กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 441.2 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี
เจิงเย่ตกใจจนเกือบจะวิ่งหนีกลับเข้าห้องไปซ่อนตัวอยู่ในโปงผ้าห่ม
กู้ช่านถาม “เจ้าก็คือเจิงเย่? มาจากเกาะเหมาเยว่?”
เหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากของเจิงเย่แล้ว
มารน้อยผู้นี้สร้างลมคาวฝนเลือดอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเจิงเย่จะไม่เคยเห็นตัวจริงของอีกฝ่ายมาก่อน แค่เคยเห็นรูปโฉมของกู้ช่านจากรายงานของเกาะปุยหลิว แต่เนื้อหาที่อยู่ในรายงาน รวมไปถึงน้ำเสียงและสีหน้าท่าทางเวลาที่ผู้ฝึกตนเกาะเหมาเยว่พูดถึงกู้ช่านก็ล้วนทำให้เจิงเย่จดจำได้อย่างแม่นยำ เดิมทีนึกว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้เจอกู้ช่านแล้ว และเจิงเย่ก็ไม่หวังให้ตัวเองได้พบเจอเขา เพราะหากจะมีโอกาสได้เจอก็คงเป็นไปได้มากว่าจะเป็นวันที่กู้ช่านพาหนีชิวใหญ่ตัวนั้นไปเหยียบย่ำเกาะเหมาเยว่ให้ราบเป็นหน้ากลอง
กู้ช่านกล่าวอย่างฉุนๆ “ที่แท้ก็เป็นคนโง่คนหนึ่ง”
เจิงเย่หรือจะกล้าโต้เถียง
แค่กู้ช่านไม่ตบกะโหลกตนให้แตกด้วยฝ่ามือเดียว เจิงเย่ก็แทบจะลงไปนั่งคุกเข่าขอบคุณแล้ว
บรรยากาศหนักอึ้งที่ทำให้เจิงเย่หายใจไม่ออกพลันหายวับไป
ที่แท้บุรุษชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนั้นก็เดินมาที่หน้าประตู
เขาพูดกับกู้ช่านว่า “ตอนนี้ร่างกายเจ้าอ่อนแอ อยู่ในช่วงที่ทรุดโทรมง่ายมากที่สุด เมื่อเทียบกับชาวบ้านทั่วไปแล้ว ไอเย็นและเสนียดชั่วร้ายยังแทรกซอนเข้าสู่ช่องโพรงได้ง่ายกว่าเสียอีก รีบกลับไปพักรักษาตัวที่จวนชุนถิงซะ”
กู้ช่านพยักหน้ารับ มองเมล็ดแตงกองเล็กๆ ที่ยังเหลืออยู่กลางฝ่ามือแล้วยื่นมันส่งให้เฉินผิงอัน “ถ้าอย่างนั้นข้าไปแล้วนะ”
เฉินผิงอันรับเมล็ดแตงมา หยิบเมล็ดหนึ่งขึ้นมาแทะพลางพูดว่า “อีกเดี๋ยวหากถานเซวี่ยขึ้นฝั่งมาได้แล้ว เจ้าก็บอกให้นางมาหาข้าด้วย ข้ามีของจะมอบให้นาง”
กู้ช่านยิ้มกว้างสดใส “ได้เลย”
หลังจากกู้ช่านจากไป เฉินผิงอันก็ยื่นเมล็ดแตงส่งให้เจิงเย่ ฝ่ายหลังรีบส่ายหน้า
เฉินผิงอันหมุนตัวเดินไปหยิบม้านั่งในห้องมาส่งให้เจิงเย่ ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่กู้ช่านนั่งก่อนหน้านี้
เจิงเย่ขยับก้นนั่งลงบนม้านั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่รู้เลยว่าควรจะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตงพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าอาจจะต้องติดตามอยู่ข้างกายข้า เร็วสุดก็สองสามปี นานหน่อยก็เจ็ดแปดปี เป็นเรื่องที่บอกไม่ได้เหมือนกัน เวลาปกติเจ้าสามารถเรียกข้าว่าท่านเฉิน ไม่ใช่ว่าชื่อของข้าสูงส่งจนเรียกไม่ได้ เพียงแต่ว่าหากเจ้าเรียกแล้วจะไม่เหมาะสม ตอนนี้คนตลอดทั้งเกาะชิงเสียล้วนจับตามองมาที่นี่ เจ้าก็เป็นอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ไปนั่นแหละ ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง ดูให้มากพูดให้น้อย ส่วนการลงมือทำ นอกจากเรื่องที่ข้ามอบหมายให้แล้ว ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรมากนัก และทางที่ดีที่สุดก็ไม่ต้องทำอะไรให้มากความ หากตอนนี้ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร”
เจิงเย่พยักหน้ารับเงียบๆ
เฉินผิงอันพลันถามขึ้นว่า “กลัวผีหรือไม่?”
เจิงเย่ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
เฉินผิงอันจึงกล่าวว่า “เจิงเย่ ข้าจะพูดกับเจ้าอีกครั้ง มาอยู่กับข้า ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไรผิด ในใจคิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น”
เจิงเย่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ไม่กลัวผี ข้ามองเห็นสิ่งสกปรกมาตั้งแต่เด็ก ไปอยู่ที่เกาะเหมาเยว่กับอาจารย์ ที่นั่นก็มีศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนเลี้ยงผีเอาไว้”
เฉินผิงอันถามชวนคุย “เกลียดอาจารย์เจ้าหรือไม่”
เจิงเย่เม้มปาก เงียบงันไปอีกครั้ง เด็กหนุ่มนิสัยซื่อๆ มีความเสียใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า และยังมีความดื้อรั้นแฝงอยู่เสี้ยวหนึ่ง
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็รู้สึกเกลียด แต่ว่าเสียใจมากกว่า ใช่ไหม? อีกทั้งพอคิดไปคิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าจริงๆ แล้วอาจารย์ของเจ้าก็ไม่ได้เลวร้าย หากไม่เป็นเพราะเขา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจต้องตายไปนานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะกับอาจารย์หรือกับเกาะเหมาเยว่ เจ้าก็ยังคงยินดีจะมองพวกเขาเป็นญาติและบ้านของตัวเองที่แท้จริง”
เจิงเย่ก้มหน้าลง อืมรับหนึ่งที น้ำตาเอ่อคลอดวงตา พูดเสียงอู้อี้ว่า “ข้ารู้ว่าข้าโง่ ขอโทษนะ ท่านเฉิน วันหน้าข้าคงช่วยท่านไม่ได้มากนัก ไม่แน่ว่าอาจจะยังทำผิดพลาดบ่อยๆ ด้วย ถึงเวลานั้นท่านจะตีข้าด่าข้า ข้าก็ยอมรับ”
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตง ทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดเบาๆ ว่า “แบบนี้เรียกว่าโง่หรือ? ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”
เจิงเย่มัวแต่เสียใจอยู่กับตัวเอง จึงได้ยินไม่ถนัดนัก แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายตนคือผู้ถวายงานท่านหนึ่งของเกาะชิงเสีย ตนควรจะรับฟังคำพูดล้ำค่าดุจหยกดุจทองคำเหล่านั้นทุกคำไม่ให้ตกหล่น นี่ยิ่งทำให้เจิงเย่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง สมควรถูกลงโทษแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่ได้อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจิงเย่ เจ้าขี้ขลาดเกินไป นี่คือเรื่องจริง ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้าก็ถือว่าสามารถรับผิดชอบหน้าที่ด้วยตัวเองคนเดียวได้แล้ว เวลาเจอกับบุคคลยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็ไม่เคยรู้สึกใจฝ่อกลัดกลุ้ม”
เฉินผิงอันแทะเมล็ดแตงเสร็จแล้วก็ใช้ฝ่ามือถูปลายคางที่เริ่มมีตอหนวด เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “พูดแบบนี้ออกจะหน้าไม่อายไปหน่อย อืม คราวหน้าเดี๋ยวไปที่เกาะไผ่ม่วงอีกสักรอบ แล้วก็ขอไม้ไผ่มาเพิ่มอีกสักลำ เอามาทำดาบไม้ไผ่ให้ตัวเองเสียเลย ยังมีเลียนแบบฉวีหวงที่ซื้อมาจากถนนวานรร่ำไห้เล่มนั้น พกดาบสลับกระบี่เลียนแบบลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเอง เอาไว้ขู่ให้คนกลัวก็น่าจะพอทำได้”
เจิงเย่ค่อนข้างจะความรู้สึกช้า จนป่านนี้เขาถึงพูดขึ้นว่า “ข้าหรือจะเปรียบเทียบกับท่านเฉินได้”
เฉินผิงอันหัวเราะ ลุกขึ้นยืน “รู้จักตัวอักษรไหม? หากรู้จักตัวอักษร ข้าจะถ่ายทอดเวทลับสองอย่างให้เจ้าก่อน ระดับขั้นไม่ถือว่าสูงมากนัก แต่หากฝึกสำเร็จก็ไม่มีทางด้อยกว่าวิชาที่เจ้าเคยฝึกบนเกาะเหมาเยว่แน่นอน”
เจิงเย่รีบลุกขึ้นตาม “รู้จัก ก็แค่มักจะถูกอาจารย์ด่าว่าโง่”
เฉินผิงอันหิ้วม้านั่งขึ้นมา กล่าวว่า “ไม่เป็นไร หากตรงไหนไม่เข้าใจก็ถามข้า”
เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตู หันหน้ากลับมาก็เห็นว่าเจิงเย่เดินตามมาด้านหลังอย่างระมัดระวัง สองมือว่างเปล่า
เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างระอาใจ “อาจารย์เจ้าด่าว่าเจ้าโง่ ข้าว่าเขาไม่ได้ใส่ร้ายเจ้าจริงๆ หิ้วม้านั่งมาด้วยสิ”
เจิงเย่พลันกระจ่างแจ้ง รีบหันตัววิ่งกลับไปหยิบม้านั่งไม้ไผ่มาทันที
เฉินผิงอันยิ้มอย่างชอบใจ
ในที่สุดข้างกายตนก็มีเด็กธรรมดากับเขาสักคนหนึ่ง
ดีมากแล้ว
ตอนที่คิดอย่างนี้ นักบัญชีหนุ่มกลับไม่ตระหนักเลยว่า เขาแก่กว่าเด็กหนุ่มเจิงเย่แค่สามปีเท่านั้น
……
หลายวันต่อมา นอกจากจะกลับไปนอนที่ห้องด้านข้างแล้ว เจิงเย่ก็อยู่กับเฉินผิงอันแทบจะตลอดเวลา พลิกอ่านกระดาษไม่กี่หน้าที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบบรรจงเล็กเท่าหัวแมลงวันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยซ้ำไปซ้ำมา ในฐานะที่เจิงเย่คือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง เขาย่อมอ่านหนังสือออก แต่ดูเหมือนว่าเวทลับวิชาผีที่ท่านเฉินบอกว่า ‘ระดับขั้นไม่ค่อยสูง’ พวกนี้จะไม่ค่อยอยากทำความรู้จักกับเขาอย่างไรอย่างนั้น
ทุกๆ สองสามประโยค เจิงเย่จะต้องเจอกับอุปสรรคขวางทาง มีข้อสงสัยผุดขึ้นมา แรกเริ่มเจิงเย่คิดจะฝืนกระโดดข้ามไปก่อน อ่านเวทลับวิชานี้ให้จบรวดเดียวแล้วค่อยสอบถาม ทว่ายิ่งอ่านก็ยิ่งปวดหัว ถึงขนาดเหงื่อแตกท่วมเต็มตัว เป็นเหตุให้เกิดลางอันตรายว่าจะไม่อาจรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ ในใจเจิงเย่พลันขนลุกขนชัน เขาเองก็เคยได้ยินข้อห้ามและข้อพิถีพิถันบางส่วนของการฝึกวิชาลับตระกูลเซียนมาบ้างเหมือนกัน ยิ่งเป็นวิชาชั้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรเอาจิตใจไปจมจ่อมกับมันอย่างลวกๆ มากเท่านั้น หากไม่อาจถอนตัวออกมาได้ อีกทั้งยังไม่มีผู้ปกป้องมรรคาก็จะทำร้ายไปถึงรากฐานมหามรรคาของตัวเอง
ท่านเฉินผู้นั้นนั่งอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา ตอนแรกก็ไม่ได้จงใจเอ่ยเตือนเจิงเย่ จนกระทั่งเจิงเย่รีบวางกระดาษไม่กี่แผ่นที่ราวกับหนักนับพันจินในมือลงแล้วหอบเอาอากาศเข้าปากเฮือกใหญ่
เฉินผิงอันถึงได้แอบพยักหน้าอยู่กับตัวเอง ความสามารถหรือพรสวรรค์ไม่ดี ไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวมากที่สุด แต่หากจิตใจล่องลอยตื้นเขินเกินไป นี่ต่างหากจึงจะเป็นด่านที่ใหญ่ที่สุดในการฝึกเวทลับวิชาผีนี้ของเจิงเย่
หากแม้แต่ตบะหนักแน่นแค่นี้เจิงเย่ยังไม่มี เรื่องที่จะต้องทำกับเขาก็มีแต่จะผลักให้เจิงเย่เดินเข้าหาการถูกจิตมารเข้าแทรกมากเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่คิดจะขับไล่อีกฝ่ายไป แต่เขาก็ไม่มีทางให้เจิงเย่ฝึกตนต่อไปเด็ดขาด จะคิดแค่ว่ามีเพื่อนบ้านมาเพิ่มคนหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากผู้ฝึกตนเฒ่าที่เฝ้าประตูภูเขาคนนั้น
เฉินผิงอันยินดีให้เงินฝนธัญพืชสิบห้าเหรียญลอยไปกับสายน้ำเสียดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้จางเย่และห้องตกปลาของเกาะชิงเสียตามหาคนที่เหมาะสมมาให้จงได้
หลังจากเผชิญกับความยากลำบากไปแล้ว เจิงเย่ก็ไม่คิดจะตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนอีก พอมีข้อสงสัยก็จะเปิดปากถามท่านเฉินทันที
และเฉินผิงอันก็ช่วยไขข้อข้องใจให้เขาไปทีเปลาะ
หนึ่งเพราะตอนนั้นเว่ยป้ออธิบายเพิ่มเติมไว้ด้านข้างอย่างละเอียด สองเพราะเฉินผิงอันเคยขอความรู้จากหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียน เซียนดินอวี๋กุยและผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางมาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้เขาจึงพอจะมีความรู้ความเข้าใจอยู่หลายส่วน
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงไม่ได้มอบวิชาลับ ‘ฉบับที่มีคำอรรถาธิบาย’ ให้กับเจิงเย่ หรืออธิบายรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และเรื่องที่ต้องระวังให้เจิงเย่ฟังจบไปรวดเดียวเลย
นี่ก็เพราะเกี่ยวพันกับการฝึกตนบนมหามรรคาของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างกาย
การพบเจอกันคือวาสนา เฉินผิงอันหวังว่าท่ามกลางการซื้อขายครั้งนี้ เจิงเย่จะได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง สามารถค้นหารากฐานในการหยัดยืนสำหรับเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางในวันหน้าและการฝึกตนบนมหามรรคาในอนาคตได้เจอ
หาปลามาให้กินไม่สู้สอนวิธีจับปลาให้
ปีนั้นอาเหลียงก็ปฏิบัติกับเขาอย่างนี้ และเฉินผิงอันเองก็ยินดีจะปฏิบัติต่อเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีของทะเลสาบซูเจี่ยนผู้ดีดุจเดียวกัน เพราะเจิงเย่ยังเป็นเด็กหนุ่มซื่อบริสุทธิ์ที่ยังไม่จมลงในอ่างใหญ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนจนจิตใจและสันดานเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
วิชาลับนี้ของเว่ยป้อ ระดับขั้นต้องไม่ต่ำแน่นอน
เฉินผิงอันได้รับมาแล้วก็เอาออกมาให้เจิงเย่รับช่วงต่อ หลังจากนี้เขาจะถือไว้ในมือได้หรือไม่ ก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงแค่ว่าจะเรียนรู้สำเร็จหรือไม่เท่านั้น
เจิงเย่จะเรียนได้สำเร็จอย่างไร เขาต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจและต้องมีความมานะอุตสาหะมากแค่ไหน? หากได้มาอย่างง่ายดาย โชควาสนาที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เขาจะรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าอย่างแท้จริงได้อย่างไร บนเส้นทางการฝึกตนที่ยาวนานในชีวิต เขาจะยอมถามใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง ถามถึงจุดประสงค์ดั้งเดิม บอกกับตัวเองว่านี่เป็นโชควาสนาที่ปีนั้นตน ‘ได้มาอย่างไม่ง่าย’ ได้อย่างไร?
เฉินผิงอันไม่สนใจว่าสำนักอื่นๆ บนภูเขา ถ้ำสถิตตระกูลเซียนหรือพรรคนับร้อยใช้วิธีใดหรือมีจุดประสงค์ใดในการถ่ายทอดมหามรรคาให้แก่ลูกศิษย์ ขอแค่มาอยู่กับเขา จะช้าก็ได้ แต่จำเป็นต้องมั่นคง
เพียงแต่ว่าไม่นานเฉินผิงอันก็เริ่มรู้สึกปวดหัว
เพราะเจิงเย่…สมองทึบเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันมักจะรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะที่ธรรมดา เพราะคนที่สอนให้เขารู้จักตัวอักษรผ่าน ‘ตำราหมัดเขย่าขุนเขา’ คือหนิงเหยา หากพูดถึงเรื่องของการอ่านตำรา ตอนที่เดินทางไกลไปเยือนต้าสุย ข้างกายก็มีแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอย่างหลี่เป่าผิงที่แค่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็อนุมานไปได้หลากหลาย ยกตัวอย่างหนึ่งข้อก็นำไปประยุกต์ใช้ได้ถึงสามข้อ หากจะพูดถึงการฝึกตน ตอนนั้นก็มีหลินโส่วอี พูดถึงการฝึกวรยุทธ คนที่สอนวิชาหมัดให้เขาคือผู้เฒ่าแซ่ชุยที่ ‘เบื้องหน้าไร้ศัตรู’ หลังจากนั้นก็ยิ่งได้เจอกับคนวัยเดียวกันที่มีพรสวรรค์น่าตื่นตะลึงอย่างเฉาสือที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ สุดท้ายข้างกายยังมีเผยเฉียนที่ฝึกวิชาปราณกระบี่สิบแปดหยุดเหมือนการละเล่น ประเด็นสำคัญคือแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านผู้นั้นยังเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเขาด้วย หากจะพูดถึงความสง่างามมีเสน่ห์ก็มีลู่ไถ มีหลิ่วชิงซาน…
ต่อให้เฉินผิงอันเริ่มย้อนทบทวนสิ่งที่ประสบพบเจอมาในพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วจะไม่รู้สึกดูแคลนตัวเองอีกต่อไป แต่อันที่จริงแผ่นดินเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก ข้อเสียบางส่วนจึงยังหลงเหลืออยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ผลกลับกลายเป็นว่าได้มาเจอกับเจิงเย่ที่เป็นดั่งตอไม้ เฉินผิงอันเกือบจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนแล้ว…เขาแทบจะทอดถอนใจด้วยประโยคว่า มิน่าเล่าตอนนั้นผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ถึงเปิดเผยความลับสวรรค์ บอกว่าแท้จริงแล้วหากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของตนไม่ถูกทุบแตกและสะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ถูกสะบั้น เดิมทีตนก็มี ‘คุณสมบัติของเซียนดิน’
เพราะเจิงเย่หัวช้าและทึ่มทื่อมากจริงๆ
คาถาแค่ประโยคเดียว เขาจะต้องพลิกไปพลิกมา อ่านอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เฉินผิงอันอธิบายอยู่นาน เจิงเย่ก็แค่เปลี่ยนจากอยู่ท่ามกลางดงหมอกมาเป็นเข้าใจแบบครึ่งๆ กลางๆ
ปีนั้นหนิงเหยาถ่ายทอดแก่นแท้ของสัจธรรมหมัดเขย่าขุนเขาในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เฉินผิงอันรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วตนฟังเข้าใจ แต่พอต้องเดินนิ่งหกก้าวเข้าจริงๆ ร่างกลับส่ายไปส่ายมา กลายเป็นว่าปล่อยไก่ไปเสียอย่างนั้น แต่ไม่นานเขาก็เริ่มจับจุดได้ ทว่าตอนนั้นตัวเองอยู่ท่ามกลางความสุขแต่ไม่รู้จักความสุข ตระหนักไม่ได้ว่า ‘ปณิธานหมัด’ ที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวแสวงหาอย่างยากลำบากได้ไหลเวียนไปทั่วร่างอยู่นานแล้ว แม้ว่าปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ของปณิธานหมัดจะยังไม่ฉายชัด แต่จากไม่มีจนไปถึงมีก็เท่ากับข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ขั้นแรกของวิถีวรยุทธไปแล้ว เทียบเท่ากับการเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียวของผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ยังดีที่เฉินผิงอันไม่ใช่คนใจร้อน เจิงเย่เรียนรู้ได้ช้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องสอนให้ช้าหน่อย สอนให้ละเอียดหน่อย
กระดาษสามแผ่น เจิงเย่เรียนวันละแผ่นยังเปลืองแรงอย่างมาก
ดังนั้นเด็กหนุ่มจะต้องรู้สึกละอายใจทุกวัน รู้สึกผิดต่อท่านเฉิน
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ปลอบใจเด็กหนุ่มคนนี้ ยิ่งไม่ได้เอ่ยคำลวงอย่างเช่นว่าเจิงเย่แท้จริงแล้วพรสวรรค์ของเจ้าไม่เลวเลย อะไรทำนองนั้น
เรื่องราวบนโลกซับซ้อน แต่จิตดั้งเดิมนั้นซื่อบริสุทธิ์
เดิมทีสองสิ่งนี้ก็ขัดแย้งกันเองอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องปะทะกัน และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นฝ่ายหลังที่พ่ายแพ้
วันนี้ยิ่งเจิงเย่ขัดเกลาประสบการณ์ตัวเองมากเท่าไหร่ ฐานของเขาก็จะยิ่งแน่นหนามั่นคงมากเท่านั้น วันหน้าที่เจอกับเรื่องใหญ่ที่แท้จริงจะได้ไม่ถึงขั้นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ลงสนามต่อสู้ หรือต่อสู้แค่สองสามทีก็ยอมแพ้
—–