กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 452.1 ข้ามสะพาน
ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน พืชหญ้าเขียวครึ้ม เพียงแต่ว่าตลอดทั้งชายแดนเหนือของแคว้นสือหาวกลับแทบจะมองไม่เห็นเงาร่างของเหล่าคุณชายหรือลูกหลานอ๋องที่ออกมาเที่ยวเล่นชานเมือง
ม้าสามตัวเดินๆ หยุดๆ ขึ้นเหนือไปตลอดทาง โดยไม่ทันรู้ตัวก็เข้าหน้าร้อนแล้ว
บนทางเส้นเล็กสันหลังเขาของด่านชายแดนแคว้นสือหาวแห่งนี้ ม้าสามตัวหยุดพักผ่อน เจิงเย่ง่วนอยู่กับการหุงข้าว หม่าตู่อี๋กำลังนั่งส่องกระจกหวีผม คลอเพลงอยู่ในลำคอ ท่าทางอารมณ์ไม่เลว กระจกทองแดงบานเล็กที่ทาเคลือบด้วยสีเขียวในมือของนางบานนั้นคือวัตถุวิเศษที่ได้จากการเก็บตกของดี คือกระจกกลมแสงตะวันจันทราที่ค่อนข้างหาได้ยากบานหนึ่ง นางต่อรองราคาจนซื้อมาจากเถ้าแก่ร้านที่สายตาไม่ดีด้วยราคาไม่ถึงสองตำลึงเงิน หากนำไปวางไว้ในท่าเรือตระกูลเซียน ตามคำบอกของทหารผีผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับผิดชอบช่วยดูของให้นั้น อย่างน้อยก็ต้องขายได้เงินถึงสี่สิบห้าสิบเหรียญเกล็ดหิมะ
เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้าง กำลังพลิกเปิดสมุดบัญชี ชื่อส่วนใหญ่ที่อยู่ในสมุดล้วนถูกขีดทับด้วยหมึกสีชาดลงไปเบาๆ นี่ถือเป็นพวกคนที่ได้ทำความปรารถนาให้เป็นจริง แต่ก็มีความต้องการของภูตผีวัตถุหยินบางส่วนที่ต้องเก็บไว้ก่อนชั่วคราว ในความเป็นจริงแล้วทั้งเฉินผิงอันและพวกเขาต่างก็รู้กันดีว่า ความปรารถนาเหล่านั้น มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นความมุ่งมาดปรารถนาตามภาษาของลัทธิพุทธที่ชีวิตนี้ชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็นหยินหรือหยางก็ยากที่จะทำสำเร็จได้ วัตถุหยินบางตนปมในใจผูกเป็นเงื่อนตาย ด้วยความเจ็บแค้นเศร้าโศกจึงยากที่จะระงับอารมณ์ระเบิดความดุร้ายออกมา จนเกือบจะกลายไปเป็นผีอาฆาตตนหนึ่ง ได้แต่อาศัยยันต์สงบใจที่แปะอยู่ในตำหนักพญายมราชคุกล่างหลายแผ่นนั้นมาช่วยประคับประคองสติปัญญาน้อยนิดที่เหลืออยู่
หม่าตู่อี๋ที่ ‘หมั่นเพียรมัธยัสถ์ครองเรือน’ กลับไม่เคยบ่นท่านเฉินที่ปล่อยให้ปราณวิญญาณในยันต์สงบใจสลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ต้องชดเชยด้วยเงินเทพเซียนอย่างต่อเนื่องจนเรียกได้ว่าไม่ต่างจากหลุมที่ไร้ก้น
ตลอดทางมานี้ได้เจอกับทหารที่พ่ายศึกแตกขบวนของแคว้นสือหาวไม่น้อย พวกเขากระจัดกระจายกันอยู่ตามป่าลึกในแถบต่างๆ ผันตัวกลายมาเป็นโจรที่เดี๋ยวก็รวมตัวกัน เดี๋ยวก็แยกย้าย คอยปล้นเสบียงกองหนุนของต้าหลีอย่างบ้าคลั่ง บางคนที่ต้องการยืนหยัดต่อไปเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่ในใจก็จำต้องหันหัวหอกเข้าหาชาวบ้านในท้องถิ่นของแคว้นสือหาว ปีก่อนมีหิมะใหญ่ตกติดต่อกันสามครั้ง บวกกับสงครามวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่ทางเหนือของแคว้นสือหาวจึงใช้ชีวิตกันอย่างยากจนแร้นแค้น ต่อให้สิ่งที่ทหารม้าซึ่งมีมากสุดก็แค่สามสี่ร้อยนายเหล่านี้ต้องการจะเป็นเพียงเสบียงส่วนน้อย ทว่าคนในแต่ละครอบครัวของอำเภอยากจนที่กระจัดกระจายอยู่ตามเส้นชายแดนก็ล้วนหวังให้เสบียงน้อยนิดที่กักตุนไว้สามารถประคับประคองตัวเองไปจนถึงการเก็บเกี่ยวคราวหน้าได้ จึงไม่อาจนำไปเติมเต็มความต้องการน้อยนิดของทหารบู๊แคว้นสือหาว ดังนั้นจึงเกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไปๆ มาๆ ฝ่ายหนึ่งก็เพื่อให้ไม่ต้องหิวตาย อีกฝ่ายหนึ่งก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อบ้านเมือง ความขัดแย้งจึงยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
ม้าสามตัวของเฉินผิงอันเจอกับความขัดแย้งที่เกือบจะกลายมาเป็นการเข่นฆ่านองเลือดครั้งหนึ่ง ทหารบู๊อายุน้อยคนหนึ่งในนั้นที่สวมเสื้อเกราะผุพังเกือบจะยกดาบฟันไหล่ผู้เฒ่าผอมแห้งคนหนึ่ง เฉินผิงอันบุกเข้าไปในกลุ่มคน จับดาบที่ใช้บนหลังม้าของแคว้นสือหาวเล่มนั้นเอาไว้ พริบตาเดียวทหารม้าพ่ายศึกหลายสิบนายของแคว้นสือหาวก็พากันกรูเข้ามา เฉินผิงอันถีบออกไปทีเดียว คนผงะหงายม้าหมุนคว้าง เฉินผิงอันโยนดาบในมือทิ้ง ดาบก็เสียบกลับเข้าไปในฝักดาบของทหารหนุ่มคนนั้น ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาถูกแรงปะทะมหาศาลชนให้เซถอยไปด้านหลัง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จูงม้าไปยืนอยู่บนทางของเมืองเล็ก พวกทหารที่หิวโหยอดอยากจึงพากันถอยออกจากเมืองไปเงียบๆ
พวกเฉินผิงอันสามคนก็จากมาช้าๆ
ด้านหลังคือเสียงที่ชาวบ้านในท้องถิ่นเริ่มด่าพวกทหารของแคว้น ไม่ว่าคำพูดหยาบคายแค่ไหนก็มีหมด คำพูดทำนองว่าไม่มีปัญญาเอาชนะคนเถื่อนต้าหลี แต่พอถึงคราวรังแกชาวบ้านในแคว้นตัวเองกลับเปี่ยมอำนาจบารมียิ่งนัก สมควรตายไปบนสนามรบเสียให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องแว้งกลับมาสร้างหายนะให้คนของตัวเอง และยังถึงขั้นมีคนเสนอให้เอาข่าวไปแจ้งทหารม้าต้าหลีที่อยู่ในอำเภอใหญ่ใกล้เคียง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เงินรางวัลมาก้อนหนึ่งก็เป็นไปได้
หลังจากที่ทหารม้ากองนั้นออกจากอำเภอมาแล้ว ทหารหนุ่มก็พลันร้องไห้โหยหวน
ขุนนางบู๊อายุมากลักษณะคล้ายเสี้ยวเหว่ยคนหนึ่งลงจากหลังม้า น้ำตาไหลอาบใบหน้าที่ซีดเซียว ทหารม้าทั้งกลุ่มที่ใบหน้าเหลืองแห้งตอบ แต่ละคนล้วนมีบาดแผลติดกายต่างก็หยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ ทั้งตื่นตระหนกทั้งเคว้งคว้าง
เฉินผิงอันบอกให้หม่าตู่อี๋และเจิงเย่รออยู่ที่เดิม ส่วนตัวเขาขี่ม้าเข้าไปช้าๆ
กองทหารม้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วชายแดนแคว้นสือหาวซึ่งในยุคที่รุ่งโรจน์มีคนถึงสองพันกว่าคน ทว่าตอนนี้กลับเหลือทหารม้าไม่ถึงแปดสิบคนกองนี้ แต่ละคนทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เฉินผิงอันโยนถุงใบใหญ่หนักอึ้งออกไป แล้วเอ่ยภาษาทางการแคว้นสือหาวที่นับวันก็ยิ่งพูดได้คล่องปาก “แยกย้ายกันไปเถอะ ถอดเกราะเหล็ก ปลดอานม้า เงินก้อนนี้ถือเป็นค่าเดินทางกลับบ้านเกิดและเงินช่วยเหลือครอบครัวของพวกเจ้า”
ขุนนางบู๊วัยชราผู้นั้นรับถุงเงินมา เปิดออกดูก็เห็นว่าด้านในมีแต่ทองก้อนของทางการ ผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
เฉินผิงอันกล่าว “หากไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้ก็สามารถเลือกพี่น้องที่มีไหวพริบสักหน่อย ปลอมตัวเป็นพ่อค้าไปซื้ออาหารในอำเภอที่สถานการณ์สงบลงแล้ว พยายามหลีกเลี่ยงสายลับและทหารลาดตระเวนของต้าหลีให้ได้มากที่สุด ทุกครั้งไม่ต้องซื้อเสบียงมาก ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะทำให้ขุนนางในพื้นที่เกิดความสงสัย ตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นคนกันเอง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็คงแยกแยะไม่ออกแล้ว”
ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มีแค่นี้หรือ? ไม่ต้องการอย่างอื่นหรือไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนนี้พวกเจ้าไม่มีทางเลือก ในเมื่ออยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ที่สุดแล้วก็ไม่สู้ลองทำดู นอกจากนี้หากข้าคิดจะอาศัยศีรษะไม่กี่สิบหัวของพวกเจ้าไปขอรางวัลจากที่ว่าการที่สวามิภักดิ์ต่อต้าหลีจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ ข้อนี้ทหารใต้บังคับบัญชาของเจ้าอาจจะมองไม่ออก แต่เจ้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสี่น่าจะรู้ชัดเจนดี”
ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไป
เฉินผิงอันโบกมือ “ช่วยได้แค่นี้ ข้าเองก็ไม่ใช่กุมารแจกทรัพย์อะไร อย่าเห็นข้าเป็นคนโง่ที่ตามคนไม่ทัน”
ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าขลาดกลัว ได้แต่ล้มเลิกความคิดที่ไม่ค่อยมีคุณธรรมนั่นไป หลังจากรับทองก้อนที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขามาแล้วก็กุมหมัดขอบคุณบุรุษร่างผอมบางที่สวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวผู้นั้น “ขอบคุณท่านที่มีคุณธรรมสูงส่ง!”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืนแล้วจึงจากมา ส่วนสุดท้ายแล้วกองทหารของแคว้นสือหาวกองนี้จะตัดสินใจอย่างไร เขาไม่ได้ทำเหมือนตอนอยู่ร้านขายเนื้อหมาในเมืองก่อนหน้านี้ที่คอยจับตาดูการเลือกของลูกจ้างเด็กหนุ่มตั้งแต่ต้นจนจบ
ขุนนางบู๊ผู้เฒ่าสะอึกอึ้งไปเล็กน้อย เขายังไม่ทันได้ถามชื่อเลยนะ
หม่าตู่อี๋มองท่านเฉินที่ควบม้ากลับมาแล้วเอ่ยหยอกเย้าว่า “ปากบอกว่าตัวเองไม่ใช่กุมารแจกทรัพย์ แต่ความเป็นจริงล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มองออกแต่ไม่เปิดโปง คือนิสัยที่ดีเยี่ยมในการอยู่ร่วมโลกกับผู้อื่น”
หม่าตู่อี๋คิดจะพูดจาทิ่มแทงเขาอีกสักสองสามคำ แต่เฉินผิงอันกลับควบม้าทะยานจากไป นางกับเจิงเย่จึงได้แต่รีบร้อนตามไปให้ทัน
กีบม้าของม้าทั้งสามตัวเหยียบลงบนพื้นดินกว้างใหญ่ที่ดอกไม้ผลิบานอากาศอบอุ่น
เวลานี้หม่าตู่อี๋วางกระจกทองแดงลง หันหน้ามามองเฉินผิงอันที่ปิดสมุดบัญชีเล่มนั้นแล้ว ถามว่า “ท่านเฉิน ก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ร่วง พวกเราสามารถกลับไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยนได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะได้แล้วล่ะ”
หม่าตู่อี๋ยืดแขนบิดขี้เกียจ ไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ด้านหลังจึงรีบยื่นมือไปประคองไว้ ด้านในนี้ล้วนเต็มไปด้วยสมบัติที่ได้มาในราคาถูกจากสามเมืองล่าสุด ต่อให้จะห่อด้วยผ้าแพรต่วนและรองด้วยผ้าฝ้ายก็ยังอดเป็นห่วงกลัวว่าวัตถุที่บอบบางทั้งหลายเหล่านั้นจะกระแทกแตกไม่ได้ ตามคำบอกของผีผู้เฒ่าที่ช่วยดูของซึ่งตอนนี้พักอยู่ในเรือนแก้วจำลอง ของพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นของที่ชนชั้นสูงในโลกชอบเก็บสะสม เมื่ออยู่ในช่วงกลียุคจึงไม่อาจเทียบกับเงินทองจริงๆ ได้ แต่หากเป็นช่วงยุคสันติสุขรุ่งเรืองเมื่อไหร่ ต่อให้จะเป็นแค่โถใส่อาหารนกเล็กๆ ใบหนึ่งก็ยังมีมูลค่าถึงสองสามร้อยตำลึงเงิน หากเจอเข้ากับคนมีเงินที่มีความชื่นชอบในด้านนี้ ราคาก็อาจจะทะยานสูงขึ้นไปอีก
อันที่จริงสิ่งของเหล่านี้สามารถใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อของท่านเฉินได้ แต่ทุกครั้งที่หยุดพักหม่าตู่อี๋จะชอบเปิดหีบออกมาตรวจสอบดู ก็เหมือนกระจกทองแดงบานเล็กซึ่งนางชื่นชอบจนวางไม่ลงบานนี้ที่จะต้องเอาออกมาดูให้สบายตาสักหน่อย สุดท้ายนางจึงเหมือนคนหาเรื่องใส่ตัวที่ต้องคอยแบกหีบด้วยตัวเอง
ตอนนี้เจิงเย่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสี่สมชื่อแล้ว ความสามารถในการทำความเข้าใจและพรสวรรค์ของหม่าตู่อี๋ดีกว่า นางจึงกลายเป็นวัตถุหยินขอบเขตห้าแล้ว
เพียงแต่ว่ารากฐานในการฝึกตนที่แท้จริงยังคงเป็นเจิงเย่ที่ยอดเยี่ยมกว่า นี่ก็คือความสำคัญของฐานกระดูก
คนหนึ่งไม่รังเกียจความช้า คนหนึ่งไม่รังเกียจความเร็ว ตอนนี้เมื่อเจิงเย่อยู่ร่วมกับหม่าตู่อี๋ ยิ่งนานวันก็ยิ่งกลมเกลียวกัน บางครั้งยังถึงขั้นรู้ใจกันด้วย
ยามกินข้าว เฉินผิงอันยังคงเคยชินกับการเคี้ยวช้าๆ อย่างละเอียด เจิงเย่นั่งอยู่ด้านข้างพุ้ยข้าวคำใหญ่ เขาถามชวนคุยว่า “ท่านเฉิน ท่าหมัดของข้า เวลาเดินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบรับ “กระท่อนกระแท่น”
เจิงเย่ถอนหายใจ เดิมทีเขานึกว่าการเดินนิ่งหกก้าวของตน แม้จะไม่ถึงขั้นใจและกายสอดผสานเป็นหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ต้องเรียกได้ว่าคล่องแคล่วคุ้นเคยแล้ว
หม่าตู่อี๋พูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองเพลิง “ก็เจ้าไม่ใช่คนที่เหมาะกับการฝึกวรยุทธ ขนาดข้าที่เป็นคนนอกยังมองออกว่าหมัดของเจ้าทั้งว่างเปล่าทั้งหลวม ไม่เข้าขั้นแม้แต่น้อย เจิงเย่ เจ้าคงคิดว่าตัวเองพอจะเข้าท่าเข้าทีแล้วสินะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจเจิงเย่ “เรื่องของการฝึกวรยุทธ ในเมื่อไม่ใช่งานหลักของเจ้า ขอแค่ฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยดึงเส้นเอ็นหล่อเลี้ยงกระดูกได้ก็เพียงพอแล้ว ไม่อย่างนั้นหากสร้างลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งขึ้นมาได้ แล้วปล่อยให้ปะทะกับปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณ กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี”
เจิงเย่เอ่ยอย่างอัดอั้น “หากไม่เรียนอะไรก็ไม่สำเร็จ ก็กลายเป็นว่าเรียนอะไรก็ช้า ท่านเฉิน ทำไมท่านไม่เห็นร้อนใจเลย”
เฉินผิงอันรู้สึกขำคำพูดของอีกฝ่าย จึงเอ่ยว่า “หากร้อนใจแล้วมีประโยชน์ ข้าก็คงเร่งรัดเจ้าไปนานแล้ว”
หม่าตู่อี๋อดกลั้นมานาน กำลังจะอ้าปากพูด
แต่เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้นเสียก่อน “เงียบเลย ห้ามเอาเรื่องการฝึกตนของเจิงเย่มาล้อเลียน อีกอย่าง เกี่ยวกับว่าท่าหมัดของเจิงเย่ดีหรือไม่ดี เจ้ามองออกสิถึงจะแปลก เป็นเพราะข้าผู้อาวุโสเคยวิพากวิจารณ์อยู่คำสองคำ แล้วเจ้าก็ยืมเอามาใช้มากกว่ากระมัง?”
หม่าตู่อี๋ยิ้มจนดวงตาเรียวยาวประกายน้ำคู่นั้นหยีลง นางไม่เอ่ยอะไร ถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย
คนทั้งสามเดินหน้ากันต่ออีกครั้ง เลียบเส้นชายแดนของแคว้นสือหาวไป
จนกระทั่งมาถึงตระกูลเซียนแห่งหนึ่งทางชายแดนเหนือที่มีชื่อว่าภูเขาหูลั่ว เป็นเทือกเขาเขียวขจีที่ทอดยาว ทัศนียภาพงดงาม ปราณวิญญาณก็นับว่าเปี่ยมล้น นี่ทำให้ผู้ฝึกตนสองคนอย่างหม่าตู่อี๋และเจิงเย่ที่พอเข้ามาในอาณาเขตนี้แล้วก็ยังรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส อดสูดหายใจลึกๆ หลายครั้งไม่ได้
นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมสถานที่หลายแห่งที่ปราณวิญญาณเบาบาง ชั่วชีวิตของชาวบ้านคนหนึ่งอาจไม่มีโอกาสได้พบเจอกับผู้ฝึกตนเลย ขบวนพ่อค้าสัญจรไปตามสถานที่ที่มีคนเนืองแน่นก็เพื่อแสวงหาผลกำไร ผู้ฝึกตนท่องอยู่ในโลกมนุษย์ก็จะต้องพยายามหลบเลี่ยงสถานที่ที่ปราณวิญญาณเบาบางจนแทบไม่มีเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรเรื่องของการฝึกตนก็มีจุดที่ต้องพิถีพิถันมากมาย จำเป็นต้องใช้เวลาและความละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง รวมไปถึงเทพเซียนห้าขอบเขตกลางที่ต่ำกว่าเซียนดินลงไปซึ่งหากเอาเวลาอันมีค่าใช้หมดไปกับสถานที่กว้างไกลพันลี้แต่ไร้ซึ่งปราณวิญญาณ เดิมทีนั่นก็เป็นความสิ้นเปลืองอย่างหนึ่งอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เกิดสงครามวุ่นวายต่อเนื่องจนเดือดร้อนไปถึงบนภูเขาของแคว้นสือหาว ภายหลังไม่รู้ว่าเหตุใด ภูเขาน้อยใหญ่มากมายต่างพากันขยับเข้ามารวมตัวกัน จนมองดูเหมือนจะให้ภูเขาหูลั่วเป็นหัวมังกร (เปรียบเปรยถึงการเป็นผู้นำ) อาณาเขตของภูเขาหูลั่วค่อนข้างกว้างขวาง ก่อนหน้านี้ยังใช้วิธีการสืบทอดด้วยอาจารย์เพียงคนเดียวของตระกูลเซียน จึงถือเป็นสำนักบนภูเขาที่กิจการยิ่งใหญ่ ทว่ากลับมีประชากรน้อย ดังนั้นจึงต้องแบ่งภูเขาหลายลูกของเทือกเขาหูลั่วออกไปให้พวกสำนักผู้ฝึกตนปลายแถวของแคว้นสือหาวที่หันมาสวามิภักดิ์เช่าอยู่อาศัย
เวลาสั้นๆ เพียงแค่สองปี ภูเขาหูลั่วก็มีศักยภาพและอำนาจที่ไม่ธรรมดา
—–