กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 441.5 ยามที่หิมะตกลงมาอีกปี
เวลานี้เอง
วัตถุหยินเก้าตนที่ต้องตายอย่างอเนจอนาถ อีกทั้งเมื่อตายไปยังต้องเผชิญกับความทุกข์ตรมขมขื่น
มีทั้งความเดือดดาล ความกลัดกลุ้ม ความล่องลอย ความเศร้าโศก ความเคียดแค้น ความสงสัย ความตกตะลึงระคนดีใจ ความเย็นชา ความหวาดกลัว
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “พวกเจ้ามีความต้องการใดก่อนตายหรือไม่? มีเรื่องใดที่ยังทำไม่สำเร็จแต่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จหรือไม่? เพื่อตัวเอง เพื่อญาติ เพื่อสำนัก ล้วนสามารถพูดมาได้หมด ข้าจะพยายามช่วยทำตามความปรารถนาของพวกเจ้าให้เป็นจริง”
บนโต๊ะนอกจากสมุดบัญชีที่กองกันเป็นภูเขาแล้วยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่เอาไว้ดื่มเหล้าให้กระปรี้กระเปร่า รวมไปถึงยันต์กระดาษ ‘สาวงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลสวี่นครลมเย็นตั้งใจสร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน สามารถให้วัตถุหยินมาพักพิงอยู่ภายใน เดินท่องอยู่ในโลกคนเป็นด้วยลักษณะของหญิงสาวได้อย่างไร้อุปสรรค
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปชั่วครู่ “หากสืบสาวกันไปถึงต้นตอแล้ว ข้าติดค้างพวกเจ้าจริง เพราะหนีชิวน้อยตัวนั้นของกู้ช่าน เป็นข้าที่มอบให้เขา ดังนั้นข้าถึงได้ตามหาตัวพวกเจ้า มาพูดคุยกับพวกเจ้า แต่อันที่จริงก็เหมือนว่าข้าไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเจ้าเลย เพราะตำแหน่งที่พวกเราสองฝ่ายอยู่ในเวลานี้ก็คือทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ พุทธศาสนามีเวรกรรม แน่นอนว่าข้าเองก็มี แต่กลับไม่มาก ชีวิตนี้ทุกข์ยากเพราะผลกรรมในอดีตชาติ นี่ก็คือคำเอ่ยดั้งเดิมของลัทธิพุทธ หากอิงตามหลักความรู้ของสำนักนิติธรรม นี่ก็ยิ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย อิงตามวิธีการฝึกตนของลัทธิเต๋า ขอแค่ตัดขาดเรื่องทางโลก ออกห่างจากโลกีย์เพื่อแสวงหามรรคาอย่างเงียบสงบ ก็ยิ่งไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงจะพยายามอย่างเต็มที่”
ไม่มีใครเปิดปากพูดก่อน
ในห้อง ทั้งคนเป็นและคนตายพากันจมเข้าสู่ความเงียบอันยาวนาน
ไม่ว่าวัตถุหยินเหล่านั้นจะมีอารมณ์และความรู้สึกเช่นไร เมื่อพวกมันเห็นคนหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะผู้นั้น มองนักบัญชีในสายตาของพวกมันก็คล้ายว่าจะมองเห็นอารมณ์ที่แตกต่างไปจากเหล่าวัตถุหยินที่อยู่ข้างกาย
ประหนึ่งส่องกระจก
ทั้งสุขและทุกข์ผสมปนเปกัน
แม่นางเปิดสาบเสื้อคนหนึ่งพลันตวาดเสียงกร้าว “ข้าต้องการให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่?!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าทำไม่ได้”
นางหัวเราะเสียงเหี้ยม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะแสร้งทำเป็นคนดี เป็นวิญญูชนจอมปลอมไปไย?! เจ้ามันสมควรตาย สมควรตายไปพร้อมกับเจ้าเศษสวะกู้ช่านผู้นั้น ตายอย่างไร้ที่ฝัง เหลือเพียงเถ้าธุลี!”
เฉินผิงอันมองนาง
ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ความโกรธแค้นถูกฝังลึกเข้าถึงกระดูก เพียงแต่ว่าขณะที่นางคิดจะพุ่งตัวออกไปจากแผ่นหินสีเขียวก็เหมือนชนเข้ากับกำแพง กระเด็นหวือกลับมาด้านหลังดังปัง นางที่ล้มลงพยายามจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่กำแพงไร้รูปลักษณ์นั่นอีกครั้ง กางนิ้วทั้งห้าออก ใช้เล็บกรีดครูดประตูที่มองไม่เห็นอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าท่าทางเหมือนคนเสียสติ “ข้าตายแล้ว เจ้าก็ต้องไม่ได้ตายดี เจ้ามาทำตัวเสแสร้งอยู่ตรงนี้ สมควรตายที่สุด สมควรตายยิ่งกว่ากู้ช่านผู้นั้นเสียอีก…”
สุดท้ายนางทรุดลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน วัตถุหยินอีกแปดตนที่เหลือบนแผ่นหินสีเขียวต่างก็พากันถอยหลังก้าวหนึ่งแทบจะพร้อมเพรียงกัน
เฉินผิงอันเดินอ้อมโต๊ะหนังสือมาหยุดอยู่นอกแผ่นหิน ทรุดตัวลงนั่งยอง
นางเงยหน้าขึ้น “ข้าก็แค่ไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิตอยู่ ข้าผิดหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิด”
เฉินผิงอันนั่งลงขัดสมาธิ เอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าชื่อไป๋หลีฉ่าว ชื่อเดิมคือไป๋เหมยเอ๋อร์ ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกตนขอบเขตสาม มีชาติกำเนิดมาจากตรอกผิงจื่อของเขตการปกครองกูซูแคว้นสือหาว มีสัญญาหมั้นหมายมาตั้งแต่ยังเป็นทารก ปีที่เจ้าอายุสิบสี่ก็ถูกผู้ฝึกตนของห้องตกปลาเกาะชิงเสียค้นพบว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตน จึงใช้เงินสามร้อยตำลึงซื้อตัวเจ้ามาจากพ่อแม่ สุดท้ายพ่อแม่ของเจ้าเปลี่ยนใจ ต้องการเงินเพิ่มอีกสามร้อยตำลึง ผลกลับถูกผู้ฝึกตนสังหารจนสิ้นต่อหน้าต่อตาเจ้า มาถึงเกาะชิงเสียก็ถูกผู้ถวายงานอันดับหนึ่งหมายตา รับตัวไปเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อ เจ้ารังเกียจที่ชื่อไป๋เหมยเอ๋อร์นี้ไม่ไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นไป๋หลีฉ่าว ด้วยเรื่องนี้ยังจ่ายเงินเกล็ดหิมะสิบสองเหรียญเพื่อเปลี่ยนชื่อที่ห้องควันธูป สุดท้ายตายด้วยน้ำมือของผู้ใต้บังคับบัญชากู้ช่านอย่างหนีชิวตัวนั้น สภาพศพอเนจอนาถน่าสังเวช เจ้ายังเหลือทิฐิและความยึดติดสูง สามจิตหกวิญญาณจึงสามารถรักษาไว้ได้เกินครึ่ง อีกทั้งยังถูกผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อของจวนจูเสียนพาตัวไปกักขังอยู่ในบ่อน้ำ คิดจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นทหารผีตนหนึ่ง สุดท้ายข้าพาเจ้าออกมาจากบ่อน้ำ เข้ามาอยู่ในตำหนักพญายมราช”
นางเช็ดน้ำตา “เจ้าสามารถจัดการข้าได้ตามใจชอบ แต่หากกู้ช่านไม่ตาย ข้าก็ตายตาไม่หลับ! ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ข้าก็จะจดจำเขากู้ช่านเอาไว้…”
สายตาของนางเด็ดเดี่ยว “ยังมีเจ้าอีกคน! เจ้ามีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่นักไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าไม่ทำลายจิตวิญญาณของข้าให้แหลกสลายไปตรงๆ เสียเลยเล่า เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจของเจ้าก็จะไม่ได้หงุดหงิด!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ลุกขึ้นยืน
วัตถุหยินอายุน้อยที่มีสถานะเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อเช่นเดียวกันอีกตนหนึ่งเปิดปากเอ่ยขึ้นอย่างขลาดๆ “ต่อให้ต้องอยู่บนโลกด้วยร่างของวัตถุหยิน ข้าก็ยินดี อีกอย่างวันหน้าขอให้ไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดทรมานทางจิตวิญญาณอีกแล้วได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ หากยังมีความปรารถนาอะไรอีก เมื่อคิดได้แล้วก็มาบอกข้า”
นางพลันลิงโลด นางที่รูปโฉมงดงามละมุนละไมยอบกายคารวะเฉินผิงอัน
สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นชาชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าอยากไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาถูกกักขังอยู่ในสถานที่บ้าๆ แบบนี้อีก เจ้าทำได้ไหม?”
เฉินผิงอันกล่าว “ปล่อยให้เจ้าไปจุติใหม่ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าเจ้าจะได้ไปเกิดเป็นคนอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติหน้าจะได้เสวยสุขหรือไม่ ข้าก็ยิ่งไม่อาจรับรองได้ ข้าได้แต่รับปากเจ้าว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะประกอบพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าให้เจ้าพร้อมกับวัตถุหยินที่เลือกแบบเดียวกับเจ้า ช่วยขอพรให้แก่พวกเจ้า นอกจากนี้ข้ายังจะพยายามเพิ่มคุณความดีของพวกเจ้าตามกฎเกณฑ์ของบนภูเขา ยกตัวอย่างเช่นข้าจะใช้ชื่อของพวกเจ้าไปตั้งโรงทานแจกอาหารช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากไร้ของแคว้นสือหาวที่เวลานี้เต็มไปด้วยสงครามวุ่นวาย เรื่องที่ข้าสามารถทำได้มีไม่น้อย”
นางอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนความคิด “ขอข้าคิดดูอีกหน่อย ได้ไหม?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แน่นอน”
นางพลันถามว่า “เจ้าก็รู้ด้วยหรือว่าข้าชื่ออะไร?”
เฉินผิงอันตอบเบาๆ “รู้ อีกอย่างข้ายังรู้ว่ากลอนคู่ปีใหม่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญในจวนสมัยก่อนล้วนเป็นลายมือของเจ้า ข้ายังตั้งใจไปหามาโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่จวนซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็นจวนชุนถิงแห่งนั้นล้วนเปลี่ยนใหม่หมดแล้ว”
น้ำตานางไหลพรากทันที
เฉินผิงอันกล่าว “ขอโทษนะ”
นางไม่พูดไม่จา เอาแต่ร้องไห้อย่างเดียว
วัตถุหยินหนึ่งในนั้นที่ตอนแรกมีสีหน้าหวาดหวั่นมากที่สุดคือบุรุษวัยกลางคนที่ทำหน้าที่เป็นนักการซึ่งว่ากันว่าเคยชินที่จะค้อมเอวพูดกับคนอื่นมากที่สุด เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “ท่านผู้เฒ่าเทพเซียน ข้าชื่อเจี่ยเกา ท่านไม่รู้ชื่อของข้าน้อยก็ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจดจำด้วย ข้าแค่อยากจะไปจุดธูปหน้าหลุมศพของพ่อแม่ข้า แต่ว่ามันค่อนข้างไกล ไม่ได้อยู่ที่แคว้นสือหาว แต่อยู่ที่แคว้นชุนหัวแคว้นเล็กใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋ง หากท่านเทพเซียนรังเกียจว่ายุ่งยากก็ช่างเถิด ข้าขอแค่ว่าหากท่านเทพเซียนสามารถจัดพิธีกรรมทางศาสนาได้จริงก็ช่วยสะสมบุญในปรโลกให้พวกเราสักหน่อย จะได้ไปเกิดใหม่อย่างราบรื่น แล้วข้าจะไม่คิดแค้นกู้ช่านอีก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้ารู้บ้านเกิดของเจ้า แล้วก็จะไปที่แคว้นชุนหัวด้วย ถึงเวลานั้นจะเชิญเจ้าออกมาอีกครั้ง”
เจี่ยเกาพลันร้องไห้ไม่เป็นเสียง ค้อมเอวเอ่ยขอบคุณ “ค่าใช้จ่ายในการไปจุดธูปคงต้องรบกวนให้ท่านเทพเซียนสิ้นเปลืองเงินทองแล้ว ขอแค่ชาติหน้ามีโอกาส ข้าจะต้องใช้คืนแน่”
เฉินผิงอันหมุนตัวไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่ แล้วถึงได้เดินกลับไปยังจุดที่ห่างไปไกล “เพียงเท่านี้หรือ? มีแค่นี้เองหรือ?”
วัตถุหยินชายวัยกลางคนเช็ดหน้าลวกๆ “แค่นี้ก็พอแล้ว!”
ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก พยายามขึงหน้าให้นิ่งตึง ไม่เอ่ยอะไร
แล้วจู่ๆ วัตถุหยินตนหนึ่งก็ถูมือหัวเราะร่า เขาคือชายวัยฉกรรจ์คนหนึ่ง เอ่ยประจบขึ้นว่า “ท่านเทพเซียน ข้าไม่ขอให้ได้ไปเกิดใหม่ แล้วก็ไม่กล้าให้ท่านเทพเซียนต้องไปทำเรื่องที่เปลืองแรงเช่นนั้น ข้ามีแค่ความปรารถนาเล็กๆ อย่างหนึ่ง ทั้งไม่เปลืองเงินเกล็ดหิมะของท่านเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว แล้วก็ไม่ต้องให้ท่านเทพเซียนต้องเปลืองแรงใจด้วย”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “จ้าวสื่อ เจ้าลองว่ามาสิ”
ชายที่ตอนมีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลน้อยของจวนชุนถิงชำเลืองตามองวัตถุหยินที่เป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายตนข้างกาย แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ความปรารถนาเดียวของข้าน้อยก็คือได้อยู่ในจวนตระกูลเซียนหลังนั้นของท่านเทพเซียนตลอดเวลา จากนั้นก็สามารถทำเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ นั่นคือได้ดูแลแม่นางเปิดสาบเสื้อ เพียงแต่ว่าตอนนี้ต้องการมากกว่าเดิมเล็กน้อย นั่นคืออยากไปเยือนเรือนพักของพวกนางเพื่อทำเรื่องของ…บุรุษบ้าง ตอนที่มีชีวิตอยู่ได้แต่แอบมองไม่กี่ครั้ง ไม่กล้ามองให้นานกว่านั้น ตอนนี้ขอท่านเทพเซียนโปรดเมตตาข้าด้วยเถิด ได้หรือไม่? หากไม่ได้…ข้าก็คงตายตาไม่หลับจริงๆ”
แม่นางเปิดสาบเสื้อที่เปิดปากเป็นคนแรก เด็กสาวที่มีชื่อว่าไป๋หลีฉ่าวคลี่ยิ้มเย็นชา
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กระตุกมุมปาก “ได้สิ เรื่องเล็กแค่นี้เอง”
บุรุษก้มหน้าค้อมเอว “ท่านเทพเซียนช่างปรีชา”
เฉินผิงอันไม่ต้องเปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นก็เอ่ยเนิบช้าว่า “จ้าวสื่อ เจ้าเองก็เหมือนบรรพบุรุษที่ถือกำเนิดขึ้นในเกาะชิงเสีย เป็นผู้ดูแลระดับสองของจวนเติงฮวา นอกจากคอยดูแลเรื่องอาหารการกินที่อยู่อาศัยและเงินเดือนของแม่นางเปิดสาบเสื้อหลายสิบคนแล้ว ทุกปียังมีโอกาสออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนสองครั้ง ไปเยือนชายแดนรอบด้านซึ่งรวมถึงแคว้นสือหาว เพื่อค้นหาลูกศิษย์และนักการมาให้แก่จวนเติงฮวาของเกาะชิงเสีย จากบันทึกลับที่อยู่ในห้องควันธูป ประวัติในชีวิตของเจ้ามีเพียงแค่เรื่องเดียวที่ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า นั่นก็คือเจ้าเคยเกิดความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นของนครอวิ๋นโหลว จึงอาศัยชื่อเสียงและเส้นสายของเกาะชิงเสียไปจ้างผู้ฝึกตนในท้องถิ่นของนครอวิ๋นโหลวให้ไปรังแกย่ำยีนางจนตาย แล้วนำศพไปโยนทิ้งในทะเลสาบ”
บุรุษมีสีหน้ากระอักกระอ่วน “ท่านเทพเซียนพูดล้อเล่นแล้ว”
เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในแผ่นหินสีเขียว ก้าวเดียวก็คว้าลำคอของวัตถุหยินตนนี้ไว้ได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ล้อเล่น? ข้าว่ามันเป็นเรื่องล้อเล่นที่ไม่ตลกเลยแม้แต่น้อย”
ลำคอถูกห้านิ้วของเฉินผิงอันบีบแน่น บุรุษวัตถุหยินก็รู้สึกเหมือนถูกต้มอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด “เฉินผิงอัน! เจ้าไม่รักษาคำพูด! ข้าขอสาปแช่งให้เจ้า…”
เฉินผิงอันชูแขนขึ้นสูง ทำให้เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ไม่เปิดโอกาสให้วัตถุหยินที่ดิ้นรนก่อนตายตนนี้พูดได้แม้เพียงครึ่งคำ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “รักษาคำพูดสิ ชาติหน้าเจ้าก็อาศัยความสามารถเหมือนตอนที่รังแกผู้ฝึกตนหญิงที่มาเที่ยวนครอวิ๋นโหลวผู้นั้นไปเกิดในครรภ์ที่ดีก็แล้วกัน ส่วนหลังจากที่จิตวิญญาณของเจ้าแหลกสลายแล้ว เจ้าจะยังมีโอกาสนี้หรือไม่ ข้าก็คงไปยุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้แล้ว ใช่แล้ว เจ้ายังจำชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นได้ไหม? ข้าจำได้ นางชื่อเว่ยชิงอวี้”
วัตถุหยินในมือของเฉินผิงอันตนนั้นระเบิดดังปัง แล้วแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีที่กระจายไปสี่ทิศ
เฉินผิงอันเดินออกมาจากหินเขียว ไออยู่สองสามที พอเดินกลับไปยังหลังโต๊ะหนังสือแล้วก็มองมาทางแผ่นหินเขียวอีกครั้ง
มีหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่แรกเริ่มสุดคือวัตถุหยินสองตนที่มีสีหน้าลอบยินดีและกังขา ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้ถึงได้ลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับเขา
หนึ่งชั่วยามต่อมา
เฉินผิงอันเปิดประตูเดินออกจากห้อง
เจิงเย่มายืนอยู่หน้าประตูแล้ว พอมองเห็นเขาก็หันหน้ามาเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนดีใจ “ท่านเฉิน หิมะตกแล้ว! หิมะใหญ่เท่าขนห่านเลย! นี่เป็นหิมะใหญ่ครั้งแรกในปีนี้ของทะเลสาบซูเจี่ยนเรา”
เพียงแต่ว่าไม่นานเจิงเย่ก็หุบปาก รู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย
สำหรับผู้ฝึกตนใหญ่อย่างท่านเฉิน
มีหิมะตกลงมาในโลกมนุษย์ จะตกหนักหรือเบา มีความหมายอะไรด้วยหรือ?
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น
สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
มองไปเห็นแต่หิมะสีขาวโพลน
ทว่าตอนที่หิมะละลาย นั่นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุด หลังจากหิมะละลายแล้วก็จะยิ่งทำให้ทางเดินกลายเป็นดินโคลน
—–