฐานะเป็นราชครูต้าหลีกลับไม่สนใจจะเปิดดูแม้แต่น้อย
ชุยตงซานยืนอยู่ริมขอบวงกลมของบ่อสายฟ้าสีทอง สองมือไพล่หลัง ก้าวเดินเนิบช้า ถามว่า “เนื้อหาที่จงขุยเขียนมีความหมายว่าอย่างไร? แล้วหร่วนซิ่วมองอะไรออกกันแน่?”
ชุยฉานย้อนถามสองประโยคตัดบทคำพูดของชุยตงซาน “เจ้าคิดว่าข้าเป็นมรรคาจารย์เต๋าหรือไง? ความจริงในท้ายที่สุดที่อนุมานมาได้ทั้งหมด ล้วนจำเป็นต้องนำข้อมูลจำนวนมากมารวมกัน ความรู้ทั่วไปเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่มีงั้นหรือ?”
ชุยตงซานหมดคำพูด “น่าเบื่อ ก็แค่หาเรื่องชวนคุย เจ้าต้องคิดจริงจังด้วยหรือไง”
ชุยฉานได้รับกระบี่บินส่งข่าวอีกเล่มหนึ่งที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ เหมือนกับกระบี่บินทุกเล่มก่อนหน้านี้ที่ไม่บินทะยานเหนือน่านฟ้าอันเป็นอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน แต่ในหอเรือนสูงแห่งนี้จะมีตาน้ำพุเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นน้ำพุก็ไหลริน แล้วกระบี่บินก็พุ่งมาถึง ก่อนที่ตาน้ำพุจะสลายหายไป
นี่ย่อมเป็นกลไกลับที่สูงที่สุดของทางกองทัพต้าหลี เผาผลาญความคิดและจิตใจของผู้ฝึกตนสำนักโม่ต้าหลีไปเยอะมาก แน่นอนว่ารวมถึงเงินเทพเซียนในจำนวนที่น่าตะลึงด้วย
ชุยฉานยังไม่เปิดกระบี่บินอ่านเนื้อความในรายงานอยู่เหมือนเดิม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “มีมนุษย์เป็นรากฐาน ยังไม่ต้องพูดถึงพวกภูตผี เอาแค่อริยะสำนักศึกษาที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่หนึ่งที่จำเป็นต้องมีระดับขั้นสูง จากนั้นยังต้องคอยไปคิดถึงเรื่องของใต้หล้า เรื่องที่อยู่นอกเหนือจาก ‘มนุษย์’ นี่อยู่เหนือความรู้ของวิญญูชนไปแล้ว วิญญูชนแค่ต้องสร้างพระคุณต่อพื้นที่ของหนึ่งแคว้น แล้วค่อยไปวางแผนสำหรับหนึ่งทวีป จึงเป็นเหตุให้รากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนอยู่ที่ตัวของมนุษย์”
ชุยฉานกล่าวอีก “เฉินผิงอันคิดขอบเขตของวงกลมนี้ขึ้นมาได้ ไม่พูดถึงความรู้ที่มีก่อนหน้า พูดถึงแค่ความใหญ่เล็ก ส่วนอื่นๆ ก็มีส่วนที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่เหวยเลี่ยงผู้บัญชาการณ์ใหญ่แคว้นชิงหลวนเคยเสนอไว้ ซึ่งบอกว่ากฎหมายบนโลกจำเป็นต้องมีมนุษย์เป็นรากฐาน นี่หมายความว่าการใช้กฎหมายของคนกับภูตผีล้วนไม่เหมาะสมทั้งหมดทุกประการ”
ชุยตงซานเอ่ยถาม “ดังนั้นเจ้าถึงได้มองเหวยเลี่ยงลูกศิษย์สำนักนิติธรรมเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันครึ่งตัว?”
ชุยฉานพยักหน้ารับ “ก่อนจะเดินไปถึงสุดปลายทาง ยังพอจะถือว่าเส้นทางแตกต่างแต่เป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งยังสามารถส่งเสริมทฤษฎีคุณความชอบได้อีกด้วย”
ชุยฉานหันหน้ามายิ้มกล่าว “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ทำไมเจ้าไม่ขอให้ข้าช่วยปิดบังภาพเหตุการณ์ที่ท่าเรือ? ไม่กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็นหรอกหรือ?”
ชุยตงซานเดินเลียบไปรอบวงบ่อสายฟ้า ตอบอย่างง่ายๆ ว่า “ไม่จำเป็น ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่พวกเราครุ่นคิดจนเข้าใจดีแล้ว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับความสูงอย่างงานโต้วาทีสามลัทธิที่ซิ่วไฉเฒ่าเข้าร่วมสองครั้งในปีนั้นเลย ความรู้นี้ของเฉินผิงอันไม่ได้ทำให้ใครตกใจตายได้ ส่วนที่ทำให้คนตกใจตายได้อย่างแท้จริงยังคงเป็นถ้อยคำของซิ่วไฉเฒ่าที่ทำให้ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลัทธิพุทธ และขอบเขตไร้มลทินของจิตวิญญาณลัทธิเต๋าขวัญหนีแตกกระเจิงนั่นต่างหาก”
ดูเหมือนชุยฉานจะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ “นี่ถือว่าเฉินผิงอันเดินมาถึงกึ่งกลางภูเขาแล้ว ในมือเขาหิ้วโคมไฟหนึ่งดวงที่แสงไฟส่ายไหวส่องสว่างทางสายเล็กใต้ฝ่าเท้า เจ้าและข้าไม่นับ เพราะได้ผลประโยชน์ไม่มาก ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายที่คนที่พบเห็นมีเพียงแค่จงขุยกับหร่วนซิ่วสองคนเท่านั้น”
ชุยตงซานหยุดเดิน ชำเลืองตามองม้วนภาพภูเขาและแม่น้ำที่คลี่ปูอยู่บนพื้นตรงหน้าชุยฉานแล้วพูดเหน็บแนม “คนอื่นๆ เห็นแล้วก็มีแต่จะรู้สึกว่าเกะกะสายตาเท่านั้น หากเป็นคนที่เห็นแล้วไม่เข้าใจเลยกลับจะดีกว่าหน่อย แต่ถ้าเป็นพวกที่เห็นแล้วเข้าใจกึ่งครึ่ง หรือก็คือพวกที่อยู่ตรงซ้ายมือสุดของครึ่งวงกลมด้านบน เห็นแล้วก็จะยิ่งใจไม่ดี เรื่องราวและจิตใจคนที่เป็นเช่นนี้ เฉินผิงอันล้วนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กู้ช่าน ผู้ฝึกตนที่เฝ้าหน้าประตูของเกาะชิงเสีย เจ้าคิดว่าหากพวกเขาได้เห็นแล้วจะเป็นอย่างไร? มีแต่จะยิ่งหงุดหงิดใจก็เท่านั้น ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าความสุขและความทุกข์ในชีวิตคนล้วนถูกกำหนดมาแล้ว อย่างน้อยก็พูดถูกครึ่งหนึ่ง มดที่ต้องเกลือกกลิ้งอยู่ในดินโคลนก็ย่อมจะเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิต คนที่ควรจะได้เห็นแสงสว่างน้อยนิดแล้วปีนออกมาจากหลุมอาจมก็ย่อมได้ปีนออกมา สลัดของเน่าเสียบนร่างทิ้ง เปลี่ยนจากเด็กบ้านนอกที่ภายนอกขาเปื้อนโคลนมาเป็นคุณชายผู้มีจิตใจสง่างาม ยกตัวอย่างเช่นหลูป๋ายเซี่ยงผู้นั้น”
สีหน้าของชุยฉานผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
การพูดคุยระหว่างจิ้งจอกเฒ่าและจิ้งจอกน้อยที่ ‘เดิมทีเป็นคนคนเดียวกัน แต่ภายหลังจิตวิญญาณแยกจาก’ คู่นี้ตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูเหมือนสอดคล้องเข้ากันเป็นอย่างดี ความหมายในคำพูดล้วนจงใจกดระดับความสูงและความหมายของวงกลมบนท่าเรือของเฉินผิงอันเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบงันกันไป
ชุยฉานเริ่มทยอยเปิดกระบี่บินส่งข่าวทั้งสี่เล่มออกอ่าน
เนื่องจากเงินเทพเซียนที่ต้องใช้ในการประคับประคองให้กระบี่บินเล่มหนึ่ง ‘เดินทางผ่านรอยแยกของแม่น้ำแห่งกาลเวลา’ มหาศาลเกินไป ดังนั้นเนื้อหาของรายงานทุกฉบับจึงมักจะไม่ยาว ส่วนใหญ่จะใช้ถ้อยคำที่สั้นกระชับได้ใจความ
นี่ก็เป็นหนึ่งในผลลัพธ์จากการที่ชุยฉานมุ่งเน้นแก้ไขระบบความยืดยาดของวงการขุนนางหลังจากได้กลายเป็นราชครูต้าหลี
เขาพยายามจะใช้ถ้อยคำที่ขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีล้วนสามารถ ‘ฟังเข้าใจ’
ดูเหมือนว่าชุยฉานจะกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการกิจธุระบ้านเมือง
ชุยตงซานพลันเกิดแรงบันดาลใจ เขาท่องประโยคหนึ่งซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจเงียบๆ นั่นคือ ‘ถ้อยคำยิ่งใหญ่’ ที่ซิ่วไฉเฒ่าเคยพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพระใหญ่ท่านหนึ่งที่เดินทางไกลมาถึงใต้หล้าไพศาล
‘ใจข้าส่องสว่าง แล้วยังต้องพูดอะไรอีก’
หลังจากที่ชุยฉานจัดการเรียบเรียงรายงานทางการทหารทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก็ไล่ตอบจดหมายไปทีละฉบับ
จากนั้นชุยฉานก็นั่งเงียบๆ ใช้วิธีมองภายในจมจ่อมอยู่กับทารกก่อกำเนิด ‘ชุยฉาน’ ที่อยู่ในจิตวิญญาณ เขานั่งอยู่บนพื้นของช่องโพรงแห่งชะตาชีวิต ขยับบิดวงโคจรของเส้นตรงของวงกลมบนท่าเรือนั้น ดังนั้นมันจึงกลายมาเป็นภาพปลาคู่หยินหยางที่ปีนั้นมรรคาจารย์เต๋าวาดไว้บนโลกมนุษย์
ครั้นจึงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ผลักวงกลมนี้ไปด้านข้างเบาๆ จากนั้นจึงหันกลับมามองวงกลมเดิมใหม่อีกครั้ง มองภาพที่ถูกแบ่งเป็นหกส่วนใหญ่ หกส่วน ตอนนั้นเฉินผิงอันเอ่ยว่าไม่มองจากสูงลงไปต่ำ แต่ให้เดินวนไปรอบวงกลม ถ้าเช่นนั้นก็จะมีแค่การแบ่งซ้ายกับขวาเท่านั้น เคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร โยกย้ายใจคน นี่เรียกว่าสังสารวัฏไม่หยุดนิ่ง!
ยิ่งมองทารกก่อกำนิดในหัวใจของชุยฉานก็ยิ่งสีหน้าเยียบเย็น
ทันใดนั้นชุยฉานก็กระชากจิตวิญญาณออกมา ลืมตาขึ้น นิ้วมือสองข้างในชายแขนเสื้อใหญ่ข้างหนึ่งทำมุทราอย่างรวดเร็ว โดยมีจุดเริ่มต้นเป็นตัวอักษร ‘เหยา’
ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น
“ชุยตงซาน!”
“ชุยฉาน!”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มตะโกนชื่อของอีกฝ่ายออกมาแทบจะเวลาเดียวกัน
ชุยตงซานรีบหยิบภาพม้าวิ่งแห่งกาลเวลาที่เคยให้เผยเฉียนดูออกมาวางไว้บนพื้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนชุยฉานก็รีบมาหยุดอยู่ตรงริมขอบของบ่อสายฟ้าสีทองของชุยตงซาน พูดเสียงหนัก “เลือกมาแค่ภาพของคนแซ่เหยาที่เป็นหัวหน้าเตาเผามังกร! ทั้งหมด!”
ชุยตงซานอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ตาแก่หยางเหล่าโถวผู้นั้นเป็นตะพาบเฒ่ายิ่งกว่าเจ้าเสียอีก! ต้องเป็นเขาที่จงใจปกปิดร่องรอยทั้งหมดของหัวหน้าช่างเหยา ใช้กลยุทธปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทร การอนุมานอย่างไม่ตั้งใจของพวกเราก่อนหน้านี้ เดิมทีก็เป็นเพราะถูกหยางเหล่าโถวชักนำเข้าไปในร่องน้ำเน่า! มารดามันเถอะ นี่ต้องเป็นการค้าครั้งหนึ่งระหว่างหยางเหล่าโถวกับหัวหน้าช่างเหยาแน่นอน! ชุยฉาน เจ้าและข้าห้ามตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเด็ดขาด ข้าชุยฉานสามารถถูกสายบุ๋นของลัทธิขงจื๊อบีบให้ตายได้ ถูกสถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้าบดขยี้ให้ตายได้ แต่จะไม่มีทาง ไม่มีทาง ไม่มีทางตายเพราะความโง่เด็ดขาด!”
ด้วยความร้อนใจ ชุยตงซานถึงขั้นไม่ถือสาที่เรียกตัวเองผิดว่า ‘ชุยฉาน’ แล้ว
ยิ่งคิดชุยตงซานก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง ถึงกับเปิดปากสบถด่าโดยตรง “ฉีจิ้งชุนตาบอดหรือไง?! เขามีฝีมือหมากล้อมสูงส่งจนเจ้านครจักรพรรดิขาวต้องมองเป็นคู่ต่อสู้ไม่ใช่หรือ? ห้าสิบเก้าปีก่อนของถ้ำสวรรค์หลีจู หากไม่พูดถึงมัน เขาฉีจิ้งชุนก็แค่ผิดหวังเท่านั้น แต่หลังจากที่เขาตัดสินใจเลือกเอาความผิดหวังส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นไปฝากไว้บนตัวเฉินผิงอันแล้ว ทำไมเขายังไม่จัดการเสียบ้าง? ได้ยินแล้วก็แสร้งทำเป็นหูทวนลม เห็นแล้วก็แสร้งดูดายอย่างนั้นรึ?! ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าในฐานะที่ลัทธิพุทธคือผู้ที่รับเงินค่าเช่าสามพันปีของถ้ำสวรรค์หลีจู ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน! ไม่แน่ว่าภิกษุที่บำเพ็ญทุกรกิริยาผู้นั้นก็อาจจะเป็นแค่เวทอำพรางตา!”
เมื่อเทียบกับความเป็นเดือดเป็นแค้นของชุยตงซาน ชุยฉานนับว่าสุขุมกว่ามาก เขาถามว่า “กระบี่บินสองเล่มที่อยู่บนร่างเฉินผิงอัน ก่อนที่จะมีชื่อว่าชูอีกับสืออู่ ชื่อเดิมที่แท้จริงของพวกมันคืออะไรกันแน่?”
ชุยตงซานขมวดคิ้ว “ข้ารู้แค่กระบี่เล่มที่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าชูอี ได้มาจากที่แคว้นหวงถิง หลังจากที่ม้วนภาพวาดภูเขาแม่น้ำของซิ่วไฉเฒ่าเกิดรอยปริแตก ซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เดินออกมาจากภาพวาดแล้วมอบมันให้แก่เฉินผิงอัน ส่วนสืออู่กระบี่บินเล่มที่สอง เป็นหยางเหล่าโถว ตะพาบเฒ่าอายุหมื่นปีที่อยู่มานานพอๆ กับนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นตงไห่นั่น เอามาแลกเปลี่ยนกับของผุพังไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียวของเฉินผิงอัน เขาเป็นฝ่ายมอบมันให้เฉินผิงอันเอง หยางเหล่าโถวบอกว่าชื่อสืออู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นชื่อผายลมสุนัขที่ตั้งขึ้นอย่างส่งเดชเพื่อให้คล้องจองกับชูอีของเฉินผิงอัน”
ชุยฉานก้มหน้าลงจ้องนิ่งไปยังภาพม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลา แล้วใช้เวทลับเฉพาะดึงเอาภาพบางช่วงบางตอนออกมาจากภายใน
ชุยตงซานยื่นนิ้วชี้ไปที่นอกหอเรือน สบถด่าเสียงดัง “ฉีจิ้งชุนตามืดบอด ซิ่วไฉเฒ่าก็เป็นบ้าตามไปด้วยหรือไง?”
ชุยฉานกล่าวอย่างเฉยเมย “ใครกันที่ทุ่มเทความคิดและจิตใจแทบตายเพื่อให้เฉินผิงอันหันไปศึกษาพุทธคัมภีร์?”
ชุยตงซานถ่มน้ำลายออกไปนอกบ่อสายฟ้าสีทองอย่างแรงจนมันพุ่งเฉียดศีรษะของชุยฉานไป “ไสหัวมารดาเจ้าไปไกลๆ เลย หากไม่ใช่เจ้าที่วางแผนนี้ขึ้นมาเพื่อทำร้ายพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ ข้าจะต้องให้เฉินผิงอันไปอ่านคัมภีร์ดั้งเดิมของสามลัทธิร้อยสำนักพวกนั้นด้วยหรือไง?”
ชุยฉานไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงสะบัดชายแขนเสื้อ น้ำลายนั้นก็กระแทกกลับเข้าไปที่ใบหน้าของชุยตงซาน
ชุยตงซานเช็ดหน้าลวกๆ ยังคงด่าฟ้าด่าดินด้วยความโมโหไม่หาย
ดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ ‘ผู้เฒ่าเหยา’ ตามที่เฉินผิงอันเรียกจบไปเป็นรอบที่สอง
ชุยฉานถึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “อย่าลืมล่ะว่า ยังมีใบไหวอักษร ‘เหยา’ ที่ฉีจิ้งชุนช่วยขอมาให้เฉินผิงอันอีก ใบไหวร่มเงาบรรพบุรุษมีมากมายขนาดนั้น แต่กลับมีแค่ใบเดียวนี้ร่วงลงมา ดึงแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงนี้ออกมา พวกเรามาดูกัน”
ชุยตงซานทำตามคำสั่ง
หากเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ชุยตงซานไม่เคยอิดออดงอแง
บนม้วนภาพ หลังจากที่ฉีจิ้งชุนขอใบไหวเพียงใบเดียวที่ยินดีหลุดจากขั้วมาให้เฉินผิงอันได้แล้ว เขาเคยหันหน้ากลับมามองยังจุดที่สูงที่สุดของพุ่มใบไหว แล้วคลี่ยิ้มที่แฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยัน
สายตานี้ที่ฉีจิ้งชุนมองมา
พอดิบพอดีกับที่คนทั้งสอง ‘ก้มมอง’ ม้วนภาพวาดในอีกหลายปีถัดมา คนสามคนของสองฝ่ายคล้ายมองประสานสายตากันข้ามผ่านแม่น้ำแห่งกาลเวลา
ความบังเอิญ?
หรือจงใจ?
ในใจชุยตงซานขนลุกขนชัน สีหน้าชุยฉานมืดทะมึน
ชุยตงซานพึมพำ “ฉีจิ้งชุนกำลังเย้ยหยันที่เหล่าบรรพบุรุษแซ่สกุลที่มีร่มเงาต้นไหวตาไม่มีแวว หรือกำลังหัวเราะเยาะพวกเราสองคนที่เดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่? หรือว่า ทั้งสองอย่างเลย?”
ชุยฉานปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
เริ่มขัดเกลาและอนุมานเรื่องนี้อยู่เงียบๆ
ชุยตงซานนั่งแปะลงบนพื้น โอดครวญว่า “พวกเราทำอะไรกันแน่? เจ้าตะพาบเฒ่า ตบะเจ้าสูงกว่าข้า อายุมากกว่า เคยกินเหล็กเข้าไปมากกว่า! (สมัยโบราณสอนกันมาว่า เวลาจะกินเต่า ตอนที่เอาเครื่องในของมันออกให้ใส่ก้อนเหล็กลงไป ก้อนเหล็กในที่นี้หมายถึงก้อนเหล็กที่ใช้ถ่วงตาชั่งน้ำหนักสมัยโบราณ เพื่อกดตัวของเต่าเอาไว้ เวลาต้มมันจะได้ไม่ลอยขึ้นมา และเป็นคำเปรียบเปรยว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาด) ไหนเจ้าลองพูดมาสิ? ตอนนี้ข้าอัดอั้นตันใจจะตายอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่ตอนนี้ผืนนาหัวใจของอาจารย์ข้าแห้งขอด ไม่สามารถขยับมือเขียนตัวอักษรบนท่าเรือนั้นได้อีกแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็เหนื่อยใจมากเหมือนกัน ด่าเจ้าไม่ไหวแล้วล่ะ”
ชุยฉานแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด
ชุยตงซานเกาหัวด้วยสองมือ “ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง อาจารย์กลุ้มใจ ศิษย์ก็กลุ้มใจ มีสุขไม่เคยได้ร่วมเสพ แต่มีทุกข์กลับต้องร่วมกันต้าน ไม่รู้จะใช้ชีวิตต่ออย่างไรแล้ว ไม่รู้แล้ว ไม่รู้แล้ว”
ชุยฉานพลันหัวเราะขึ้นมา “เจ้ากลัวฉีจิ้งชุนยิ่งกว่าข้า ดังนั้นข้ารู้ว่า อันที่จริงช่วงแรกของการทำลายสถานการณ์บนกระดานหมาก เจ้าหวังให้ฉีจิ้งชุนตายไปอย่างสิ้นเชิงยิ่งกว่าข้าเสียอีก แต่ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจแล้วใช่ไหม หวังว่าจิตวิญญาณของฉีจิ้งชุนจะไม่ดับสลายอีกครั้งใช่หรือไม่?”
ชุยตงซานเงียบงันเป็นคำตอบ
—–