กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 441.3 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี
อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ทุกวันนี้มีอยู่หลายครั้งที่เฉินผิงอันมองย้อนกลับไปยังช่วงเวลาในอดีต แล้วเขาสามารถขบคิดจนได้รับรู้ถึงรสชาติมากมายที่ยังเหลือค้างคาอยู่ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดให้ลึกซึ้งโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่อยู่บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นเคยกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์เต็มตัว ความบริสุทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ที่วิชาหมัดกระบวนท่าหมัด ต่อให้เรียนรู้กระบวนท่าหมัดนับพันนับหมื่นบนโลกนี้มาก็ยังไม่ถ่วงรั้งคำว่าบริสุทธิ์นี้ ความบริสุทธิ์ที่แท้จริงอยู่ที่ปณิธานหมัดของข้า ยิ่งอยู่ที่จิตใจของข้า นี่เป็นสิ่งที่เรียบง่ายอย่างมาก ครั้งแรกที่เจ้าเฉินผิงอันฝึกหมัด ขอบเขตสองสามก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง แต่เมื่อเจ้าได้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ห้า แปดเก้า หรือแม้กระทั่งขอบเขตสิบแล้ว ส่วนลึกในใจของเจ้าจะต้องรู้ดีว่าตัวเองต้องแพ้อย่างแน่นอน แต่เมื่อตกอยู่ในทางตัน ต้องตัดสินเป็นตาย เจ้าจะยังกล้าส่งหมัดออกไปหรือไม่? ปณิธานหมัดของเจ้าจะไม่ลดน้อยลงไปแม้แต่นิดหรือเปล่า? กลับกันคือปณิธานหมัดยิ่งบริสุทธิ์ บุกรุดหน้าไปอย่างไม่เกรงกลัว?
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง หากสภาพจิตใจของตนวางตัวเองไว้ในจุดที่มิพ่ายก่อนแล้ว นั่นต่างหากถึงจะมีโอกาสชนะ ต่อให้จะเป็นโอกาสหนึ่งในหมื่นก็ตาม
แต่หากปณิธานหมัดสั่นคลอนแม้เพียงน้อย แม้แต่โอกาสหนึ่งในหมื่นนั้นก็ยังไม่มี! แค่รอความตายไปก็พอ จะฝึกหมัดไปทำไม จะทนรับความยากลำบากไปทำไม?
สามวันต่อมา ในที่สุดเจิงเย่ก็ถือว่าพอจะเข้าใจวิชาลับนี้ได้อย่างถูไถแล้ว จากนั้นจึงเริ่มการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ
เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยเตือนเจิงเย่ว่า ไม่ต้องเน้นในเรื่องความเร็ว ขอแค่เจ้าเจิงเย่ฝึกได้ช้าแต่ไร้ความผิดพลาด เขาเฉินผิงอันก็สามารถรอได้ ไม่อย่างนั้นหากทำผิดแล้วค่อยแก้ไขความผิด นั่นต่างหากจึงจะเสียเวลา สิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างแท้จริง เพื่อให้เจิงเย่เข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม วิธีการของเฉินผิงอันก็ง่ายดายมาก หากเจิงเย่ที่ต้องการความเร็วในการฝึกตนจนทำให้เกิดข้อผิดพลาด เป็นเหตุให้จิตวิญญาณได้รับความเสียหาย จำเป็นต้องใช้ยาตระกูลเซียนมาบำรุงร่างกายและจิตวิญญาณ เขาจะควักเงินซื้อมาให้ แต่ค่าใช้จ่ายของยาทุกเม็ด ต่อให้จะเป็นเแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญเดียวก็จะต้องถูกบันทึกลงในบัญชีหนี้ของเจิงเย่
สุดท้ายเฉินผิงอันเผยสีหน้าเข้มงวดจริงจังออกมาเป็นครั้งแรก เขายืนอยู่หน้าห้องของเจิงเย่ที่กำลังจะ ‘ปิดด่าน’ แล้วเอ่ยว่า “ระหว่างเจ้าและข้ามีความสัมพันธ์ของการซื้อขายแลกเปลี่ยน ข้าจะพยายามให้ทั้งเจ้าและข้าได้ผลประโยชน์กันทั้งคู่ สักวันหนึ่งเมื่อต้องจากลาก็จะได้จากลากันด้วยดี แต่เจ้าอย่าลืมล่ะว่า ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้า ยิ่งไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า เรื่องนี้เจ้าต้องจำให้ขึ้นใจทุกเวลานาที”
เจิงเย่หวาดกลัวท่านเฉินที่มีสีหน้าท่าทางเช่นนี้ไม่น้อย จึงรีบพยักหน้ารับทันที
หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยเวลาสามวันที่อยู่ร่วมกันมา ท่านเฉินที่ไม่เคยวางท่า ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเป็นมิตร อันที่จริงก็เกือบจะทำให้เด็กหนุ่มลืมภาพบรรยากาศตอนที่ได้พบกับท่านเฉินครั้งแรก เกือบจะลืมความหวาดกลัวและความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกของตัวเองตอนนั้นไปแล้ว
กลับกลายเป็นกู้ช่านที่เคยได้พบกันครั้งเดียวเท่านั้นที่เจิงเย่ยังคงจดจำได้อย่างลึกซึ้ง มีอยู่คืนหนึ่งเขายังเก็บไปฝันร้ายด้วยซ้ำ ฝันว่ามารน้อยที่สวมชุดหม่างสีเขียวเข้ม ใช้มือหนึ่งแหวกอกเขา กรีดเอาหัวใจและเครื่องในของเขาออกมากลืนกิน กู้ช่านคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พูดว่ารสชาติอร่อยล้ำซะจริง เจิงเย่ก้มหน้าลงมองช่องโพรงเลือดโชกตรงหัวใจตัวเองอย่างเหม่อลอย จากนั้น…เขาก็สะดุ้งตื่น ลุกพรวดขึ้นนั่งกลางเตียง ตกใจเกือบตาย เป็นนานกว่าที่เจิงเย่จะสงบจิตสงบใจตัวเองลงได้
ตอนที่เจิงเย่เริ่มฝึกวิชาลับอย่างเป็นทางการ เฉินผิงอันก็ไปเยือนเกาะตะขอจันทร์และเกาะกาหยกมารอบหนึ่ง ควักเงินซื้อเศษซากจิตวิญญาณหรือไม่ก็ผีร้ายวัตถุหยินมาจากอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง แล้วนำไปเก็บไว้ใน ‘ตำหนักพญายมราช’ สมบัติอาคมของการฝึกวิชาผีที่เฉินผิงอันเชื่อมาจากคลังลับของเกาะชิงเสีย มันคือหอเรือนขนาดจิ๋วที่ทำมาจากวัสดุไม้หนาหนักสูงเท่าแขนคน ด้านในสร้างเป็นห้องขนาดเล็กแบ่งซอยออกเป็นสามร้อยหกสิบห้าห้อง มีไว้ให้เป็นที่พักพิงของภูตผีวัตถุหยิน เหมาะแก่การหล่อเลี้ยงและกักกันวิญญาณหยินมากที่สุด
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันขัดขวางหลิวเหล่าเฉิงบนเกาะชิงเสีย ทั้งอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางต่างก็เห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นราคาโดยรวมจึงลดลงไปจากเดิมสองส่วน
แน่นอนว่าในฐานะที่จิ้งจอกเฒ่าทั้งสองตนนี้คือแม่ทัพใหญ่ใต้บัญชาการณ์ของสกัดคงคาเจินจวิน ก็ย่อมไม่มีทางพูดว่าตัวเองกริ่งเกรงในพลังการต่อสู้ของเฉินผิงอันถึงได้ ‘มีคุณธรรม’ เช่นนี้ คนขายเพิ่มราคาทำให้คนซื้อต้องควักเงินจ่ายมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคนขายหาข้ออ้างมาลดราคา เอื้อผลประโยชน์ให้แก่คนซื้อ จะไปยากตรงไหน? เฉินผิงอันย่อมไม่คิดจะพูดเปิดโปง เพียงเอ่ยขอบคุณผู้ฝึกตนทั้งสอง ไปๆ มาๆ ระหว่างพวกเขาก็พอจะมีความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่ได้สำคัญนักต่อกัน
ตอนที่เฉินผิงอันไปทำการซื้อขายที่เกาะทั้งสอง ได้สะพายหีบไม้ไผ่ที่ไม่ได้สะพายมานานไปด้วย เพื่อใช้มันเก็บ ‘ตำหนักพญายมราช’ สมบัติอาคมอันเป็น ‘ชีวิตที่แท้จริง’ ที่ผู้ฝึกตนผีทุกคนในโลกปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน
อวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางต่างก็เห็นอยู่ในสายตา แต่กลับไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติใดๆ ยังจงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นด้วยซ้ำ
ในสายตาพวกเขา การที่คืนนั้นเฉินผิงอันยืนหยัดต่อสู้กับหลิวเหล่าเฉิงไม่ยอมถอย และตอนนี้ยังมีชีวิตมายืนพูดอยู่กับพวกเขาตัวเป็นๆ อยู่ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ก่อกำเนิดใหญ่ต้องนับถือแล้ว ไม่อาจหล่อหลอมตำหนักพญายมราชนั้นได้ ก็หนีไม่พ้นหมายความว่าตอนนี้สภาพการณ์ของเฉินผิงอันไม่สู้ดี ช่องโพรงลมปราณที่สำคัญไม่มั่นคง เป็นเหตุให้ไม่สามารถเก็บสมบัติล้ำค่าของผู้ฝึกตนชิ้นนี้ไว้ในร่างกายได้ ไม่มีอะไรให้ต้องแปลกใจ
การหลอมเล็กให้สมบัติอาคมที่จับต้องได้จริงกลายเป็นความว่างเปล่าแล้วเก็บไว้ในช่องโพรงลมปราณของตระกูลเซียน ตัวของวิชาคาถานี้ไม่ถือว่าลึกล้ำเกินไปนัก ธรณีประตูไม่สูง เพียงแต่ว่าข้อแรก มันจะยึดครองช่องโพรงลมปราณทั้งแห่งแล้วคอยกลืนกินปราณวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเป็นของที่ดีเท่าไหร่ ปราณวิญญาณที่ดูดซับมาก็ยิ่งมากมหาศาลเท่านั้น ดังนั้นตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นอกจากชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่คนเฝ้าประตูจะมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นนั้นให้แล้ว ขณะเดียวกันก็ยังถือโอกาสสอนคาถาหลอมวัตถุให้ด้วยหนึ่งบท และเฉินผิงอันก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสองการหลอมเล็กจะสำเร็จหรือไม่ก็ต้องดูว่าระดับขั้นของวัตถุวิเศษและสมบัติอาคมสูงหรือต่ำ โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนเซียนดิน แม้แต่อาวุธกึ่งเซียนก็ยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับการหลอมเล็ก ตระกูลฝูในนครมังกรเฒ่ามีบารมีอำนาจ สาเหตุหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่ตระกูลฝูมีตบะแค่เซียนดิน แต่กลับสามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นไม่เพียงแต่อวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางเท่านั้น แม้แต่ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ทุกคนบนเกาะชิงเสียซึ่งรวมถึงตัวหลิวจื้อเม่าเอง จุดที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างแท้จริงนั้นอยู่ที่ว่า เฉินผิงอันถึงขั้นสามารถควบคุมกระบี่ที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นได้อย่างไร!
นักบัญชีหนุ่มที่อายุยังน้อย ควบคุมกระบี่เซียนไม่ทราบชื่อเล่มหนึ่ง สามารถใช้หมัดปะทะหมัดกับผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม…
เรื่องราวที่ไร้เหตุผลน่าเหลือเชื่อเหล่านี้กลับกลายมาเป็นต้นทุนที่ทำให้เฉินผิงอันสามารถใช้เหตุผลอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนได้พอดี
เพียงแต่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือเซียนอิสระทั่วไปของทะเลสาบซูเจี่ยน หากมีจุดที่น่าเหลือเชื่อไร้เหตุผลเช่นนี้ คาดว่าคงมีแต่จะยิ่งไร้เหตุผลมากเท่านั้น หมัดแข็ง ความสามารถสูง ก็ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องใช้เหตุผลหรอกหรือ? ไม่อย่างนั้นจะทำไปเพื่ออะไร? หรือเพื่อปฏิบัติดีต่อคนอื่น? ทะเลสาบซูเจี่ยนไม่เคยมีหลักการเช่นนี้ เหล่าบรรพบุรุษ เกาะพันกว่าเกาะ ผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนล้วนเคยชินกับสิ่งนี้มานานมากแล้ว ตลอดทั้งทะเลสาบซูเจี่ยน คงมีเพียงหลิวเหล่าเฉิงที่เพราะมีตบะสูงสุดเท่านั้น ถึงได้เป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงไม่คิดจะพบหน้าผู้ฝึกตนคนใดของทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งนั้น ผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวที่ได้ขึ้นไปบนเกาะกงหลิ่วก็คือเจ้าเกาะลี่ซู่ ซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือสายลับใหญ่ของสกุลซ่งต้าหลี ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถขึ้นเกาะไปได้เช่นกัน
เฉินผิงอันกลับมาถึงเกาะชิงเสียแล้วก็ไปเยือนจวนจูเสียน
พอได้รู้ความลับวงในอันลุ่มๆ ดอนๆ ของสองแคว้นจากปากของหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไช คราวนี้พอเฉินผิงอันเงยหน้ามองกรอบป้ายจวนจูเสียนที่แขวนไว้สูงอีกครั้งก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง ครุ่นคิดว่าควรจะโกนหนวดได้แล้วหรือไม่?
ไม่อย่างนั้นจะไว้หนวดไว้เคราเต็มหน้าเลียนแบบสวีหย่วนเสียจริงๆ หรือ?
ผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อมาปรากฏตัวที่หน้าประตูจวนแล้วก็ผรุสวาทเสียงดัง บอกให้เฉินผิงอันไสหัวไป
เฉินผิงอันไม่ได้ไสหัวไป ยังไม่ได้คุยธุระเลยจะไสหัวไปไหนเล่า
หม่าหย่วนจื้อด่าจบแล้วก็ถามว่า “ในรายงานของเกาะปุยหลิวบอกว่า ครั้งล่าสุดที่เจ้าไปเยือนเกาะจูไชได้ถูกเหล่าสาวงามห้อมล้อมพาตัวไปพบหลิวจ้งรุ่น?! ในรายงานยังพูดจาน่าเชื่อถือ บอกว่าหลิวจ้งรุ่นน่าจะโปรดปรานเจ้าไม่น้อย ไม่แน่ว่าวันใดเจ้าก็อาจจะควบตำแหน่งผู้ถวายงานของเกาะจูไชด้วย!”
เฉินผิงอันกลอกตามองบน
หม่าหย่วนจื้อทำสีหน้ากังขา “ไม่มีเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร
หม่าหย่วนจื้อกลับยิ้มได้ในทันที “ท่านเฉินเป็นคนมีเกียรติและหยิ่งในศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นวิญญูชนคนจริง ย่อมไม่มาแย่งชิงหลิวจ้งรุ่นกับข้าอยู่แล้ว เป็นข้าที่เสียมารยาท ไปๆๆ ไปนั่งในจวนกัน ขอแค่ท่านเฉินเอ่ยปากรับรองกับข้าว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับหลิวจ้งรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว การค้าขายก่อนหน้านั้น พวกเราก็สามารถลดราคาเหลือครึ่งหนึ่งได้!”
เฉินผิงอันถาม “ข้าย่อมไม่มีความคิดไม่เหมาะไม่ควรกับเจ้าเกาะหลิวอยู่แล้ว แต่ถ้าเจ้าเกาะหลิวตอแยข้าไม่เลิก จะทำอย่างไร?”
หม่าหย่วนจื้อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าท่านเฉินจะมีอารมณ์สนุกพูดหยอกล้อแบบนี้เป็นด้วย องค์หญิงใหญ่จะชอบเจ้างั้นหรือ? นางไม่ได้ถูกผีบังตาสักหน่อย ไม่มีทางแน่นอน”
จากนั้นหม่าหย่วนจื้อก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้าหาก มีวันนั้นจริงๆ องค์หญิงใหญ่เกิดเลอะเลือนขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้ท่านเฉินโปรดหนักแน่นมั่นคง! นำมาดของสุภาพชนออกมาใช้! ภรรยาของสหายห้ามแตะต้อง”
ระหว่างที่เดินเข้าไปในจวนจูเสียนพร้อมกับหม่าหย่วนจื้อ เฉินผิงอันที่ได้ยินประโยคเหล่านี้รู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ เกือบจะทนไม่ไหวหลุดพูดถ้อยคำที่หลิวจ้งรุ่นพูดถึงหม่าหย่วนจื้อออกมา กว่าจะกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับเรื่องราวระหว่างคนแบกอาหารและหลิวจ้งรุ่นนี้ เขาก็มีแต่เสียงทอดถอนใจให้เท่านั้น
พอนึกถึงว่าอย่างน้อยตนยังต้องไปเยือนเกาะจูไชอีกรอบ เฉินผิงอันก็ยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่
เฉินผิงอันได้แต่รับรองกับหม่าหย่วนจื้อว่าเขาไม่มีทางไปแหยมกับหลิวจ้งรุ่นแน่นอน ยิ่งไม่มีทางคิดอะไรกับนาง
หม่าหย่วนจื้อพึงพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะนั่งลงในห้องโถงใหญ่ เขาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ถามว่า “หากเป็นตอนที่เพิ่งมาถึงเกาะชิงเสีย ข้าคงยังไม่ค่อยวางใจ แต่ตอนนี้เจ้ามีสารรูปเช่นนี้ ไม่ได้รูปงามไปกว่าข้าสักเท่าไหร่ ข้าก็สามารถวางใจได้เต็มร้อย!”
เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่ด้านหลัง หยิบตำหนักพญายมราชสมบัติอาคมชิ้นนั้นออกมา กล่าวอย่างจนใจว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องขอบคุณในความเชื่อใจที่เจ้ามีให้”
จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการแลกเปลี่ยนกัน
หม่าหย่วนจื้อจุ๊ปากชื่นชมตำหนักพญายมราชที่สลักสองคำว่า ‘คุกล่าง’ นี้ไม่หยุด รู้สึกน้ำลายสอด้วยความอยากได้ มองตาไม่กะพริบ จับจ้องหอเรือนไม้ขนาดเล็กจิ๋วนั่นเขม็ง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าผู้อาวุโสต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายอยู่ในเกาะชิงเสียมานานหลายปีขนาดนี้ก็เพราะหวังว่าวันใดวันหนึ่งจะสามารถอาศัยคุณความชอบแลกมาด้วยของรางวัลเช่นนี้จากเจินจวิน หากไม่ได้จริงๆ ก็จะสะสมเงินให้มากพอ ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องซื้อมาให้ได้ ต้องรู้ว่าตำหนักพญายมราชคือสมบัติแห่งชะตาชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดของผู้ฝึกตนผีอย่างพวกเรา ผู้ฝึกตนผีเซียนดินเหล่านั้น หากไม่มีตำหนักพญายมราชสักหลังก็รู้สึกไม่มีหน้าจะออกจากบ้านไปทักทายเพื่อนร่วมอาชีพ แต่ว่าตำหนักพญายมราชก็มีระดับขั้นสูงต่ำ ต่อให้เป็นระดับขั้นที่ต่ำที่สุดก็เทียบเท่าได้กับสมบัติอาคมที่ไม่ธรรมดาแล้ว ได้ยินว่าตำหนักพญายมราชที่อยู่ในมือของผู้ฝึกตนผีก่อกำเนิดที่ตบะสูงที่สุดในแจกันสมบัติทวีปท่านนั้นมีระดับขั้นของ ‘คุกใหญ่’ มีขนาดใหญ่เท่าหอเรือนสูงจริงๆ ด้านในหอเรือนมีห้องทั้งหมดสามพันหกร้อยห้อง ผู้ฝึกตนปล่อยจิตหยางออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างในนั้น ลมหยินที่พัดเป็นระลอกและเสียงสัมภเวสีร้องโหยหวนก็ล้วนทำให้จิตหยางมีความสุข อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อตบะด้วย”
เฉินผิงอันกล่าว “วันใดที่ข้าไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไม่แน่ว่าจะขายต่อให้เจ้า”
หม่าหย่วนจื้อหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หัวเราะหึหึกล่าวว่า “ข้ารอประโยคนี้ของเจ้าอยู่นี่แหละ หลงกลข้าแล้ว!”
—–