กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 442.1 นกหายสาบสูญไปในโพรงน้ำแข็ง
ต่อให้เป็นคนเก่าแก่ของทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างจางเย่ก็ยังคิดไม่ถึงว่าหิมะครั้งนี้จะไม่เพียงแต่ตกหนัก ยังตกนานถึงเพียงนี้
พลังอำนาจที่พุ่งมาอย่างดุดันขุมนั้นราวกับจะชักดึงน้ำในทะเลสาบซูเจี่ยนให้สูงขึ้นไปอีกหนึ่งฉื่อ
หิมะตกหนักเป็นลางบอกว่าผลเก็บเกี่ยวจะอุดมสมบูรณ์
นี่ไม่เพียงแต่เป็นคำกล่าวในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น ในสายตาของผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนของทะเลสาบซูเจี่ยนก็ใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน ฝนหิมะและน้ำค้าง น้ำที่ไร้ต้นตอเหล่านี้ สำหรับปราณวิญญาณและโชคชะตาน้ำของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วย่อมต้องมีแต่ผลประโยชน์ เกาะมากมายคงนึกอยากให้หิมะใหญ่นี้ตกลงมาใส่หัวตัวเองคนเดียวเท่านั้น เพราะที่ตกลงมาไม่ใช่เกล็ดหิมะ แต่เป็นเงินเกล็ดหิมะ เงินเทพเซียนกองใหญ่
ในความเป็นจริงแล้วได้มีผู้ฝึกตนเซียนดินจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นไปร่ายเวทอภินิหารบนท้องฟ้า ใช้ความสามารถของใครของมันมาช่วงชิงผลประโยชน์ที่จับต้องได้จริงให้แก่เกาะของตัวเอง
วันตงจื้อนี้ (หรือวันเหมายัน เป็นวันที่ซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตรมีกลางคืนยาวที่สุดและกลางวันสั้นที่สุด) ตามประเพณีท้องถิ่นแล้ว จวนชุนถิงจะต้องห่อเกี๊ยว
หนึ่งวันก่อนหน้านั้น ในที่สุดหนีชิวน้อยก็สามารถระงับอากาศบาดเจ็บกลับขึ้นมาบนฝั่งได้อีกครั้ง และวันนี้ก็ถูกกู้ช่านใช้ให้มาตามเฉินผิงอันไปกินเกี๊ยวที่จวน ตอนที่สั่งความ กู้ช่านกำลังง่วนช่วยงานมารดาของตัวเองอยู่ในห้องครัว ตอนนี้ห้องครัวของจวนชุนถิงใหญ่กว่าบ้านบรรพบุรุษของทั้งกู้ช่านและเฉินผิงอันในตรอกหนีผิงสองหลังรวมกันเสียอีก
ระหว่างที่เดินอยู่บนทางภูเขา หนีชิวน้อยก็ประหลาดใจมากเหมือนกัน กู้ช่านบอกว่าเฉินผิงอันอาจจะมอบของสิ่งหนึ่งให้กับตน จะเป็นอะไรกันแน่นะ?
ได้ยินมาว่าช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันเก็บตัวเงียบ แทบไม่ได้ก้าวเท้าออกจากเรือน บางครั้งที่ปรากฎตัวก็แค่เปิดประตูออกมองทัศนียภาพของทะเลสาบในวันที่หิมะตกหนักเท่านั้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วทะเลสาบซูเจี่ยน
นางยังคงหวาดกลัวเฉินผิงอันอยู่เล็กน้อย
ครั้งแรกที่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งในนครน้ำบ่อ เป็นความหวาดกลัวทางสัญชาตญาณที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของตัวเอง หลังจากเฉินผิงอันเปิดศึกกับหลิวเหล่าเฉิง หนีชิวน้อยที่เฉินผิงอันตั้งชื่อให้ว่าถานเซวี่ยก็ยิ่งหวาดกลัวเข้าไปใหญ่
นางยังคงชื่นชอบเจ้านายอย่างกู้ช่านจากใจจริง แล้วก็รู้สึกโชคดีมาโดยตลอดที่ปีนั้นเฉินผิงอันมอบตนให้กับกู้ช่าน
หากอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ทุกวันนี้นางคงต้องสงบเสงี่ยมสำรวมตน
พอมาถึงเรือนหลังนั้น นางก็เคาะประตูเบาๆ
น้ำเสียงแหบพร่าของเฉินผิงอันดังมาจากข้างใน “ประตูไม่ได้ลงกลอน เข้ามาเถอะ ระวังอย่าเหยียบหินสีเขียวให้เสียหาย”
นางเปิดประตู ไอความเย็นที่สะสมมาจากหิมะซึ่งตกกระหน่ำอยู่นอกประตูพากันกรูเข้ามาในห้อง
แรกเริ่มนางยังไม่ทันสังเกต นางรู้สึกชื่นชอบและใกล้ชิดกับอากาศหนาวเย็นของในสี่ฤดูกาลมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่เมื่อนางเห็นว่าเฉินผิงอันที่นั่งหน้าซีดขาวอยู่หลังโต๊ะเริ่มไอ นางก็รีบปิดประตูลง เดินอ้อมแผ่นหินสีเขียวที่ใหญ่เหมือนผืนพรมในห้องหนังสือของจวนกู้ช่าน ขยับเข้าไปยืนใกล้โต๊ะหนังสืออย่างขลาดกลัว “นายท่าน กู้ช่านให้ข้ามาเรียกท่านไปกินเกี๊ยวที่จวนชุนถิง”
เฉินผิงอันหยุดมือที่เขียนพู่กันลงแล้ว บนหัวเข่าวางเตาถ่านอุ่นมือที่ถักด้วยไม้ไผ่ล้อมอ่างทองแดงไว้ตรงกลางซึ่งเขาทำเอง ฝ่ามือของมือทั้งสองข้างล้วนต้องอาศัยไอร้อนจากถ่านมาขับไล่ความหนาว เอ่ยขออภัยว่า “ข้าคงไม่ไปแล้ว เจ้าช่วยขอโทษกู้ช่านกับท่านอาหญิงแทนข้าสักคำ”
นางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากท่านกังวลกับลมหิมะที่พัดอยู่ข้างนอก ถานเซวี่ยสามารถช่วยท่านได้”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด”
นางยังอยากจะพูดอะไรต่อ เพียงแต่เมื่อนางมองดวงตาคู่นั้นของเฉินผิงอันก็ล้มเลิกความคิดทันที
เฉินผิงอันถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงตั้งชื่อเจ้าว่าถานเซวี่ย?”
นางส่ายหน้า
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “น้ำแข็งและถ่านไม่อาจอยู่ร่วมเตา นี่คือหลักการที่แม้แต่เด็กน้อยก็ยังเข้าใจ ถูกไหม?”
นางพยักหน้า
เฉินผิงอันกล่าวต่อว่า “ดังนั้นน้ำแข็งและถ่าน (ถานเซวี่ย) อยู่ร่วมเตา ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกันจึงเป็นสิ่งที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด นี่คือเหตุผลข้อหนึ่ง และยังมีอีกเหตุผลที่เกิดจากความเห็นแก่ตัวของข้า เพราะเมื่อพบเจอเจ้าก็จะเป็นการเตือนตัวข้าว่า การมอบเจ้าให้กับกู้ช่านในอดีตนั้นถือเป็นการกระทำที่เรียกว่าส่งถ่านท่ามกลางหิมะจริงๆ ถ้าหาก…”
เฉินผิงอันหยุดพูด ยกมือข้างหนึ่งที่วางไว้บนเตาอุ่นมือขึ้นมาหยิบมีดแกะสลักที่วางไว้บนโต๊ะ
การกระทำนี้ทำให้ถานเซวี่ยที่เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดซึ่งแม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่อูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้า ยังอดหนังตากระตุกไม่ได้
บนโต๊ะวางดาบไม้ไผ่และฝักไม้ไผ่ที่เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อคืนวาน เดิมทีคิดจะให้เจิงเย่ที่ชอบทัศนียภาพยามหิมะตกไปที่เกาะไม้ไผ่ม่วงเพื่อขอหรือซื้อไม้ไผ่มาเพิ่มสักลำ เพียงแต่พอคิดว่าดาบไม้ไผ่ต้องใช้ไผ่เขียวถึงจะดูดีกว่า หากห้อยดาบและฝักที่ทำจากไม้ไผ่ม่วงไว้ตรงเอวสีสันจะดูฉูดฉาดไปสักหน่อย เลยเปลี่ยนความคิด ให้เจิงเย่ไปฟันไม้ไผ่เขียวลำหนึ่งของเกาะชิงเสียกลับมา เฉินผิงอันทำดาบและฝักดาบทั้งคืน เศษชิ้นส่วนไม้ไผ่ที่เหลืออีกมากก็ถูกเฉินผิงอันนำมาเหลาเป็นแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ หนึ่งกอง บนโต๊ะจึงวางแผ่นไม้ไผ่ว่างเปล่าที่ไม่ได้สลักตัวอักษรใดๆ ลงไปอยู่หลายแผ่น เพียงแต่ว่าไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่ก่อนหน้านี้ที่สลักตัวอักษรเอาไว้ แผ่นไม้ไผ่ที่ทำขึ้นใหม่บนเกาะชิงเสียเหล่านี้ไม่ได้มีขนาดเท่ากันทั้งหมด แต่สั้นยาวไม่เท่ากัน หนาบางแตกต่างกันไป
เวลานี้เฉินผิงอันหยิบมีดแกะสลักเล่มที่เจ้าของร้านในเมืองหลวงต้าสุยแถมให้ขึ้นมา แล้วเลือกเอาแผ่นไม้ไผ่ที่ยาวที่สุดแผ่นหนึ่งมา ใช้มีดปาดตรงกลางแผ่นไม้ไผ่เบาๆ แบ่งแผ่นไม้ไผ่ออกเป็นสองท่อนที่สั้นและยาวต่างกัน จากนั้นก็บั่นแผ่นไม้ไผ่ส่วนที่ยาวครั้งแล้วครั้งเล่า ช่องว่างระหว่างรอยบั่นจึงมองดูเหมือนปล้องของลำไม้ไผ่เขียว
ในตรอกเล็กที่ควันจากการหุงหาอาหารลอยอบอวล ข้างคันนาที่แสงแดดเหนือศีรษะแผดแรงสูง ระหว่างบ้านบรรพบุรุษสองหลังของตรอกหนีผิง จวนชุนถิงที่โอ่อ่ามลังเมลือง ทะเลสาบซูเจี่ยนสถานที่ที่ไร้กฎเกณฑ์
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเฉินผิงอันกำลังทำอะไรหรือกำลังคิดอะไรส่งเดชอยู่ แต่พอเห็นภาพนี้ถานเซวี่ยก็ยังอดอกสั่นขวัญผวาไม่ได้
ทายาทของมังกรที่แท้จริงที่ต่อให้จะเผชิญหน้ากับหลิวเหล่าเฉิงก็ยังไร้ซึ่งความหวาดกลัวตนนี้เหมือนเด็กทำผิดที่กำลังจะถูกลงโทษ เผชิญหน้ากับอาจารย์ในโรงเรียนที่กำลังคิดบัญชีย้อนหลังกับตน รอจะโดนไม้เรียวฟาดลงบนฝ่ามือ
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แค่จ้องไปยังแผ่นไม้ไผ่ที่ถูกบั่นแล้วบั่นอีกแผ่นนั้น “บ้านเกิดของพวกเรามีคำสุภาษิตเก่าแก่ประโยคหนึ่ง บอกว่ารากบัวไม่ข้ามสะพาน ต้นไผ่ไม่ข้ามคูน้ำ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”
ถานเซวี่ยลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู สติปัญญายังไม่ถูกเปิด พอมาถึงเกาะชิงเสีย บ่าวถึงเพิ่งจะจดจำเรื่องราวได้อย่างแท้จริง ภายหลังตอนอยู่ในจวนชุนถิงก็เคยได้ยินมารดาของกู้ช่านพูดถึงอยู่บ้าง”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เงยหน้า ยิ้มกล่าวว่า “นิสัยเหมือนกับกู้ช่าน แต่ความสามารถด้านการพูดจาแฝงความนัยเช่นนี้ คงเรียนรู้มาจากท่านอาหญิงสินะ?”
ถานเซวี่ยเงียบงัน ขนตากระพือน้อยๆ ท่าทางน่าสงสาร
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “กับกู้ช่านเอง มีสองครั้งแล้วที่ข้าถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย ส่วนทางฝั่งของท่านอาหญิง ก็ถือว่าชดใช้คืนไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้าแล้ว หนีชิวน้อย”
ถานเซวี่ยเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาสีทองที่ตั้งตรงคู่นั้นจ้องนักบัญชีที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเขม็ง
ปราณสังหารในห้องท่วมท้นเข้มข้นจนเป็นเหตุให้ลมพายุนอกประตูพัดดังหวีดหวิว
ตอนนี้ตนอ่อนแออย่างยิ่ง แต่เขาล่ะดีกว่ากันสักเท่าไหร่เชียว?! เหมือนคนขี้โรคยิ่งกว่าตนเสียอีก!
หากเกี่ยวพันกับความเป็นความตายและมหามรรคา นางไม่เคยเลอะเลือนแม้แต่น้อย นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว นางยอมเป็นวัวเป็นม้าติดตามรับใช้เฉินผิงอันอย่างว่านอนสอนง่าย ปฏิบัติต่อเขาดุจเจ้านายครึ่งตัว มีแต่ความเคารพนอบน้อมให้แก่เขา
ที่นางเลือกอยู่กับกู้ช่านก็ไม่ใช่เพราะถูกชะตากัน มหามรรคาสอดคล้องกันมาตั้งแต่กำเนิดหรอกหรือ
เฉินผิงอันไอหนึ่งที ก่อนหมุนข้อมือแล้ววางเชือกพันธนาการปีศาจไว้บนโต๊ะ เอ่ยเย้ยหยันว่า “ทำไม คิดจะขู่ข้า? ไม่สู้มาลองดูจุดจบของเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้าหน่อยไหม?”
ถานเซวี่ยมองปราดเดียวก็รู้ความเป็นมาของเชือกสีทองเส้นนั้นทันที นางรู้สึกหวาดผวาราวกับขวัญจะแตกกระเจิง
ผู้ฝึกตนอิสระคนอื่นๆ ในทะเลสาบซูเจี่ยน อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดใหญ่อย่างหลิวจื้อเม่าเลย ต่อให้เป็นเซียนดินโอสถทองอย่างอวี๋กุ้ยที่ได้เห็นสมบัติอาคมชิ้นนี้ก็ไม่มีทางรู้สึกหวาดกลัวเช่นนาง
เฉินผิงอันวางมีดแกะสลักในมือลง หยิบเชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวหลงเฒ่าก่อกำเนิดในร่องเจียวหลงขึ้นมา เดินอ้อมโต๊ะสาวเท้าเข้าหานางช้าๆ “แน่นอนว่าข้าไม่ได้เป็นคนสังหารเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตัวนี้กับมือของตัวเอง หรือแม้แต่เชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้ก็ยังเป็นคนอื่นที่ขอให้สหายช่วยหลอมให้ข้าที่ภูเขาห้อยหัว ผู้ที่ฆ่าเจียวเฒ่าคือเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่ง คนที่รับหน้าที่ส่งต่อนำไปให้คนหลอมก็คือเซียนกระบี่ใหญ่อีกคนหนึ่ง เจียวเฒ่าที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็ก ใกล้จะเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบเต็มที กลับต้องมามีจุดจบเช่นนี้ กู้ช่านอาจจะไม่รู้ แต่เจ้าก็ไม่รู้หรือว่าสำหรับเจ้าแล้ว ทะเลสาบซูเจี่ยนเล็กเกินไป และมีแต่จะยิ่งเล็กลงทุกที?”
เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้านาง “เจ้าช่วยกู้ช่านฆ่าคนนั้นฆ่าคนนี้ ฆ่าอย่างสาแก่ใจ ฆ่าอย่างเต็มคราบ เพื่ออะไร? แน่นอนว่ามหามรรคาของพวกเจ้าสองคนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น นอกจากที่เจ้าจะไม่ทำร้ายกู้ช่านแล้ว ขอแค่คล้อยไปตามจิตดั้งเดิมของพวกเจ้าทั้งสองฝ่าย หากไม่นับรวมการทำเรื่องไร้สาระไปวันๆ เจ้าเองก็อยากคิดจะช่วยให้กู้ช่านหยัดยืนได้อย่างมั่นคง จากนั้นค่อยช่วยหลิวจื้อเม่ากับเกาะชิงเสียฮุบกลืนทั้งทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างโง่งม ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้กินโชคชะตาน้ำครึ่งหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ถือเป็นการเดิมพันใหญ่ของเจ้าครั้งหนึ่ง และนี่จะกลายมาเป็นรากฐานในการหยัดยืนยามที่ต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบไม่ใช่หรอกหรือ?”
มือข้างที่ถือเชือกพันธนาการปีศาจของเฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง จิ้มลงบนหน้าผากของนางอย่างแรง “ถ้วยใหญ่แค่ไหนก็บรรจุข้าวได้เท่านั้น หลักการเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ?! ไม่กลัวว่าข้าจะตบเจ้าให้ตายจริงๆ หรือ?!”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ตัวสั่นเทิ้ม นึกอยากจะยื่นกรงเล็บออกไปควักหัวใจของเจ้าคนขี้โรคที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ยิ่งนัก
แต่นางไม่กล้า
หนึ่งในสาเหตุที่สำคัญมากก็คืออาวุธกึ่งเซียนที่ตอนนี้ห้อยอยู่บนผนังเล่มนั้น
ไม่ใช่ความผูกพันหรือความสัมพันธ์ควันธูปอะไร
ถึงขั้นที่ว่าในส่วนลึกของหัวใจนางยังสัมผัสได้ถึงลมปราณแปลกประหลาดขุมหนึ่งที่สามารถสยบกำราบนางได้ตั้งแต่เกิดจากตัวของเฉินผิงอัน
แรกเริ่มนางเข้าใจผิดคิดว่าสาเหตุเป็นเพราะโชควาสนาแห่งมหามรรคาในปีนั้น
ภายหลังนางเพิ่งตระหนักรู้ว่าไม่ใช่แค่เท่านั้น
นี่เกี่ยวพันกับโลกทัศน์และอายุ สำหรับเรื่องนี้นางเทียบกับคนผู้หนึ่งที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันไม่ติด นั่นก็คืออู๋อี้บรรพจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงท่านนั้น อู๋อี้เพิ่งจะเป็นเซียนดินโอสถทองก็สามารถมองทะลุไปเห็นความจริงในปราดเดียวว่าเป็นเพราะบนร่างของเฉินผิงอันมีผลกรรมจากการสังหารเจียวหลงพัวพันอยู่ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดถึงเป็นผลกรรมที่หนาหนักขนาดนี้ อู๋อี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดแล้วก็ไม่เข้าใจ คนผู้เดียวที่น่าจะเดาความเป็นมาคร่าวๆ ได้ก็คือบิดาของนาง เจียวเฒ่าอายุหมื่นปีที่ไปรับตำแหน่งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่ภูเขาพีอวิ๋นท่านนั้น น่าเสียดายก็แต่เขาไม่มีทางจะมาพูดให้บุตรสาวคนนี้เข้าใจอย่างชัดเจน
เฉินผิงอันจิ้มหน้าผากนางครั้งแล้วครั้งเล่า “แม้แต่จะเป็นคนเลวที่ฉลาดอย่างไรก็ยังไม่รู้ แล้วนึกจริงๆ หรือว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน?! เจ้าลองไปดูที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ศึกที่มีขึ้นทุกหนึ่งร้อยปี มีผู้ฝึกกระบี่เซียนดินต้องตายไปกี่มากน้อย?! เจ้าเคยเห็นกระบี่ของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะหรือไม่? เจ้าเคยเห็นอาเหลียงที่ถูกเต๋าเหล่าเอ้อร์ต่อยหนึ่งหมัดร่วงกลับมาที่ใต้หล้าไพศาล แล้วเอาคืนด้วยการต่อยหนึ่งหมัดให้เต๋าเหล่าเอ้อร์กลับเข้าไปที่ใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่? เจ้าเคยเห็นจั่วโย่วใช้กระบี่เดียวทำลายร่องเจียวหลงให้ราบเป็นหน้ากลองไหม?! เจ้าเคยเห็นตู้เม่าขอบเขตบินทะยานผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของใบถงทวีปไหมว่าเขากายดับมรรคาสลายตายไปอย่างไร?!”
เฉินผิงอันหดมือกลับมา ไอไม่หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เจ้าแค่ได้พบหลิวเหล่าเฉิงที่เป็นขอบเขตหยกดิบคนเดียวก็เกือบต้องตายแล้ว”
นางอับอายจนพานเป็นความโกรธ กัดฟันเข่นเขี้ยว
จิตสังหารในดวงตาสีทองคู่นั้นยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที โดยที่นางไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก จ้องทายาทของมังกรที่แท้จริงซึ่งมีชีวิตราบรื่นมาโดยตลอดตรงหน้า “เพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เจ้าและกู้ช่านรู้สึกว่าฆ่าคนไม่ผิด หากตนถูกฆ่าก็ตายอย่างไม่เสียดายงั้นหรือ? คนอย่างกู้ช่าน เจียวหลงอย่างเจ้า และยังมีคนที่มองดูเหมือนจะฉลาดอย่างมารดาของกู้ช่าน หากข้าไม่รู้จักพวกเจ้า รู้หรือไม่ว่าต่อให้ข้าเดินทางผ่านทะเลสาบซูเจี่ยน ต่อให้ข้ามีตบะเพียงน้อยนิดแค่นี้ ต่อให้ไม่ต้องต่อยออกไปแม้แต่หมัดเดียว ไม่ต้องส่งกระบี่ออกไปแม้แต่ครั้งเดียว แค่ดื่มชา คุยเล่นกับพวกหลิวจื้อเม่า หลิวเหล่าเฉิง เจ้าเกาะลี่ซู่ ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาเพียงไม่กี่ปีที่ข้าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน พวกเจ้าก็สามารถตายกันไปได้กี่ครั้งแล้ว?”
นางหัวเราะเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าซะเลยสิ? ทำไมไม่ฆ่าล่ะ?”
และดูเหมือนเพียงชั่วพริบตานางก็พลันอารมณ์ดี จึงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเฉินผิงอันสามารถเดินมาได้จนถึงวันนี้ก็เพราะเจ้าฉลาดกว่ากู้ช่านมากนัก จิตใจของเจ้าละเอียดอ่อนดุจเส้นผม ทุกก้าวล้วนมีการวางแผน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ส่วนที่เล็กละเอียดที่สุดในใจคน เจ้าก็ต้องสืบเสาะให้รู้แน่ชัด แต่แล้วจะอย่างไรเล่า? มหามรรคาของเจ้าก็พังทลายเสียหายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? เฉินผิงอันเจ้ารู้จริงๆ หรือไม่ว่าคืนนั้นกู้ช่านรู้สึกอย่างไร? เจ้าบอกว่าเกิดข้อผิดพลาดตอนฝึกตนเลยกระอักเลือด กู้ช่านไม่ฉลาดเท่าเจ้า แต่เขาก็ไม่ได้โง่จริงๆ เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าเจ้ากำลังโกหก? จะดีจะชั่วข้าก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด จะมองไม่ออกว่าร่างเจ้ามีปัญหาใหญ่เทียมฟ้าเลยงั้นหรือ? เพียงแต่ว่ากู้ช่านเป็นคนใจอ่อน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเด็กตัวแค่นั้น เลยไม่กล้าถาม ส่วนข้าก็แค่ไม่อยากจะพูดถึง พลังของเจ้าถดถอยลงหนึ่งส่วน ข้าก็กลัวเจ้าน้อยลงหนึ่งส่วน และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าข้าคิดผิดไปครึ่งหนึ่ง ไม่ควรคิดว่าเจ้าเป็นแค่คนที่อาศัยสถานะและภูมิหลังจากคนอื่น โอ้โห เป็นอย่างที่ท่านเฉินพูดจริงๆ ข้ามันโง่เง่านัก ไม่ฉลาดเอาซะเลย ยังดีที่ไม่โชคร้ายจนเกินไป ยังเดาถูกครึ่งหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย เจ้าถึงขนาดอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวขัดขวางหลิวเหล่าเฉิงไว้ได้ ข้ามีชีวิตรอดมาได้ แต่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งหนึ่งมลายหาย สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมาแทน ตอนนี้ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว ก็เหมือนกับที่ตบให้พวกมดตัวน้อยที่ต่อให้ตายไปแล้วก็ยังเอามากินเป็นอาหารไม่ได้พวกนั้นตาย ไม่ต่างกันเลยสักนิด”
เฉินผิงอันโยนเชือกพันธนาการปีศาจไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ ฝ่ามือสองข้างแนบประกบเข้าหากัน เขาเองก็ยิ้มเหมือนกัน “แบบนี้สิถึงจะถูก คำพูดเหล่านี้หากไม่พูดออกมา ขนาดข้ายังรู้สึกเหนื่อยแทนเจ้า เจ้าเสแสร้งได้ไม่ดีพอ ส่วนข้าก็มองเห็นความจริงอย่างชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็เหนื่อยใจ ตอนนี้อันที่จริงพวกเราอยู่บนเส้นเดียวกันแล้ว”
นางหรี่ตาลง “เลิกแกล้งขู่ให้ผู้อื่นกลัวสักทีเถอะ”
—–