กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 450.2 กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด
เว่ยป้อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า เชื่อใจข้าเว่ยป้อหรือไม่ กับการที่เจ้าเฉินผิงอันจะลงนามสัญญาพันธมิตรภูเขานี่หรือไม่ สามารถนำมาเป็นหนึ่งในเรื่องที่ต้องพิจารณา ทว่าน้ำหนักกลับไม่มากนัก
เมื่อเกี่ยวพันกับมหามรรคา จำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก
ช่วงท้ายสุดของจดหมายลับ เว่ยป้อก็บอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขาสามารถช่วยถ่วงเวลาไปให้ได้อีกครึ่งปีถึงหนึ่งปี ค่อยๆ ครุ่นคิดใคร่ครวญก็แล้วกัน ต่อให้ถึงเวลานั้นสถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปจะชัดเจนดีแล้ว สกุลซ่งต้าหลีโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งได้สำเร็จแล้วเคลื่อนพลลงใต้ต่อ ถึงเวลานั้นเขาเว่ยป้อที่เป็นคนกลางที่ดี เฉินผิงอันที่เป็นผู้ซื้อก็ช่าง ก็แค่ทำตัวหน้าหนาสักหน่อย ยืนกรานอย่างหน้าไม่อายว่าจะลงนามสัญญากับต้าหลีก็เท่านั้น ไม่ว่าบนหรือล่างภูเขา เดิมทีการทำการค้าก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ต้องลำบากใจ
เฉินผิงอันจึงเปิดหีบไม้ใบเล็กใบนั้น ส่งกระบี่บินส่งข่าวกลับไปยังเนินกระบี่ขนาดเล็กที่เป็นของหลิวจื้อเม่าโดยเฉพาะ เนื่องจากต้องขอให้เจ้าเกาะท่านนี้ช่วยส่งข่าวต่อไปยังภูเขาพีอวิ๋น เขาจึงตอบกลับไปในจดหมายแค่สองคำว่า ‘ตกลง’
เฉินผิงอันทำเรื่องพวกนี้เสร็จก็เดินมาที่หน้าต่าง พวกแม่ทัพหอกยาวอย่างสวี่เม่าที่เป็นผู้กล้าแห่งแคว้นสือหาว ยามอยู่ในช่วงกลียุค ความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะลุกผงาดขึ้นมาย่อมมีสูงมาก หากต้าหลีสามารถโจมตีราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเดินทางลงใต้ไปอย่างราบรื่น สวี่เม่าที่ตอนนี้ถือเป็นขุนนางระดับกลางที่กุมอำนาจอยู่ในต้าหลีแล้วก็จะสามารถบัญชาการณ์และระดมกองทัพม้าเหล็กฝีมือดีของต้าหลีได้หนึ่งกอง นี่ก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก บนเส้นทางการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพใหญ่ก็จะมีคุณความชอบทางการทหารมากมายรอให้เขาไปกอบโกย ประเด็นสำคัญคือทั้งจิตใจและฝีมือของสวี่เม่าล้วนเหนือกว่าองค์ชายหันจิ้งซิ่น สิ่งที่สวี่เม่าขาดก็แค่สถานะที่มีมาแต่กำเนิดเท่านั้น
ซูเกาซาน ว่ากันว่ามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจนของชายแดนเช่นเดียวกัน นี่ไม่ต่างจากสวี่เม่าแห่งแคว้นสือหาวเลย เชื่อว่าการที่สวี่เม่าได้รับการผลักดันเลื่อนขั้นเป็นพิเศษก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย หากเปลี่ยนไปเป็นเฉาผิงแม่ทัพหลักของกองทัพใหญ่อีกกองหนึ่ง หากสวี่เม่าเลือกสวามิภักดิ์กับแม่ทัพใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในแซ่สกุลของนายพลผู้ค้ำยันแคว้นท่านนี้ เขาเองก็จะต้องได้รับรางวัลเช่นเดียวกัน แต่ย่อมไม่ใช่ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสี่ชั้นเอกโดยตรงแน่นอน บางทีในอนาคตอาจได้ตบรางวัลใหญ่ แต่ความเร็วในการปีนป่ายและอนาคตในกองทัพของสวี่เม่าจะต้องช้ากว่าหลายส่วน
การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้ เฉินผิงอันเดินทางผ่านอำเภอ เมืองและมณฑลมากมาย กองทัพม้าเหล็กใต้บัญชาการณ์ของซูเกาซานย่อมไม่อาจพูดได้ว่าจะไม่แตะต้องผลประโยชน์ของมวลชนแม้แต่เส้นผมเดียว ทว่ากฎเกณฑ์มากมายในกองทัพชายแดนต้าหลีก็พอจะทำให้มองเห็นได้เลือนๆ ยกตัวอย่างเช่นเมืองอันเป็นบ้านเกิดของโจวกั้วเหนียนที่ถูกตีแตกก่อนหน้านี้ ได้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเนื่องจากผู้กล้าแคว้นสือหาวลอบสังหารเลขาธิการบุ๋นของต้าหลี หลังเกิดเรื่องต้าหลีก็ระดมกองทัพม้าฝีมือดีกองหนึ่งให้มาช่วยเหลือที่เมืองอย่างรวดเร็ว ร่วมมือกับผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ภายหลังจับตัวการสำคัญมาได้แล้วประหารทันที หัวแต่ละหัวถูกแขวนไว้บนกำแพงเมือง ขุนนางท้องถิ่นระดับขั้นไม่ต่ำของเมืองที่มีความผิดหลายคนซึ่งรวมถึงผู้ตรวจการและรองผู้ตรวจการล้วนถูกจับขังคุก คนในครอบครัวถูกกักบริเวณอยู่ในจวน แต่ไม่ได้มีผลกระทบเดือดร้อนอย่างอื่นโดยที่ไม่จำเป็น ระหว่างนี้เกิดเรื่องขึ้นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกว่าตนเองต้องมองซูเกาซานเสียใหม่ นั่นก็คือในค่ำคืนที่เกิดพายุหิมะ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นกำแพงเมืองไปเก็บศีรษะของอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพงเมืองมา ผลกลับกลายเป็นว่าถูกทหารที่เฝ้าอยู่บนกำแพงจับได้ แต่กระนั้นก็ยังปล่อยให้เด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธคนนั้นหนีไปได้ เพียงแต่ว่าไม่นานเขาก็ถูกเลขาธิการฝ่ายบู๊สองคนดักตัวไว้ เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในการกรีฑาทัพลงใต้ครั้งนี้ รายงานจึงถูกส่งต่อเบื้องบนไปเป็นทอดๆ สุดท้ายดังเข้าหูซูเกาซานแม่ทัพใหญ่ ซูเกาซานบอกให้คนพาตัวเด็กหนุ่มผู้ฝึกยุทธของแคว้นสือหาวคนนั้นมาไว้นอกกระโจมแม่ทัพ หลังจากพูดคุยกันก็โยนเงินถุงใหญ่ให้เด็กหนุ่มคนนั้น อนุญาตให้เขาฝังศพอาจารย์ในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวก็คือต้องการให้เด็กหนุ่มรู้ว่าตัวการที่แท้จริงของเรื่องนี้คือเขาซูเกาซาน วันหน้าห้ามสร้างปัญหาให้แก่กองทัพชายแดนต้าหลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางบุ๋นอีก หากคิดจะแก้แค้น วันหน้ามีปัญญาก็ให้มาหาเขาซูเกาซานโดยตรง
เรื่องนี้ถูกนำมาเล่าลือกันอย่างแพร่หลายในวงการขุนนางและยุทธภพแถบภาคกลางของแคว้นสือหาว
จากนั้นก็คือเรื่องใหญ่เรื่องแรกที่หลิวจื้อเม่าพูดถึง
สตรีชุดเขียว เด็กหนุ่มชุดขาว
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม
จิตของเขาขยับเคลื่อนเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง แตะปลายเท้าเบาๆ ทะยานขึ้นไปบนสันหลังคาแล้วเริ่มเดินช้าๆ เดินไปอย่างไร้จุดหมาย แค่เดินเล่นอยู่บนหลังคาเรือนแห่งแล้วแห่งเล่าเท่านั้น
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังวางไว้บนโต๊ะ ดาบไม้ไผ่และกระบี่เลียนแบบฉวีหวงก็ไม่ได้พกมาด้วย
ทำตามใจปรารถนา ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์
ฟ้าดินกว้างใหญ่ อยากไปไหนก็ไป
สุดท้ายเฉินผิงอันหยุดเดิน ยืนอยู่บนหลังคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่ง หลับตาลงแล้วเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู เพียงแต่ไม่นานก็เลิกทำ เงี่ยหูตั้งใจฟัง ดูเหมือนว่าระหว่างฟ้าดินจะมีเสียงหิมะละลาย
เลขาธิการฝ่ายบู๊คนหนึ่งของต้าหลีที่เฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้ คือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามาจากภูเขาลูกไหนของต้าหลี ไม่แน่ว่าอาจจะมาจากภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร
คือบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเกราะเบา เขาเองก็เดินอยู่บนหลังคาเช่นเดียวกัน วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรทำ อีกทั้งยังไม่ถือว่าเป็นคนในกองทัพ ในมือจึงหิ้วเหล้ากาหนึ่งที่อุ่นมาไว้เรียบร้อยแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาห่างไปสิบกว่าก้าว คลี่ยิ้มเอ่ยเตือนด้วยภาษากลางของทวีป “แค่ชมทิวทัศน์ย่อมไม่เป็นปัญหา ต่อให้จะไปชมบนหัวกำแพงเมืองก็ยังได้ ข้าเองก็ออกมาผ่อนคลายอารมณ์เหมือนกัน สามารถไปด้วยกันได้”
นี่เป็นประโยคที่เกรงใจและมีมารยาทมากแล้ว เมื่อกองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ไหนที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง ภายใต้การบดขยี้ของกีบเท้าม้า ทุกคนที่ไม่ใช่คนของต้าหลีย่อมถือเป็นคนต่างถิ่น ถือเป็นแคว้นใต้อาณัติที่ต้องหันมาพึ่งพาต้าหลีทั้งหมด แต่ในคำพูดของผู้ฝึกตนหนุ่มก็แฝงการตักเตือนไว้ด้วย
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นอึ้งตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง ชูกาเหล้าขึ้นสูง ที่แท้บุรุษหนุ่มสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนั้นก็เอ่ยด้วยภาษาทางการของต้าหลีที่คล่องแคล่วและสำเนียงถูกต้องที่สุด
ดังนั้นเลขาธิการฝ่ายบู๊ที่อายุยังน้อย แต่กลับอยู่บนหลังม้ามาเกือบสิบปีผู้นี้จึงเอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “กวนอี้หรานแห่งเมืองอวิ๋นไจ้ มณฑลอี้โจว!”
เฉินผิงอันมีสีหน้าลังเล คงไม่ค่อยเหมาะหากเขาจะบอกชื่อแซ่ของตัวเอง จึงทำเพียงแค่กุมหมัดยิ้มขออภัยคนผู้นั้น
กวนอี้หรานพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ในอนาคตหากเจอปัญหา สามารถมาหากองทัพม้าเหล็กต้าหลีของพวกเราได้ ทุกที่ที่กีบเท้าม้ามุ่งไป ล้วนเป็นแผ่นดินของต้าหลีเรา!”
เฉินผิงอันสีหน้าเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
หลังจากนั้นวันที่สามของเดือนหนึ่ง ม้าสามตัวของเฉินผิงอันก็ออกจากเมืองแห่งนี้ เดินทางขึ้นเหนือต่อ ขยับเข้าใกล้ชายแดนทางเหนือของแคว้นสือหาวมากขึ้นเรื่อยๆ
หิมะใหญ่เริ่มละลาย
แสงแห่งฤดูใบไม้ผลิกระตุ้นสีต้นหลิว แสงอาทิตย์สาดส่องสีสันงดงาม
ระหว่างทางเจิงเย่เก็บของดีๆ มาได้ไม่น้อย ยกตัวอย่างเช่นตราประทับเลียนแบบทางการทหารแคว้นสือหาวที่ด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘หลี่เฉาจ้าว’ หรือไม่ก็ของเล่นโบราณมากมายที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางเหมือนขวดไหธรรมดา ส่วนใหญ่ก็มีทั้งภาชนะชิ้นใหญ่และวัตถุขนาดเล็กจิ๋วที่วางกองสุมกันอย่างมั่วซั่วไว้ในมุมหนึ่ง คาดว่าสิ่งของที่ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ง่ายต่อการพกพาคงถูกพวกชาวบ้านที่หนีภัยพิบัติเลือกเอาไปหมดแล้ว อันที่จริงพวกมันคือวัตถุล้ำค่าที่มีราคาหลายสิบหลายร้อยก้อนทองยามที่โลกอยู่ในยุคสันติสุข แต่ตอนนี้กลับถูกทอดทิ้ง และยังมีภาพตัวอักษร ภาพวาดมีชื่อเสียงล้ำค่าที่เปรอะเปื้อนดินโคลนบนทางจนแทบจะเสียหาย หรือไม่ก็เป็นของสะสมล้ำค่าที่ถูกนำไปขายถูกๆ ให้กับในเมืองหรืออำเภอที่ยังไม่ถูกไฟสงครามลามเลีย คิดไม่ถึงว่าหม่าตู่อี๋จะเป็นพวกโลภในทรัพย์สินเงินทอง เจิงเย่ก็ยิ่งใช่ ทุกครั้งที่ตั้งโรงทานแจกโจ๊กหรือร้านยาในแต่ละสถานที่ พอมีเวลาว่าง คนทั้งสองจะวิ่งไปเก็บหาของดี แล้วก็เคยมาขอยืมเงินเฉินผิงอันไปแล้วสองครั้ง คิดเป็นเงินเทพเซียนแล้วก็ไม่ถือว่ามาก รวมกันแล้วก็แค่สิบสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เพียงแต่ว่าหากคิดจะแลกเป็นทองหรือเงินในราชวงศ์โลกมนุษย์กลับไม่ง่ายนัก จำเป็นต้องไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็โรงเตี๊ยมเทพเซียน โชคดีที่สตรีวัตถุหยินตนหนึ่งในยันต์สาวงามหนังจิ้งจอกมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนระดับหนึ่งแต่ไม่ได้อยู่ในขั้นสูงสุดของแคว้นสือหาว เฉินผิงอันทำตามความปรารถนาของสตรีวัตถุหยินตนนั้นเรียบร้อยแล้ว ก็เอาเงินเทพเซียนไปแลกเป็นเงินขาวและทองคำมาจากตระกูลเซียนแห่งนั้น แล้วจึงมอบให้หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่ไปจัดการกันเอาเอง ด้วยเรื่องนี้หม่าตู่อี๋ยังตื๊อให้เฉินผิงอันทำหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ให้นางเอาไว้ใส่เงินและทองโดยเฉพาะ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง ขอแค่ไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนและธุระสำคัญของตนเองก็ปล่อยให้พวกเขาทำกันไปเถิด
วันนี้ในเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับชายแดน เฉินผิงอันรับผิดชอบทำหน้าที่ติดต่อกับที่ว่าการในท้องถิ่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่คุ้นงานกันดีก็เริ่มง่วนกับการจัดการหาที่ตั้งร้านยาและเพิงแจกโจ๊ก สำหรับเรื่องนี้พวกเขาไม่กล้าเลอะเลือนกันแม้แต่น้อย มีเพียงทุกวันทำงานในหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้นถึงจะกล้าไปเก็บของดีตามร้านใหญ่แห่งต่างๆ อย่างตื่นเต้นดีใจ เพราะถึงแม้เฉินผิงอันจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกงานในหน้าที่ของพวกเขา ถึงขั้นไม่เคยเปิดปากเอ่ยอะไร แต่ทั้งสองคนอยู่กับนักบัญชีมานานขนาดนี้ย่อมรู้นิสัยใจคอของเฉินผิงอันดีแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านเฉินล้วนเห็นอยู่ในสายตา อีกทั้งมีแต่จะมองไปไกลยิ่งกว่าพวกเขา
ส่วนของโบราณแต่ละชิ้นที่พวกเขารวบรวมมาได้โดยนำเงินที่พวกเขายืมจากท่านเฉินไปหาซื้อมานั้น ตอนนี้ก็ฝากเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อของท่านเฉินชั่วคราว
นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับชาติกำเนิดของหม่าตู่อี๋ เพราะตอนมีชีวิตอยู่นางยังเคยเป็นผู้ดูแลน้อยในเรือนสมบัติแห่งหนึ่งของเกาะชิงเสีย สายตาจึงไม่เลว ระดับชั้นไกลเกินกว่าที่เด็กหนุ่มเจิงเย่จะเทียบได้ติด
ภายหลังเฉินผิงอันกังวลว่าหม่าตู่อี๋เองก็จะมองพลาดไป ถึงอย่างไรของที่พวกเขาหาซื้อมาก็ปะปนกันหลากหลาย เป็นสิ่งของของคนรวยในแต่ละสถานที่ของแคว้นสือหาวที่พลัดมาอยู่ในหมู่ชาวบ้าน จึงมีสารพัดรูปแบบ เขาจึงเชิญวัตถุหยินที่เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางซึ่งพักอยู่ในเรือนแก้วจำลองออกมาช่วยหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ดูของ ผลกลับกลายเป็นว่าวัตถุหยินที่ถูกหม่าหย่วนจื้อแห่งจวนจูเสียนหล่อหลอมให้เป็นผีเฝ้าบ่อน้ำตนนั้นกลับติดใจ แรกเริ่มก็ประเมินบอกว่าของที่หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่เก็บมาได้ไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว ภายหลังยังยืนกรานว่าตนจะต้องออกจากเรือนแก้วจำลองไปช่วยหม่าตู่อี๋กับเจิงเย่คนโง่สองคนนี้ซื้อหาของดีที่แท้จริงด้วยตัวเอง ด้วยสาเหตุนี้เขายังถึงขั้นยอมปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของสตรีกระดาษยันต์หนังจิ้งจอก ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่มีตบะชมมหาสมุทร กลับสามารถทุ่มเทเสียสละได้ถึงขั้นนี้ ดูท่าบันทึกที่เฉินผิงอันเขียนไว้ในบัญชีจะไม่ใช่เรื่องเท็จ เขาเป็นคนที่ลุ่มหลงการเก็บสะสมของเก่าซึ่งเป็น ‘ของผุพัง’ ในสายตาของผู้ฝึกตนทะเลสาบซูเจี่ยนอย่างแท้จริง ในสมุดบัญชียังบันทึกประโยควิจารณ์ที่ผู้ฝึกตนเซียนดินบางคนมีต่อผู้เฒ่าคนนี้ บอกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่ยากจนข้นแค้นอยู่ตลอดทั้งปีทั้งชาติผู้นี้ หากไม่เป็นเพราะเอาเงินไปใช้ส่งเดชกับของพวกนั้น ไม่แน่ว่าอาจเลื่อนเป็นขอบเขตประตูมังกรได้นานแล้ว
เฉินผิงอันก็ปล่อยตามใจผู้ฝึกตนเฒ่า ทุกวันแม้จะปรากฎตัวต่อหน้าพวกเขาด้วยรูปโฉมของหญิงงาม ทว่ากลับนั่งอ้าขาวางมาดแห่งบุรุษชายชาตรี ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน บอกตามตรง ตอนนั้นที่ ‘ตู้เม่า’ เดินบิดเอวยักย้ายส่ายสะโพกไปมา อันที่จริงน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่านี้เสียอีก
ยามสนธยาของวันนี้ พวกเจิงเย่หนึ่งคนสองผีก็ไปเก็บของดีที่ร้านใหญ่ในพื้นที่อีกครั้ง อันที่จริงหากเดินอยู่ริมน้ำ ไหนเลยน้ำจะไม่กระเซ็นมาโดนรองเท้า วัตถุที่ทำให้ผีผู้เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่งหมายตาได้ ผู้ฝึกตนอิสระทั่วไปก็ย่อมต้องหวั่นไหวอยู่แล้ว หรือแม้แต่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็ยังตั้งใจเดินทางไปเยือนแคว้นที่เกิดสงคราม หวังอาศัยสิ่งนี้มาตักตวงเงินทองซึ่งเป็นโอกาสที่พบเจอได้ยาก ในบรรดาสมบัติตกทอดของตระกูลชนชั้นสูงที่สืบทอดอย่างมีระบบระเบียบก็มีอยู่หลายชิ้นจริงๆ ที่เป็นวัตถุวิเศษแฝงเร้นไว้ด้วยปราณวิญญาณ แต่กลับถูกทางตระกูลมองข้าม หากไปเจอกับของประเภทนี้ขึ้นมาก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะได้กำไรเป็นเงินสิบกว่าเหรียญหรืออาจหลายร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ ดังนั้นพวกเจิงเย่จึงมักจะได้เจอกับคนบนเส้นทางเดียวกันเหล่านี้เสมอ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งก็เกือบจะทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายตรงข้ามคือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหลายท่านที่มาจากถ้ำสถิตลำดับต้นๆ ของแคว้นสือหาว ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดว่าตัวเองมีเหตุผล ไม่คิดว่าตัวเองฉกฉวยของของผู้อื่น สุดท้ายก็เป็นเฉินผิงอันที่เก็บกวาดเรื่องเละเทะให้ บอกให้พวกเจิงเย่ตัดใจจากวัตถุวิเศษชิ้นนั้น อีกฝ่ายเองก็ยอมถอยหนึ่งก้าวด้วยการเลี้ยงสุราผู้ฝึกตนอิสระอย่าง ‘ท่านเฉิน’ หนึ่งมื้อ ต่างคนต่างพูดคุยกันอย่างถูกคอ เพียงแต่ว่าภายหลังหม่าตู่อี๋ยังบ่นเฉินผิงอันด้วยเรื่องนี้อยู่เป็นนาน
เฉินผิงอันไปที่ร้านขายเนื้อหมาแห่งหนึ่งในตลาด นี่เป็นครั้งที่สองที่เขามาที่นี่ อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ชอบกินเนื้อหมา หรือควรจะพูดว่าเขาเองก็ไม่เคยกินมาก่อน
เพียงแต่ว่าในร้านก็มีเนื้ออย่างอื่นขาย ก็มีแต่คนต่างถิ่นอย่างเขาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่กินเนื้อหมา นั่งโดดเดี่ยวอยู่ที่โต๊ะตัวคนเดียว แล้วก็ไม่ดื่มเหล้า พูดภาษาทางการแคว้นสือหาวไม่คล่องนัก โต๊ะข้างๆ คือเนื้อหมาตุ๋นหม้อใหญ่ไอร้อนลอยฉุย คนบนโต๊ะสวาปามกินอย่างเอร็ดอร่อย ผลัดกันชนจอกเหล้าไปมา คนหนุ่มที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวคนนี้จึงค่อนข้างสะดุดตา โชคดีที่ที่นี่เป็นร้านเก่าแก่ร้อยปีที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นคนแล้ว จึงไม่คิดจะเลือกปฏิบัติกับใครเป็นพิเศษ ผู้เฒ่าคือเถ้าแก่ที่อยู่นั่งอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน ลูกชายคือพ่อครัว หลานชายที่เรียนชั้นประถมว่ากันว่าเป็นซิ่วไฉน้อยที่มีชื่อเสียงในตรอกใกล้เคียง ดังนั้นจึงมักจะมีลูกค้าพูดสัพยอกว่าวันหน้าร้านนี้จะยังเปิดกิจการอีกได้อย่างไร ผู้เฒ่าที่มีอารมณ์ขันกับชายฉกรรจ์นิสัยเงียบขรึมได้แต่พูดว่านี่คือชะตาลิขิต จะยังทำอะไรได้อีก ทว่าต่อให้เป็นชายฉกรรจ์นิสัยซื่อตรงไม่ชอบพูดคุยคนนั้น พอได้ยินคำสัพยอกประเภทนี้ บนใบหน้าก็ยังมีความภาคภูมิใจฉายให้เห็นอยู่ดี หลุมศพบรรพบุรุษในบ้านของพวกเขามีควันเขียวขึ้นแล้ว ในที่สุดก็มีเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่มีหวังว่าจะสอบติดเป็นขุนนางปรากฏขึ้นมา ใต้หล้านี้จะยังมีเรื่องใดที่ดีงามไปมากกว่าเรื่องนี้อีก?
ต่อให้โลกวุ่นวายแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันที่จะไม่วุ่นวายอีกต่อไป
ร้านเนื้อหมาที่ตั้งอยู่ในตรอก วันนี้ยังคงมีลูกค้าเนืองแน่น กิจการนับว่าไม่เลว เมื่อฤดูร้อนของปีก่อน แม้ว่าคนเถื่อนต้าหลีจะตีเมืองได้สำเร็จ แต่อันที่จริงแล้วกลับไม่ได้มีคนตายสักเท่าไหร่ กองทัพใหญ่บุกลงใต้ต่อ ทิ้งคนเถื่อนต้าหลีที่พอจะพูดภาษาทางการของแคว้นสือหาวได้คล่องไว้แค่ไม่กี่คนให้คอยเฝ้าอยู่ในที่ว่าการเจ้าเมือง พวกเขาไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยนัก นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับเจ้าเมืองที่กลัวตาย หอบเงินหอบทองเผ่นหนีไปก่อนนานแล้ว ว่ากันว่าแม้แต่ตราประทับของทางการก็ยังไม่เอาไป เขาเปลี่ยนมาสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียว กลางดึกคืนหนึ่งที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลียังอยู่ห่างออกไปไกล ภายใต้การปกป้องคุ้มครองขององค์รักษ์ เขาก็ได้ออกจากเมืองไปอย่างเงียบเชียบ มุ่งหน้าไปทางใต้ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะย้อนกลับมาเป็นขุนนางในราชสำนักอีก
—–