กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 443.1 ด่านในใจคนร้อยเรียงต่อเนื่องกัน
ปราณกระบี่เฉียบคมปรี่ล้นอยู่ในห้อง นอกห้องก็มีความหนาวเหน็บของหิมะที่ตกลงมาอย่างหนัก
เจี้ยนเซียนที่แทงทะลุหัวใจถานเซวี่ยและประตูก็คือตัวที่เชื่อมโยงฟ้าดินเล็กใหญ่สองแห่งเข้าด้วยกัน
ถานเซวี่ยรู้ว่าขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์จึงไม่พูดอะไรอีก ทั้งสองฝ่ายจมสู่ความเงียบงันอย่างยาวนาน
บุรุษที่มาจากตรอกหนีผิงเช่นเดียวกันตรงหน้าผู้นี้ นับตั้งแต่ที่เขาพร่ำพูดหลักการเหตุผลยาวเหยียดมาจนถึงการโจมตีเอาชีวิตในฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้อยคำที่คล้ายกำลังทบทวนกระดานหมากล้อมหลังจากที่ลงมือได้สำเร็จแล้วนั้น ล้วนทำให้นางขนพองสยองเกล้าได้ทั้งสิ้น
ผู้ฝึกตนทุกคนบนเกาะชิงเสียที่รู้สึกว่านักบัญชีที่อาศัยอยู่หน้าประตูภูเขาผู้นี้นิสัยดี แล้วก็พูดง่าย
ล้วนตาบอดกันทั้งนั้น!
นางสูดลมหายใจเข้าเบาๆ หนึ่งทีก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวตรงหัวใจได้ทันที ส่วนลึกในจิตวิญญาณที่กระเพื่อมสะเทือนปั่นป่วน สาเหตุไม่ได้มีเพียงแค่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสที่เนื้อหนังมังสาได้รับเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนกลัวตาย ชีวิตก็คือสิ่งที่เป็นจริงมากที่สุด นี่ก็คือหนึ่งเล็กที่คนตรงหน้าพูดถึง อันที่จริงถานเซวี่ยเข้าใจในข้อนี้ เพียงแค่ก่อนหน้านั้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เมื่อนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังไหลหายไป ถึงขั้นสัมผัสได้ว่ามหามรรคาอันลี้ลับมหัศจรรย์กำลังสลายไปทีละนิด ก็เหมือนกับคนรวยที่ละโมบในทรัพย์สินเงินทองที่สุดในโลกต้องมาเห็นคาตาตัวเองว่าทองหยวนเป่าหล่นลงบนพื้นทีละก้อน แต่ไม่ว่าทำอย่างไรเขาก็หยิบขึ้นมาไม่ได้
นางย่อมต้องเริ่มดิ้นรนก่อนตาย ราวกับว่าต้องการก้าวออกไปหนึ่งก้าว กระชากดึงเรือนกายที่มีความแข็งแกร่งทนทานเทียบเคียงได้กับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเก้านี้ออกไปจาก ‘ผนัง’ ประตู ทิ้งกระบี่เซียนไว้เพียงเล่มเดียว
จากนั้นก็ใช้หนึ่งมือบิดลำคอของคนหนุ่มเพื่อระบายความเคียดแค้นที่อยู่ในใจ
เพียงแต่ว่าไม่นานนางก็หยุดการกระทำลง หนึ่งเพราะแค่ขยับก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกฉีก แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดกลับเป็นว่า เจ้าคนที่กุมชัยชนะไว้ในมือ นักบัญชีที่ชอบวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนผู้นั้น ไม่เพียงแต่ไม่เผยสีหน้าหวาดหวั่นเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ กลับกันยังยกยิ้มเย้ยหยัน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฉินผิงอันกินยาวิเศษที่ตำหนักวารีเก็บไว้อย่างเป็นความลับไปทีเดียวรวดสี่เม็ด แล้วยังบังคับควบคุมอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งเล่มซึ่งเป็นข้อต้องห้ามหรือไม่ ใบหน้าที่ซีดขาวของเขาจึงมีสีแดงก่ำซึ่งเป็นสัญญาณของอาการป่วยไข้ผุดขึ้นมาบนแก้มทั้งสองข้าง
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “แม้ข้าจะยังไม่สามารถหลอมเจี้ยนเซียนเล่มนี้ได้สำเร็จ แต่สะพายมันมานานแล้ว ปราณกระบี่จึงแทรกซึมเข้ามาในจิตวิญญาณ ทำให้จิตใจเชื่อมโยงกับมันได้เล็กน้อย มันจึงเป็นเหมือนเด็กเล็กที่ยังหัดพูดไม่เป็น”
เฉินผิงอันชี้ไปยังตัวกระบี่ที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งนั้น “แต่มันบอกกับข้าอย่างชัดเจนว่า เมื่อครู่ตอนที่เจ้าขอร้องข้า แท้จริงในใจเจ้าเกิดจิตสังหาร คิดจะสู้สุดชีวิตเพื่อให้ข้าพินาศวอดวายไปด้วยกัน ตอนนี้ก็แสร้งทำท่าทางให้ดูน่าสงสารไปอย่างนั้นเอง ทำไม รู้สึกว่าถูกข้าเล่นงานจนอเนจอนาถขนาดนี้น่าอายเกินไป เลยคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาสักหน่อย?”
นางมีเพียงความเงียบงัน
ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าทุกข์ระทม
หรือว่าตนผิดไปจริงๆ? แต่ผิดตรงไหนล่ะ?
เหมือนจะมองทะลุไปเห็นความคิดของนาง เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “หากข้าจะบอกว่าเจ้าผิดที่ไม่ควรเกิดมาเป็นทายาทของมังกรที่แท้จริงที่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามคนอื่น ไม่ควรใช้จิตใจและปณิธานอันแข็งแกร่งของตัวเองไปแอบผลักดันกล่อมเกลาจิตใจของกู้ช่านอย่างลับๆ ล่ะ ในความเป็นจริงแล้วหลิวจื้อเม่าไม่ถือว่าเป็นอาจารย์ของกู้ช่านเลยด้วยซ้ำ มารดาของกู้ช่านและสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้าต่างหากที่ใช่ เพราะกู้ช่านเชื่อใจพวกเจ้าสองคนมากที่สุด แต่กับหลิวจื้อเม่า เขากลับมีใจป้องกันและระแวงอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าอิทธิพลที่หลิวจื้อเม่ามีต่อเขาก็ไม่น้อย การรับรู้ที่กู้ช่านมีต่อทะเลสาบซูเจี่ยนและวิถีทางโลกที่อยู่ในหลุมส้วมแห่งนี้ เรียกได้ว่าส่วนใหญ่แล้วล้วนแอบเรียนรู้มาจากหลิวจื้อเม่าทั้งสิ้น แต่เมื่อเทียบกับพวกเจ้าแล้วยังห่างไกลกันมาก ข้าพูดอย่างนี้ เจ้าต้องไม่ยอมรับอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็คิดซะว่าเจ้าผิดที่โง่เกินไปก็แล้วกัน คิดว่าข้าเองก็เป็นคนหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ขอแค่ตบะไม่สูงมากพอก็ล้วนต้องถูกเจ้าใช้กำลังที่มากกว่ามาสยบกำราบ”
นางถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าเจ้าควรจะตายอย่างไร ตายไปแล้วควรจะเอามาใช้ให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดอย่างไร”
นางกล่าว “ตอนนี้ข้าไม่สงสัยแล้วว่าตัวเองจะตายหรือไม่ แต่อย่าลืมล่ะว่า ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง เจ้าเองก็ต้องตายเหมือนกัน”
เฉินผิงอันมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
นางเริ่มทดลองคิดพิจารณาถึงปัญหาโดยยืนอยู่ในมุมมองและจุดยืนของบุรุษตรงหน้าผู้นี้อย่างจริงจัง
เหมือนกับว่าเพิ่งจะเห็นเขาเป็นคู่แข็งที่มีฝีมือสูสีกันเป็นครั้งแรก และตอนนี้จึงเริ่มคิดถึงสถานการณ์หมากและหลักการในการเล่นหมากล้อมของเขา
นางเอ่ยถาม “ข้าเชื่อว่าเจ้ามีวิชาที่จะรักษาตัวรอด หวังว่าเจ้าจะสามารถบอกข้า ข้าจะได้ตัดใจได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องคิดจะเอากระบี่บินสองเล่มนั้นมาหลอกข้า ข้ารู้ว่าพวกมันไม่ใช่”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “นครมังกรเฒ่ามีเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่ชื่อว่าเกาะกุ้ยฮวา คือเรือเก่าแก่ที่มีตำแหน่งฐานะและความเป็นมายิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ในอดีตมีไม้พายตีมังกรที่สลักสี่คำว่า ‘ควรทำก็ทำ’ สืบทอดกันมา ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เรือข้ามฝากสามารถเคลื่อนผ่านร่องเจียวหลงไปได้อย่างปลอดภัย ตอนนั้นข้านั่งเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังภูเขาห้อยหัวก็เคยได้เห็นกับตาตัวเอง เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนรุ่นหลังของเกาะกุ้ยฮวาล้วนไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนั่นคือยันต์ตัดโซ่ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณเล่มหนึ่ง มีไว้เพื่อกำราบเผ่าพันธุ์เจียวหลงโดยเฉพาะ เมื่อเสริมสี่คำว่า ‘คำสั่งเทพพิรุณ’ เข้าไป ก็จะกลายเป็นยันต์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่บังเอิญเลยก็คือ ข้าสามารถเขียนยันต์ประเภทนี้ได้พอดี อานุภาพก็ไม่เลว หากไม่มีเจี้ยนเซียนเล่มนี้ตรึงเจ้าไว้กับประตู ข้าก็คงยังสังหารเจ้าไม่ได้ คิดจะกักขังเจ้าอาจจะค่อนข้างยาก แต่ตอนนี้คิดจะเล่นงานเจ้ากลับเหลือเฟือ ถึงอย่างไรเพื่อเขียนยันต์ตัดโซ่ที่จิตของยันต์เปี่ยมไปด้วยพลังแผ่นหนึ่ง กลางดึกของคืนหนึ่งก่อนหน้านี้ ข้าก็ต้องใช้เวลาไปนานมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้บอกให้เจ้าไปนั่งที่ข้างโต๊ะ ตอนนี้เสียใจแล้วใช่ไหมที่ไม่ยอมทำตามข้า? อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเจ็บใจ เพราะเส้นทางในหัวใจของเจ้านั้นเรียบง่ายมาก ข้ารู้ชัดเจนดี แต่เจ้ากลับไม่รู้เส้นทางในหัวใจของข้า ปีนั้นเจ้ากับกู้ช่านไปจากตรอกหนีผิงและถ้ำสวรรค์หลีจูค่อนข้างเร็ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตอนที่ข้ายังไม่ได้ฝึกหมัด ข้าสังหารไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาตะวันเที่ยง และเกือบจะสังหารฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่าได้อย่างไร”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปที่หัวของตัวเอง “ดังนั้นเจ้าจำแลงกายเป็นคน ก็มีแค่รูปลักษณ์เท่านั้นที่เหมือน เพราะเจ้าไม่มีสิ่งนี้”
แผ่นหลังที่แนบติดกับประตูของถานเซวี่ยแสบร้อนขึ้นมาเป็นระลอก นางพลันหวีดร้องเสียงแหลมอย่างตื่นตระหนก “เจ้าเขียนยันต์แผ่นนั้นไว้บนประตู!”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาทำท่าบอกนางว่าอย่าพูดเสียงดังเกินไป
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ประหลาดใจมากเลยใช่ไหมว่าทำไมเจ้าถึงสัมผัสไม่ได้ถึงการดำรงอยู่ของยันต์ที่แข็งแกร่งแผ่นนี้?”
ในใจนางพลันเศร้าอาดูรเคว้งคว้างอย่างถึงขีดสุด
เฉินผิงอันถามเองตอบเอง “เพราะยันต์แผ่นนี้ไม่สมบูรณ์แบบ ยังขาดปราณวิญญาณของจิตแห่งยันต์ไปอีกเล็กน้อย หนึ่งเพราะระดับขั้นของยันต์ตัดโซ่ค่อนข้างสูง ตอนนี้ข้ายังเขียนออกมาไม่ได้ อีกทั้งค่าตอบแทนยังค่อนข้างมาก ข้อสองคือหากเขียนสำเร็จ ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นขอบเขตก่อกำเนิด ย่อมมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อการไหลรินของลมปราณในฟ้าดิน ไม่แน่ว่าเจ้าเคาะประตูแล้วก็อาจจะไม่เข้ามาในห้องเลย พวกเจ้าเรียกข้าว่านักบัญชีไม่ใช่หรือ? ข้ารู้สึกว่าจะทำผิดต่อความรักความเมตตาที่เกาะชิงเสียของพวกเจ้ามอบให้ไม่ได้ เลือดสดจากหัวใจของเจ้าสามารถชดเชยข้อต่อส่วนสำคัญสุดท้ายของยันต์แผ่นนี้ได้พอดี”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าชื่อถานเซวี่ยนี้ ข้าตั้งให้เจ้าเปล่าๆ งั้นหรือ? ตอนนี้ถ่านและหิมะอยู่ในเตาเดียวกันแล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่ใช่กู้ช่าน ไม่สนิทสนมกับเจ้า”
ระหว่างที่เฉินผิงอันพูดก็คีบยันต์สีทองสองแผ่นออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ “อันที่จริงยังมียันต์อีกสองแผ่นที่ข้าเขียนสำเร็จแล้วจริงๆ ตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร? ยังมั่นใจว่าข้าจะต้องตายไปพร้อมกับเจ้าอีกไหม? เจ้าว่าสมบัติก้นกรุของข้าไม่ใช่กระบี่บินสองเล่ม อันที่จริงเจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว ข้ากับพวกมันเดินทางเคียงข้างกันมาจนถึงทุกวันนี้ จำนวนครั้งที่พวกเราต้องต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับศัตรูที่แข็งแกร่ง เจ้าย่อมไม่อาจจินตนาการได้ถึง”
กระบี่บินชูอีและสืออู่พากันพุ่งออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ปลายกระบี่แยกกันแทงไปที่ใจกลางของยันต์ทั้งสองแผ่น แสงศักดิ์สิทธิ์พลันสว่างจ้า ประดุจเตาอุ่นมือสองใบที่สาดแสงแห่งความอบอุ่น
กระบี่บินสองเล่ม เล่มหนึ่งไปลอยอยู่ตรงร่องกลางหว่างคิ้วของถานเซวี่ย
อีกเล่มหนึ่งลอยอยู่นอกมหาสมุทรลมปราณตรงหน้าท้องของถานเซวี่ย
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าถือสาเลย การผลักกระบี่ครั้งสุดท้ายนั่น หาใช่เพื่อเล่นงานเจ้า แต่เพื่อเรียกแขกให้มาเยือน ถือโอกาสให้เจ้าเข้าใจด้วยว่าอะไรที่เรียกว่าใช้ของทุกอย่างอย่างคุ้มค่า เจ้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าข้าหลอกเจ้าอีก”
เฉินผิงอันเดินขึ้นหน้าไปสองสามก้าว เขาถึงขั้นมองเมินนางที่ถูกตรึงแน่นอยู่กับบานประตู เดินไปเปิดประตูออกเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ให้เจินจวินต้องรอนานแล้ว”
ที่แท้สกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่าก็มายืนรออยู่นอกประตูที่หิมะกำลังตกหนักอยู่นานแล้ว
เมื่อผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดคนหนึ่งจงใจอำพรางลมปราณของตัวเองท่ามกลางฟ้าดินขนาดเล็กของตัวเอง แม้แต่ถานเซวี่ยก็ยังสัมผัสได้ไม่ถึง ตามหลักแล้วเฉินผิงอันก็น่าจะยิ่งรับรู้ไม่ได้ถึงจะถูกต้อง
ตอนที่อาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นถูกชักออกจากฝักอีกครั้ง หลิวจื้อเม่าที่อยู่ในจวนเหิงโปก็สัมผัสได้อย่างเฉียบไว เพียงแต่ตอนนั้นยังลังเลใจ ไม่ค่อยอยากจะบุ่มบ่ามไปสืบเสาะหาความจริงสักเท่าไหร่
แต่เมื่อปลายกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นแทงทะลุประตูห้องออกมา ในที่สุดหลิวจื้อเม่าก็อดไม่ไหว แอบออกจากห้องลับของจวนมาที่หน้าประตูภูเขาของเกาะชิงเสียแห่งนี้อย่างเงียบเชียบ
หลิวจื้อเม่ามายืนอยู่นอกประตูนานหนึ่งถ้วยชาแล้ว
เฉินผิงอันเบี่ยงตัวให้ “เชิญเจินจวินเข้าไปนั่งข้างในห้อง”
หลิวจื้อเม่าถอนหายใจอยู่ในใจ แต่กลับเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องพร้อมรอยยิ้มแต้มใบหน้า เขาเดินอ้อมแผ่นหินสีเขียวมานั่งข้างโต๊ะ
เฉินผิงอันปิดประตูลงอีกครั้ง แม้ว่าการเปิดและปิดประตูของเขาจะไม่รุนแรงมากนัก ทว่าถานเซวี่ยที่น่าสงสารถูกเจี้ยนเซียนแทงทะลุหัวใจก็เหมือนจมลงสู่บ่อน้ำแข็งอยู่แล้ว ยังต้องมาถูกยันต์ที่เขียนไว้บนบานประตูกักขังก็ยิ่งเหมือนตกอยู่กลางกระทะน้ำมันเดือดพล่าน นี่ก็คือการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แล้วก็เป็นทั้งการราดน้ำมันลงบนกองไฟ ทำให้นางเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่
เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับหลิวจื้อเม่าอีกครั้ง
หลิวจื้อเม่าเองก็หยิบถ้วยขาวใบนั้นออกมาวางลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ผลักไปด้านหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าต้องการขอเหล้าดื่ม “มีแขกอย่างท่านเฉิน ถึงได้มีเจ้าบ้านอย่างข้า ช่างเป็นความสุขของชีวิตจริงๆ”
เฉินผิงอันกวักมือหนึ่งครั้ง น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ถูกบังคับให้มาอยู่ในมือ เขารินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าหนึ่งถ้วย ครั้งนี้เขารินเหล้าวิหคครวญของตระกูลเซียนจนเต็มถ้วยขาวอย่างใจกว้างไม่แพ้ครั้งแรก เพียงแต่ไม่ได้ผลักกลับไปทันที “คิดได้แล้วหรือยัง? หรือควรจะบอกว่าปรึกษากับถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่เรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
หลิวจื้อเม่าถามกลับด้วยรอยยิ้ม “หรือท่านเฉินเดาไม่ออกว่าถานหยวนอี้ไปเยือนเกาะกงหลิ่วในครั้งนั้น สุดท้ายแล้วคุยกันรู้หรือเรื่องหรือคุยกันไม่สำเร็จ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ถนัดเรื่องการทำนายพยากรณ์สักหน่อย เดาไม่ออกหรอก”
หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “หากท่านเฉินเคยไปที่เกาะลี่ซู่ เคยพบเจอกับถานหยวนอี้เจ้าเกาะที่ข้างบ่อมังกรดำสักสองสามครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะพอไล่ตามเส้นสายเบาะแสไปจนรู้คำตอบ ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญด้านการอนุมานก็ย่อมต้องถนัดวิชานี้เช่นกัน”
เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “นี่เรียกว่าเชี่ยวชาญด้านการอนุมานเสียที่ไหน เป็นเพราะเจ้าไม่เคยเห็นมาดของผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงมากกว่า ข้าพูดตรงไปหน่อย เจินจวินอย่าได้ถือสา”
หลิวจื้อเม่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนกล่าวว่า “บอกตามตรง แม้ถานหยวนอี้จะเป็นผู้ดูแลหลักของศาลาคลื่นมรกตในแถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป แต่หลังจากที่ขึ้นเกาะไปพูดคุยกับหลิวเหล่าเฉิงอย่างลับๆ กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ตอนนั้นเงื่อนไขที่ถานหยวนอี้เสนอ หนึ่งจริงหนึ่งลวง”
หลิวจื้อเม่าหยุดไปครู่หนึ่ง เห็นว่าเฉินผิงอันยังคงมีท่าทีสงบนิ่งรอฟังเขาพูดต่อก็ให้สะท้อนใจเล็กน้อย อันที่จริงแค่สี่คำว่า ‘หนึ่งจริงหนึ่งลวง’ นี้ เฉินผิงอันก็น่าจะรู้ความจริงคร่าวๆ แล้ว ทว่าเขากลับยังไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขารอได้ แล้วก็ยินดีจะเสียเวลารอด้วย
ความมหัศจรรย์ของจิตใจที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีตบะและจิตใจทะเยอทะยานสูงพออย่างหลิวจื้อเม่าเท่านั้นที่ถึงจะเข้าใจได้
—–